แรงกดดันของความเงียบจู่โจมเข้ามา!
ยามราตรี มาถึงอย่างเงียบงัน ไม่มีความครึกครื้นและเสียงดังคึกคักของยามกลางวัน ท้องฟ้าแห่งหมู่ดาวสีรัตติกาลที่อ้างว้างและบริสุทธิ์ชวนให้หลงใหลขึ้นมาโดยพลัน แต่ก็เงียบสงบขึ้นมาก
ผืนฟ้าราวกับซุกซ่อนผ้าม่านสีฟ้าน้ำเงินเอาไว้ ความเงียบสงัดแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ คลื่นความมืดจู่โจมเข้ามาโดยมิทันตั้งตัว
โคมไฟในตำหนักอวี่หานสว่างไสว แต่กลับได้ยินเสียงถอนหายใจที่สับสนจนปัญญาอันแ่เบาดังออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า
สองมือของกุ่ยเม่ยยังคงกอดกระบี่ ยืนอยู่ข้างมู่จื่อหลิงอย่างเงียบงันราวกับเสาหลักที่ฟ้าผ่าก็ไม่ะเือย่างไรอย่างนั้น
คางขาวผ่องของมู่จื่อหลิงเท้าลงบนแขน ฟุบอยู่บนโต๊ะกินข้าวอย่างเกียจคร้าน ดวงตากระจ่างใสที่แยกสีขาวและดำออกจากกันอย่างชัดเจนปรากฏความกลัดกลุ้มอย่างเข้มข้น
เวลาที่นางกำหนดให้ตนเองสามวันนั้น เหลือแค่วันพรุ่งนี้เป็วันสุดท้ายแล้ว บัดนี้ก็ยังคงหาเบาะแสใดออกมามิได้
หากพรุ่งนี้ยังหาออกมาไม่ได้อีก อาการป่วยของหลี่เอินคงยื้อต่อไม่ไหวแล้ว และไม่รู้ว่าก่อนไปหลงเซี่ยวอวี่หมอนั่นได้ไปบอกกับเล่อเทียนสักคำหรือไม่ เหตุใดจึงไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ไม่ว่าอย่างไรหลังจากวันพรุ่งนี้ผ่านไปนางต้องไปสวนจิ้งซินสักเที่ยวให้ได้
แม้วันนี้ฮ่องเต้เหวินอิ้นจะทรงพอพระทัยในการกระทำของนางนัก และดูเหมือนมิได้สงสัยว่านางวางพิษกู่แล้ว ยามนี้นางไม่จำเป็ต้องพะว้าพะวงมากจนเกินไป
แต่เื่ที่ว่าหลงเซี่ยวหนานถูกวางพิษกู่ได้อย่างไรนั้นนางคิดไม่ออกและสืบออกมาไม่ได้ จนบัดนี้กลายเป็ปมปัญหาในใจนาง หนักใจกระวนกระวายไปหมด
ผู้ใดจะเคยคิดเล่า...
มู่จื่อหลิงถลึงตาใส่เสี่ยวไตกูที่ดูเหมือนจะเมาแต่ก็ไม่เมาซึ่งอยู่ใกล้ยิ่งนักอย่างกระฟัดกระเฟียด บ่นอย่างไม่พอใจ “เสี่ยวไตกู เ้าพูดสิ ตอนกลางวันเ้าเอาชีวิตเข้าสู้กินหนอนกู่มากมายเพียงนั้นไปทำไม คราแรกข้าลืมห้ามปรามเ้าไป เ้ารู้ซึ้งการกินอย่างไม่บันยะบันยังหรือยังเล่า? ผลปรากฏว่าตัวก็อ้วนพลุ้ย จมูกยังผิดปกติอีก เื่อะไรก็ทำไม่ได้ เลี้ยงเ้ามีประโยชน์ใดบ้าง”
เดิมทีใจนางเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าจะพึ่งพาเสี่ยวไตกูให้หาเบาะแสอันใดออกมาได้บ้าง แต่หลังจากเ้าตัวเล็กนี่กินอิ่ม ใน่เวลาคับขันกลับคว้าน้ำเหลวมาให้นาง!
ร่างเล็กกลมกลิ้งของเสี่ยวไตกูกลิ้งไปมาอย่างไม่พอใจระคนน้อยใจบนโต๊ะ แสดงออกว่าตนเองนั้นทั้งน้อยเนื้อต่ำใจทั้งไร้ความผิด ฟ้องด้วยท่าทางน่าสงสาร “โอ้กโอ้กโอ้ก!”
วันนี้หลังจากกินอิ่มไปมื้อหนึ่งด้วยความสะใจ นายน้อยก็้าให้มันหาว่ามีกลิ่นของอร่อยอีกหรือไม่ แต่มันก็มีเพียงกายแต่ไร้กำลังแล้ว
ไม่ต้องพูดก็คงรู้ว่าแม้แต่ะโมันยังะโไม่ขึ้น และปากก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นของหนอนกู่ จมูกจึงบกพร่อง แล้วจะดมกลิ่นอย่างไร?
ใครใช้ให้นายน้อยไม่สั่งให้มันหาก่อนเล่า ให้มันกินหนอนกู่ก่อนจนบัดนี้กลายสภาพมาเป็เช่นนี้สามารถโทษมันได้หรือ อีกอย่างพอได้พบของอร่อยมันก็ควบคุมตัวไม่ได้และหยุดตัวเองไม่ได้อย่างสิ้นเชิง!
เมื่อมู่จื่อหลิงเห็นเ้าตัวเล็กจ้อยเบื้องหน้าทำท่าทางน่าสงสาร บนหน้าผากก็มีขีดดำสามขีดผุดขึ้นมาโดยพลัน
หรือ นี่ ผู้ที่ทำผิดในเื่นี้เป็นาง?
หากมิใช่เพราะวันนี้ฮองเฮามาร่วมวงความครึกครื้น นางจึงกลัวแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือว่าเผยช่องโหว่อันใดออกไป จนปล่อยให้ฮองเฮาฉวยโอกาสเอาได้ นางจะรอให้ฮ่องเต้และฮองเฮาจากไปเสียก่อนค่อยหาเบาะแสหรือ
เดิมทีนางเชื่อมั่นในความสามารถของเสี่ยวไตกูนัก ความมั่นใจเต็มเปี่ยม!
ฝากความหวังที่มีทั้งหมดไว้บนตัวมัน
แต่ แต่เ้าเสี่ยวไตกูไม่ได้เื่นี่สนใจเพียงแต่ให้ตนเองกินอิ่ม จมูกเล็กจิ๋วที่ผู้อื่นมองไม่เห็นนั่นยังบกพร่องไปเสียแล้ว
ดูท่า จมูกของมันคงหายดีในเวลาเพียงแค่ชั่วขณะหนึ่งแน่
กุ่ยเม่ยมองหนึ่งคนหนึ่งคางคก ตาใหญ่ถลึงใส่ตาเล็กพลางบ่นใส่กันและกัน มุมปากก็กระตุกทว่ายังต้องสำรวมเล็กน้อย ถามข้อสงสัยที่อดกลั้นอยู่ในใจมาทั้งวันออกมาอย่างหนักแน่น “หวางเฟย ข้าน้อยมีเื่หนึ่งที่ไม่เข้าใจ เหตุใดวันนี้หวางเฟยจึงได้ถามว่ามีผู้ที่าเ็เข้าใกล้องค์ชายห้าบ้างหรือไม่เล่าขอรับ”
ปกติเขามิใช่คนปากมาก เมื่อข้อสงสัยอันใดเกี่ยวกับคำที่เ้านายพูดมา ก็จะเก็บไว้กับตนเอง ค่อยๆ คิดพิจารณาในใจ ต่อให้ไม่มีสักครั้งที่จะครุ่นคิดได้อย่างถ่องแท้ เขาก็ถูๆ ไถๆ ไปไม่ถามให้มาก
แต่คำถามของหวางเฟยวันนี้เขาคิดมาครึ่งวันแล้วก็คิดไม่ออก คิดหาสาเหตุความเป็มาเองด้วยตนเองไม่ได้ เก็บไว้ในใจจนแทบจะอึดอัดใจตายแล้ว บัดนี้เขาจึงอดไม่ไหวปากมากถามออกไป
หลังจากนั้นใบหน้ามู่จื่อหลิงก็ปรากฏแววกลัดกลุ้ม ไขข้อสงสัยให้กุ่ยเม่ยอย่างใจดี “เพราะพิษกู่ที่องค์ชายห้าถูกวางนั้นมีเพียงผู้ได้รับาเ็เข้าใกล้เขา ถึงจะสามารถแพร่ไปที่ตัวเขาได้”
กุ่ยเม่ยเป็องครักษ์ประจำตัวหลงเซี่ยวอวี่ เื่ที่หลงเซี่ยวอวี่รู้อยู่แล้ว นางจึงไม่ได้ปกปิดแต่อย่างใด
แววตาของกุ่ยเม่ยเจือแววประหลาดใจ พึมพำเสียงเบา “เื่แปลกประหลาดเช่นนี้ก็มีด้วย?”
หากเป็เช่นนี้จริง หรือว่ายามนั้นจะมีผู้มีาแเข้าใกล้องค์ชายห้าที่ถูกพวกเขาละเลยไปจริงๆ?
กุ่ยเม่ยลูบคางอย่างไม่รู้ตัว จมลงสู่ห้วงความคิด ผู้ที่ได้รับาเ็? าเ็...
เสี่ยวหานยกกล่องอาหารเดินเข้ามา วางกล่องอาหารลงบนโต๊ะอย่างแ่เบา แล้วหิ้วเสี่ยวไตกูที่กลิ้งเกะกะสายตาอยู่บนโต๊ะอาหารขึ้นมา
ชั่วพริบตาเดียวลำแสงสีม่วงเล็กๆ สายหนึ่งก็บินเป็เส้นโค้งไปที่ตั่งนุ่ม ในระหว่างที่ร่างเล็กกลมกลิ้งของเสี่ยวไตกูกำลังมึนงง มันก็กระแทกเข้ากับมุมของตั่งนุ่มตกลงมาบนพื้นอย่างบังเอิญ
“นายน้อย เลิกคิดก่อนเถิด วันนี้อาหารที่ห้องเครื่องปรุงล้วนเป็สิ่งที่ท่านชอบกินในยามปกติ” เสี่ยวหานนำออกมาทีละจาน กลิ่นหอมอบอวล อาหารที่ประณีตน่าอร่อยวางลงบนโต๊ะทีละอย่าง สายตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“เก็บไปเถิด กินไม่ลง” มู่จื่อหลิงถอนหายใจแ่เบา มองโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารพรั่งพร้อมส่งกลิ่นหอม ก็ไร้ซึ่งความอยากอาหารโดยสิ้นเชิง
“นายน้อย จะมากน้อยก็...” เดิมเสี่ยวหานคิดจะโน้มน้าวอีก แต่กลับถูกเสียงทุกข์ทรมานเล็กๆ ดังขึ้นขัดจังหวะ
“โอ้กๆ...โอ้กๆ!”
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ หันไปมองตามเสียง
เห็นเพียงสามขาของเสี่ยวไตกูเหยียดตรงดีดดิ้นไปมาในอากาศสุดชีวิต ท้องที่กลมกลิ้งกระแทกกันจนส่งเสียงอย่างน่าเวทนาเป็พักๆ
มู่จื่อหลิงรีบลุกขึ้น เดินไปหยิบเสี่ยวไตกูขึ้นมาอย่างปวดใจ ประคองไว้บนมือ ใช้นิ้วเรียวเล็กจิ้มลงไปที่ท้องของมัน “เสี่ยวไตกูเป็อันใดไป?”
“โอ้กๆ...อุแหวะ!” เสี่ยวไตกูส่งเสียงร้องอย่างน้อยอกน้อยใจ สำรอกขนเส้นเล็กสีขาวออกมาจากปากเล็ก
มู่จื่อหลิงตกตะลึงโดยพลัน ดวงตากระจ่างใสเปล่งประกายจ้องไปยังเส้นขนสีขาวที่เสี่ยวไตกูสำรอกออกมาเป็พักใหญ่ ไม่พูดจาอยู่นาน
“นายน้อย บ่าวเพียงโยนมันไปบนตั่งนุ่ม ไม่รู้ว่ามันจะตกลงมา บ่าวมิได้ตั้งใจเ้าค่ะ” เสี่ยวหานเห็นมู่จื่อหลิงเงียบงันไม่พูดจาก็กระวนกระวายขึ้นมาโดยพลัน คิดว่าเสี่ยวไตกูเป็อันใดไปจริงๆ
ก่อนหน้านี้นายน้อยพูดว่าเสี่ยวไตกูเนื้อหยาบหนังหนา โยนอย่างไรก็ไม่เป็อันใด ดังนั้นเมื่อครู่นางจึงโยนเสี่ยวไตกูไปที่ตั่งนุ่ม ใครจะรู้ว่าพอโยนก็เกิดเื่ขึ้นมาจริงๆ
มู่จื่อหลิงได้สติกลับมาอย่างฉับพลันจากคำพูดร้อนรนของเสี่ยวหาน คลี่รอยยิ้มออกมาเต็มใบหน้า หยิบเส้นขนในมือขึ้นมาอย่างทั้งยินดีทั้งตื่นเต้น และถือโอกาสโยนเสี่ยวไตกูไปด้านหลังอย่างไร้ความปรานี
เสี่ยวไตกูที่น่าสงสารกลายเป็เส้นโค้งเปล่งประกายแสงสีม่วงชนเข้ากับกำแพงอีกครั้ง ร่วงหล่นขลุกๆ ลงมาบนพื้น
เสี่ยวไตกูส่งเสียงร้องออกมาอย่างขุ่นเคืองใจ ทำไมแต่ละคนจะต้องโยนมันด้วยฮึกๆ สามขาของเสี่ยวไตกูชี้ขึ้นฟ้าไม่กระดุกกระดิก แสร้งปลอมเป็ศพทันที
“ข้าคิดออกแล้ว กุ่ยเม่ยมี...” มู่จื่อหลิงมองเส้นขนสีขาวราวหิมะอย่างดีอกดีใจ ร้องออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
“หวางเฟย ข้าน้อยคิดออกแล้ว...” กุ่ยเม่ยก็ส่งเสียงออกมาพร้อมกัน
เพียงแต่พวกเขายังไม่มีโอกาสพูดจนจบ จู่ๆ นอกประตูก็มีเสียงเหล็กก้องสะท้อนดังชิ้งชิ้งชิ้งลอยมาเป็ระลอก! เหมือนกับเสียงของอาวุธที่โรมรันกันไม่หยุดหย่อน
และยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เสียงตื่นเต้นของมู่จื่อหลิงพลันหยุดลงไปกลางคัน รู้สึกเพียงหนังศีรษะชาวาบ มีลางสังหรณ์อันเลวร้ายผุดขึ้นมาในหัวใจ!
“หวางเฟย ข้าน้อยจะไปดูว่าเกิดอันใดขึ้น ท่านอยู่ในห้อง...” กุ่ยเม่ยชิงกล่าวเตือนไว้เสียก่อน และกำลังจะออกไป
ทันใดนั้นก็มีนักฆ่าชุดดำที่ปกปิดใบหน้าเจ็ดแปดคนะโเข้ามาทางประตู แต่ละคนแผ่ไอโเี้อำมหิต และเสียงปะทะกันด้านนอกประตูยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คนชุดดำกลุ่มนี้ดูเหมือนมิได้รีบร้อนจะลงมือ
ขณะนั้นเองกุ่ยเม่ยก็ถอยหลังไปสองสามก้าว ปกป้องมู่จื่อหลิงไว้ด้านหลัง ส่งสายตาระแวดระวังไปยังชายชุดดำสองสามคนนั้น กระบี่ยาวในมือถูกชักออกจากฝัก อยู่ในท่วงท่าพร้อมรบโดยทันที
องครักษ์เงาจำนวนไม่น้อยที่ซ่อนตัวอยู่ที่ตำหนักอวี่หานล้วนผ่านการฝึกที่เข้มงวดและถูกคัดสรรมาอย่างดี แต่ละคนนั้นมีวรยุทธ์ที่ไม่ธรรมดา
บัดนี้ในตำหนักอวี่หานยังสามารถมีนักฆ่าชุดดำปรากฏตัวขึ้นจำนวนมากเช่นนี้ ดูท่าคนของฝ่ายตรงข้ามคงไม่น้อย และวรยุทธ์ของแต่ละคนคงมิใช่กระจอก
“ฉีหวางเฟย ส่งคางคกม่วงออกมา แล้วพวกเราจะเหลือศพเ้าไว้ในสภาพสมบูรณ์ หาไม่แล้ว...” ชายชุดดำที่เป็หัวหน้าจับจ้องมู่จื่อหลิงสายตาเย็นเยียบ แสดงท่าทีไปที่ด้านหลัง
เพียงเสี้ยววินาที ชายชุดดำด้านหลังเขาก็ชักกระบี่แหลมคมออกมาจากฝัก ชี้มาทางมู่จื่อหลิง
แววตาของกุ่ยเม่ยพลันปรากฏจิตสังหาร เตรียมจะลงมือ ทว่าถูกมู่จื่อหลิงที่อยู่ด้านหลังดึงไว้
คางคกม่วงที่นอนตายอยู่ในมุมเล็กๆ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงน่าชิงชังเรียกมัน เปิดดวงตาขนาดเล็กขึ้นโดยทันที ดิ้นรนลุกขึ้นมาสุดชีวิต
มู่จื่อหลิงแค่นเสียงเยาะในใจ ช่างเป็ทวนแจ้งเกาทัณฑ์ลับล้วนมิทันป้องกัน [1] จริงๆ บัดนี้คนบางคนส่งนักฆ่ามาเสียแล้ว ส่งมาทีก็ส่งมามากเพียงนี้
้ากำจัดนางจริงๆ แล้ว มีชีวิตอยู่มาสองโลกเหตุใดจึงไม่เคยรู้ว่าตนมีหน้ามีตายิ่งใหญ่เพียงนี้เล่า!
นางปราศจากความหวาดกลัว หมุนกายไปหิ้วคางคกม่วงที่เพิ่งถูกนางโยนไปที่มุมพื้นขึ้นมาด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนสี เดินไปด้านหน้ากุ่ยเม่ยอย่างสงบเยือกเย็น
สีหน้าของกุ่ยเม่ยตื่นตระหนก “หวางเฟย!”
“ไม่เป็อันใด!” มู่จื่อหลิงพูดอย่างเฉยชา แล้วหิ้วคางคกม่วงขึ้นแกว่งไกวเบื้องหน้าคนชุดดำ องศาของมุมปากค่อยๆ ยกขึ้น “พวกเ้าแน่ใจว่า้าคางคกม่วงนี่?”
คนชุดดำมองหน้ากันไปมาไม่พูดจา พวกเขาคิดไม่ถึงว่าฉีหวางเฟยพบเหตุการณ์ประเภทนี้ยังสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ได้อยู่อีก
ถึงกับ...ถึงกับยังยิ้มออกมาได้อีก
มู่จื่อหลิงแย้มรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้มขณะมองคนเบื้องหน้า น้ำเสียงกลับเย็นลงหลายส่วน “อยากได้คางคกม่วง มีอันใดยากกัน? แต่ว่า”
นางชะงักไป ดวงตามองไปที่คางคกม่วง ราวกับกำลังมอบหมายอะไรอยู่ พูดออกมาทีละคำต่อ “เปิ่นหวางเฟยก็จะไม่ใจดี ทิ้ง ซาก ศพ เ้า ไว้”
ได้ยินคำนี้หัวหน้าคนชุดดำก็ชะงักไปเล็กน้อย แล้วหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม แค่นเสียงเยาะหยัน “หึ คุยโวโอ้อวด พูดไร้สาระให้น้อยๆ ส่งคางคกม่วงออกมา!”
“เอ้า! รับไว้” มู่จื่อหลิงโยนเสี่ยวไตกูในมือไปให้หัวหน้าคนชุดดำอย่างใจกว้างยิ่ง
เสี่ยวไตกูที่น่าสงสารกลายเป็ลำแสงเส้นโค้งสีม่วงเป็ครั้งที่สาม!
หัวหน้าคนชุดดำยื่นมือไปรับตามจิตใต้สำนึก เขามองคางคกม่วงในมืออย่างพอใจ ดวงตาสองข้างสว่างวาบ “เป็ของดีจริงๆ เสียด้วย คิดไม่ถึงว่าฉีหวางเฟยจะกลัวตายเช่นนี้ แต่ว่ามีคนออกเงินซื้อชีวิตเ้า อย่าได้โทษ...”
เพียงแต่ คำพูดเขายังไม่ทันจบ ก็เหมือนจะไม่มีโอกาสจะพูดจบไปตลอดชีวิตเสียแล้ว
เสี่ยวไตกูแยกปากขนาดเล็กออกจากกัน แลบลิ้นยาวของมันออกมาอย่างจองหอง
เดิมทีลิ้นเล็กของมันเป็สีแดงก่ำ ยามนี้ได้เปลี่ยนเป็ลิ้นพิษสีดำขลับอันอัปลักษณ์ที่มีไอสีดำ ลิ้นพิษขนาดเล็กเลี่ยงไปที่กลางฝ่ามือของคนชุดดำอย่างแ่เบา
จากนั้น...ก็ไม่มีจากนั้นแล้ว
---------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ทวนแจ้งเกาทัณฑ์ลับล้วนมิทันป้องกัน คือไม่ว่าจะการโจมตีที่แจ้งหรือที่ลับก็รับมือไม่ทัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้