“หลงเอ้อ อวิ๋นเสี่ยวเซียนคือสหายของข้า...ถังจิ่ว เ้าอย่าได้หาเื่!”
ถังจิ่วเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เขากล่าวตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ ยังไม่ต้องพูดถึงเื่ที่จั๋วอวิ๋นเซียนคือสหายของเขา ต่อให้เป็คนแปลกหน้า เพียงเป็คนที่เขาเชิญมา ก็มิอาจปล่อยให้ถูกคนอื่นดูแคลนได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่ที่เดิมทีถังจิ่วกับชายหนุ่มผมหยิกก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว หากไม่ใช่ทั้งสองต่างฝ่ายต่างระแวงกันเอง เกรงว่าคงได้ต่อสู้กันไปแล้ว
“ถังจิ่ว เป็สหายของเ้าแล้วยิ่งใหญ่นักหรือ?”
หลงเอ้อกล่าวด้วยความดูถูก “เ้าตัดสินใจแทนกลุ่มของพวกเราไม่ได้ ใครจะรู้ว่าเ้าหาพวกหมาแมวที่ไหนมาเอาส่วนแบ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้?”
“หุบปากสุนัขของเ้าเสีย!”
เมื่อพูดจาไม่เข้าหู ถังจิ่วจึงเริ่มก่นด่า จากนั้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เ้าคงไม่เคยได้ยินสินะ สหายของข้าอวิ๋นเสี่ยวเซียนเป็ใครเช่นนั้นหรือ ตอนเขาอายุหกปีก็เข้ามามิติมายาสุญญตาแล้ว ตอนอายุเจ็ดปีเริ่มท้าทายซากโบราณสถาน อายุสิบปีก็ทิ้งผลงานไว้ในซากโบราณไปแล้วมากกว่าครึ่ง...”
“อุ๊บ!”
“ถังจิ่ว ทำไมเ้าไม่บอกว่าเขาเป็เทพไปเลยเล่า?”
“นับถือนับถือ! คำโอ้อวดของถังจิ่วข้าให้คะแนนเต็ม!”
บุรุษและสตรีรอบด้านหัวเราะเสียงดัง เพราะคิดว่าถังจิ่วกำลังโอ้อวดจึงไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย
หลงเอ้อกลั้นหัวเราะไว้ เขาแกล้งกล่าวชมเชย “เฮ้อ... ทุกคนอย่าหัวเราะสิ ไม่แน่ว่าคนเขาอาจจะเป็บุตรแห่ง์จริงๆ ก็ได้...”
ไม่รอถังจิ่วพูดแทรก หลงเอ้อหันไปถามจั๋วอวิ๋นเซียนว่า “สหายน้อย ตอนนี้เ้ามีการบ่มเพาะเท่าไรหรือ?”
“ระดับหลอมิญญา”
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้ปิดบัง แต่ถังจิ่วกลับรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ดังคาด บุรุษและสตรีรอบด้านต่างหัวเราะเยาะเย้ย
“ระดับหลอมิญญาหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า...”
หลงเอ้อกล่าวอย่างไร้ความกังวล “ถังจิ่ว นี่คือสหายของเ้าหรือ? เป็คนแบบไหนก็มักจะอยู่กับคนแบบนั้น! หรือว่าเ้าอยากจะให้เด็กน้อยระดับหลอมิญญานี่มาปกป้องผู้บำเพ็ญเซียนระดับรวมพลังเช่นนั้นหรือ?”
“หลงเอ้อ เ้าหาเื่สินะ!”
ถังจิ่วโมโหถึงขีดสุด เื้ัปรากฏเงาพยัคฆ์ขาวออกมา ใต้เท้ามีเงาแสงสีฟ้า ิญญาเซียนเข้าสู่ระดับขุนพลแล้ว
“หากจะสู้ก็สู้ คิดว่าข้ากลัวเ้าหรือ!”
หลงเอ้อก็เป็คนใจร้อน หากพูดไม่เข้าหูก็จะลงมือ มีเงาอสรพิษปรากฏตัวออกมาด้านหลัง เป็ิญญาเซียนระดับขุนพลเช่นกัน
“พอแล้ว! พวกเ้าเถียงกันพอหรือยัง!”
น้ำเสียงเ็าดังขึ้นมาจากสตรีสวมชุดสีม่วง
สถานะของสตรีชุดม่วงไม่ธรรมดา บุรุษและสตรีรอบด้านไม่กล้าพูดจาตามอำเภอใจ ถังจิ่วกับหลงเอ้อต่างก็เก็บพลังของตัวเองกลับเข้าไป
จากนั้นสตรีชุดม่วงกวาดสายตามองจั๋วอวิ๋นเซียนพลางขมวดคิ้วกล่าวว่า “ถังจิ่ว คนคนนี้พลังต่ำต้อยเกินไป ไม่เหมาะจะไปกับพวกเรา”
ถังจิ่วฝืนกลั้นความโกรธกล่าวว่า “พี่หญิงหลิง อวิ๋นเสี่ยวเซียนไม่เพียงเป็สหายของข้า เขายังคุ้นเคยกับภายในของซากโบราณสถาน เชี่ยวชาญค่ายกล กลไก อักขระ ถ้าไม่เชื่อท่านทดสอบดูได้”
“ช่างเถอะ ข้าไม่อยากให้ทุกคนเสียเวลา”
สตรีชุดม่วงโบกมืออย่างไม่ไยดี เห็นได้ชัดว่าไม่มีท่าทีให้เจรจาแล้ว
ความจริงแล้วพวกเขารู้จักนิสัยคุยโวโอ้อวดของถังจิ่ว จึงไม่เชื่อว่าเด็กหนุ่มอายุเท่านี้จะเชี่ยวชาญกลไก ค่ายกล อักขระ หากมีอัจฉริยะเช่นนี้จริง ต้องไม่มีทางอยู่ระดับหลอมิญญาแน่
เขาลังเลเล็กน้อยจากนั้นตัดสินใจกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเ้าไปเถอะ ข้าคิดว่าจะไปกับอวิ๋นเสี่ยวเซียน”
“อืม? เช่นนั้นเ้าก็ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน”
สตรีชุดม่วงเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทั้งยังี้เีโน้มน้าวจึงพาพวกหลงเอ้อจากไป
……
หลังจากพวกสตรีชุดม่วงจากไป ถังจิ่วถึงหันมากล่าวกับจั๋วอวิ๋นเซียน “ขอโทษนะสหาย ทำให้เ้าต้องอับอายแล้ว อย่าไปสนใจพวกสายตาสุนัขพวกนั้นเลย พวกเขาต้องเสียใจภายหลังแน่”
“อืม”
จั๋วอวิ๋นเซียนพยักหน้าอย่างใจกว้าง ไม่ได้มีท่าทางอับอายเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นจั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป “ถังจิ่ว ค่าตอบแทนของข้าเล่า? อย่าคิดจะเปลี่ยนเื่นะ!”
“……”
ถังจิ่วสมองอื้ออึงจนรู้สึกอยากจะร้องไห้ เขาอ้าปากอยากก่นด่าออกมา แต่สุดท้ายก็ยังกลืนคำพูดกลับไป
หากกล่าวกันตามตรง จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้สนใจว่าคนเ่าั้จะมองเขาอย่างไร เขาเพียงรู้สึกว่าเวลาของตัวเองล้ำค่ามาก ไม่มีความจำเป็ต้องเสียเวลาของตัวเองเพื่อกลุ่มคนไม่สำคัญ
วิถีเซียนยากเย็นแสนเข็ญ ต้องหวงแหนเวลาทุกลมหายใจ นี่คือหลักการของจั๋วอวิ๋นเซียน
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าหามาได้ง่ายๆ นะ...รับไป!”
ถังจิ่วโยนอัญมณีก้อนหนึ่งให้จั๋วอวิ๋นเซียนและกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ศิลาเงาจากการต่อสู้ของบุตรแห่ง์ หลังจากที่ได้ดูแล้ว รับประกันว่าเ้าต้องละอายใจ “
“การต่อสู้ของบุตรแห่ง์หรือ? ศิลาเงา!”
จั๋วอวิ๋นเซียนตะลึงเล็กน้อย ของสิ่งนี้นับว่าเป็ทรัพยากรที่หายาก ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะหามาได้ง่ายๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ จั๋วอวิ๋นเซียนก็คาดเดาสถานะของถังจิ่วได้บางส่วนแล้ว...ซึ่งแน่นอนว่าไม่ว่าสถานะของอีกฝ่ายคืออะไร อย่างน้อยในมิติมายาสุญญตา พวกเขาเป็สหายกัน
……
“ฮึม!”
จั๋วอวิ๋นเซียนจมจ่อมอยู่ในความคิด ในศิลาเงาบันทึกภาพการต่อสู้ของบุตรแห่ง์ทั้งสิบเอาไว้ แต่ละคนล้วนมีฝีมือยอดเยี่ยมสะท้านฟ้าะเืดิน พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด
บุตรแห่ง์คนแรก เซียวอี้หราน พลังัขนด พร์แห่งกายาา ห้าจิตสะท้านฟ้า หนึ่งหอกทะลวงเมฆา ทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง!
บุตรแห่ง์คนที่สอง เถี่ยมู่จ้านเฟิง กายาหมีั์ พละกำลังมหาศาล ห้าจิตสมบูรณ์ครอบ มีพลังต่อสู้น่าใ หนึ่งฝ่ามือตัดสายลม รุนแรงบ้าคลั่ง ทำลายภูผาคว่ำทะเล
บุตรแห่ง์คนที่สาม ฉีเหยียนเจินหย่า เงาหมาป่าขาว เคลื่อนไหวราวภูตผี ทุกกระบวนท่าแฝงด้วยจิตสังหาร!
……
“นี่ก็คือบุตรแห่ง์หรือ...ช่างเก่งกาจมากจริงๆ!”
จั๋วอวิ๋นเซียนถอนหายใจ มิน่าเล่าถังจิ่วถึงบอกว่าดูแล้วจะละอายใจ ผู้บำเพ็ญเซียนปกติเมื่ออยู่ต่อหน้าของบุตรแห่ง์ จะเงยหน้าเงยตาได้อย่างไร
ยังดีที่จิตใจของจั๋วอวิ๋นเซียนไม่ธรรมดา เขาบำเพ็ญเซียนเพื่อความอิสระ หลุดพ้นพันธนาการ หาใช่เพื่อการต่อสู้ไม่ แต่เพื่อความแข็งแกร่งหรือเพื่อชัยชนะ เมื่อเป้าหมายไม่เหมือนกันจึงเปรียบเทียบกันมิได้
ถึงแม้ตอนนี้พวกเซียวอี้หรานจะแข็งแกร่งมาก แต่จั๋วอวิ๋นเซียนเชื่อว่าถ้าท้ายที่สุดมีเพียงคนเดียวที่จะกลายเป็เซียน เช่นนั้นคนคนนั้นต้องเป็เขาแน่ นี่คือความเชื่อมั่นและความยึดมั่นของเขา
……
ใตู้เาไฟ มีผู้คนผ่านเข้าออกไม่น้อย
น่าเสียดายที่ไม่มีใครยินดีไปท้าทายซากโบราณสถานพร้อมกับพวกจั๋วอวิ๋นเซียนและถังจิ่วเลย ถึงอย่างไรก็มีชายหนุ่มระดับหลอมิญญาคนหนึ่งทำให้ดูน่าขัดหูขัดตาจริงๆ
“ถังจิ่วหาคนไม่ได้ก็ช่างเถอะ พวกเราจะเข้าไปกันเอง”
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่อยากเสียเวลาอีก เดิมทีจากนิสัยของเขาคงเข้าไปคนเดียวนานแล้ว จะปล่อยให้เื่ยุ่งยากขนาดนี้ได้อย่างไร แต่ถังจิ่วได้เน้นย้ำความยากของการท้าทายอีกครั้ง เขาจึงทำได้แค่รออีกหน่อย
“ช้าก่อน”
ถังจิ่วรีบเรียกจั๋วอวิ๋นเซียน เขากล่าวอย่างกระตุกกระตัก “คือว่า...เสี่ยวเซียน ข้าเรียกอีกคนให้มากับพวกเราได้หรือไม่? แต่พลังของคนคนนั้นค่อนข้างต่ำ...”
“ตามใจเ้า”
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ได้สนใจอะไรนัก ต่อให้พลังต่ำแค่ไหนก็คงไม่ต่ำไปกว่าเขา?
เมื่อถังจิ่วได้ยินจึงเริ่มวางใจ รีบติดต่อสหายของเขาด้วยความดีใจ
จั๋วอวิ๋นเซียนใช้เวลาว่างให้เป็ประโยชน์ ด้านหนึ่งฝึกฝนิญญา ด้านหนึ่งดูการต่อสู้ของบุตรแห่ง์ผ่านศิลาเงา
……
ผ่านไปไม่นาน เด็กสาวแต่งชุดธรรมดาอายุราวๆ สิบเจ็ดหรือสิบแปดปีคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“พี่จิ่ว ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าสหายของท่านไม่้าคนระดับต่ำกว่าระดับรวมพลังมิใช่หรือ เหตุใดถึงเรียกข้ามาเล่า?”
เมื่อได้ยินคำถามของเด็กสาว ถังจิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “เสี่ยวเนี่ยน ข้ากับคนพวกนั้นเดิมทีก็ไม่ใช่พวกเดียวกัน ตอนนี้พวกเขาไปทางของพวกเขาแล้ว พวกเราจะไปลองกันเอง...”
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ถังจิ่วชี้ไปทางจั๋วอวิ๋นเซียนกล่าวว่า “ใช่แล้วเสี่ยวเนี่ยน ข้าขอแนะนำให้เ้ารู้จัก สหายที่ดีของข้าอวิ๋นเสี่ยวเซียน อีกเดี๋ยวจะให้เขาเป็คนนำกลุ่ม พวกเราต้องเชื่อฟังเขาให้มาก”
“โอ้?”
เสี่ยวเนี่ยนเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนอายุไม่มากนักจึงเกิดความสงสัยอย่างห้ามไม่ได้ นางรู้นิสัยของถังจิ่วดี คนที่สามารถทำให้ถังจิ่วยอมรับได้มีไม่มาก แน่นอนว่าในฐานะที่เป็หญิงสาวที่เติบโตในเมือง นางเข้าใจดีว่า หากมีสิ่งที่ไม่ควรถามก็ห้ามถามออกมา
“ไปกันเถอะ”
จั๋วอวิ๋นเซียนไม่พูดมากให้เสียเวลา เขาทักทายทั้งสองคนเล็กน้อย จากนั้นเดินตรงไปทางเข้าูเาไฟ
ถังจิ่วพยักหน้าให้เสี่ยวเนี่ยน จากนั้นก็เดินตามหลังไป
