ฉินอวี่ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นบ้าง เขามองทางน้ำแห่งนี้อีกครั้งด้วยความประหลาดใจ ทางน้ำสายนี้เริ่มออกมาจากพลังมรณะที่พร่ามัว และผสานเข้ากับทางน้ำที่เขากำลังยืนอยู่ เกิดเป็ทางน้ำขนาดใหญ่ ทางน้ำแห่งนี้เป็เหมือนแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง จนท้ายที่สุดจึงไม่สามารถรู้ได้ว่ามันขยายออกไปสิ้นสุดที่ใด
“นี่มันอะไรกันแน่? พื้นดินของทางน้ำแห่งนี้เป็สีดินเหลืองจริงหรือ?” ฉินอวี่ประหลาดใจอย่างไร้ที่เปรียบ ความเลือนรางทำให้ดินแดนแห่งนี้ยิ่งมีความลับมากกว่าที่คิด
หลังจากที่พิจารณาดูเป็เวลานาน ฉินอวี่ก็ยังคิดอะไรไม่ออก ในทางกลับกันพลังิญญาอันเข้มข้นในพื้นที่แห่งนี้ก็ได้สั่นไหวจิตใจของฉินอวี่
“เป็เพลิงประหลาดของฟ้าดินรวมออกมาเป็หัวใจเพลิง เช่นเดียวกับเพลิงอสุนีบาต หัวใจเพลิงคือพลังของอสุนีบาต เพลิงมรณะจัดเป็หนึ่งในเพลิงประหลาดของฟ้าดิน หลอมรวมขึ้นเป็หัวใจเพลิงมรณะ และหัวใจเพลิงก็เป็พลังมรณะ พลังมรณะในที่แห่งนี้มีความเข้มข้นอย่างมาก บางทีอาจจะทำให้ข้าหลอมหัวใจเพลิงออกมาได้”
“หากสามารถหลอมหัวใจเพลิงออกมาได้ พลังที่มีก็จะเพิ่มขึ้นแน่นอน และพลังของหัวใจเพลิงก็จะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม”
“พลังมรณะในที่แห่งนี้มีความเข้มข้นอย่างยิ่ง หากพลาดจากที่นี่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีโอกาสที่จะหลอมหัวใจเพลิงได้อีก” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง แม้ว่าเขาจะอ่านตำราที่บันทึกเกี่ยวกับเพลิงมรณะมาไม่มากนัก แต่เพลิงมรณะก็เป็เพลิงฟ้าดินชนิดหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงคาดไว้ว่าเขาก็สามารถหลอมหัวใจเพลิงออกมาได้เช่นกัน
ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็ปล่อยวางความคิดทั้งหมดลงไป เขาค่อยๆ นั่งลงขัดสมาธิ และเริ่มใช้วิชาเซียนมรรคา์
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม กระแสวังวนพลังสีเทาได้เคลื่อนมาลอยอยู่เหนือทางน้ำแห่งนี้ วังวนพลังนี้ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หมุนวนเป็รัศมีกว่าสิบลี้ เป็เพราะพลังมรณะที่ปกคลุมทั่วพื้นที่ถูกดูดรวมเข้าไป ฟ้าดินจึงเริ่มสว่างขึ้นมาทันที
ฉินอวี่ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการดูดซับพลังมรณะไม่ทันสังเกตเห็นว่าพยนต์มรณะหนุ่มตัวนั้นได้จากไปั้แ่เมื่อใดแล้ว แต่ถ้ามโนจิตของเขายังคงใช้งานได้ เขาก็คงจะพบแล้วว่า พยนต์มรณะหนุ่มตัวนั้นได้จากออกไปแล้ว และกำลังเดินตามทางน้ำอันกว้างใหญ่เข้าไปยังส่วนลึก
เพียงพริบตา ก็ผ่านไปเป็เวลาหนึ่งเดือน
กลางทางน้ำ ฉินอวี่ได้เป็ดั่งเตาไฟขนาดใหญ่ เปลวไฟสีเทากำลังลุกโชนและโหมกระหน่ำอยู่ในวังวนพลังกลางอากาศ ราวกับว่ากำลังเผาผลาญฟ้าดิน
ในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวหลิงได้ขึ้นไปนั่งอยู่กลางอากาศั้แ่เมื่อใด และทำการดูดซับพลังจากเพลิงมรณะอย่างตะกละตะกลาม จนเพลิงมรณะที่ปกคลุมทั่วทั้งฟ้าถูกนางดูดกลืนไปจนเกือบหมด
“ฮึ!” ฉินอวี่ส่งเสียงอุทานออกมาอย่างต่อเนื่อง พลังมรณะในที่แห่งนี้ล้วนแต่ถือกำเนิดจากพลังความเกลียดชังที่มีก่อนตายมากมายนับไม่ถ้วน ขณะที่ฉินอวี่กำลังดูดซับมันอย่างบ้าคลั่งนั้น พลังอันชั่วร้ายนี้ก็รวมตัวในร่างกายของฉินอวี่เช่นกัน กลายเป็เสียงร้องโหยหวนของภูตผีที่น่าเวทนานับไม่ถ้วนอยู่ในห้วงความคิดของฉินอวี่
หากพลังความเกลียดชังนี้กระจายตัวไปทั่วพื้นที่ อันที่จริงก็ยังไม่น่ากลัว แต่หากทั้งหมดเกิดรวมตัวกันเป็หนึ่งเดียว พลังของมันก็จะน่ากลัวอย่างมาก ไม่ต่างอะไรกับการเข้าสู่ด้านมาร หากฉินอวี่ไม่สามารถควบคุมได้ พลังความเกลียดชังก็จะทำลายจิตใจของเขา เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็อาจกลายเป็ซากศพโดยสมบูรณ์
แต่หลังจากฉินอวี่ผ่านพ้นหกปีแห่งความสิ้นหวังมา จิตใจของเขาจะสะทกสะท้านต่อพลังความเกลียดชังเหล่านี้อีกหรือ?
ฉินอวี่เฝ้าดูจิตใจอย่างเคร่งครัด ปล่อยให้ความเกลียดชังเ่าั้สะท้อนอยู่ในจิตใจของเขา และยังคงดูดซับพลังมรณะต่อไป
“โหมวเซี่ยน... เ้า... กลัว... การลงทัณฑ์จาก์! กล้าดีอย่างไรจะ... หลอมหมื่นอสูรหงหวง...”
“พยนต์มรณะ... หย่งเจิ้น... หุบเหว”
“อื้อ... ไม่ยอม!”
เสียงแห่งความโกรธแค้นที่ดังอยู่มากมายะเืจิตใจของฉินอวี่ยิ่งนัก และเขาก็พยายามทำเป็ไม่สนใจต่อพลังมรณะที่กำลังควบรวมอย่างบ้าคลั่ง เพื่อพยายามปรับแต่งหัวใจเพลิงมรณะ!
“ยังไม่พอ!”
“วิชาเซียนมรรคา์ จงปะทุขึ้น!”
ฉินอวี่กัดฟันแน่น จากนั้นวิชาเซียนมรรคา์ก็ยกระดับขึ้นถึงขีดสุด กระแสวังวนของพลังทาง้าก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นจนเป็รัศมีกว่าร้อยลี้ ราวกับว่า้าจะรวบรวมพลังมรณะทั้งหมดที่มีอยู่ในแดนมรณะเข้ามา
ในนาทีสุดท้าย ฉินอวี่ก็รู้สึกได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่บีบเข้าปกคลุมจิตใจของเขา ราวกับจะบดขยี้เขาให้กลายเป็ผุยผง
หัวใจของฉินอวี่เริ่มเต้นผิดจังหวะ ใน่เวลาวิกฤติเช่นนี้ เขาไม่เพียงแต่ไม่ต้านทานมันเท่านั้น แต่ยังอาศัยพลังอันแข็งแกร่งของมันช่วยปรับแต่งเพลิงมรณะที่อยู่ในจุดตันเถียนอีกด้วย
เพลิงมรณะที่ดูดซับพลังมรณะจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าไปได้ขยายสูงขึ้นกว่าหนึ่งจ้าง และลุกไหม้ขึ้นมาราวกับจุดคบเพลิงขึ้นในจุดตันเถียน
ภายใต้แรงกดดันระดับสูงสุดนี้ เพลิงมรณะได้ควบแน่นอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุด มันก็ถูกปรับแต่งจนมีขนาดเท่านิ้วมือ
“ยังไม่พอ!” ฉินอวี่กลั้นหายใจ และส่งเสียงขึ้นอย่างทุ้มต่ำ แก่นพลังปราณในร่างกายได้เข้าห่อหุ้มเพลิงมรณะไว้ และหลอมมันอีกครั้ง
เมื่อเพลิงมรณะได้รับการขัดเกลาจนมีขนาดเพียงเส้นผมด้วยแรงภายนอกอันแข็งแกร่ง พลังมรณะก็ปะทุออกมาจากมันทันที จนพลังอันน่าสะพรึงกลัวเกือบจะเผาผลาญตันเถียนของฉินอวี่จนหมดสิ้น
ฉินอวี่ไม่สนใจที่จะมองดูการเปลี่ยนแปลงของเพลิงมรณะ เขาลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว และตอนนี้พลังปราณแห่งลมหายใจอันโบราณได้โชยเข้ามาััจมูกของเขา และสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของเขา ทำให้เขาตกตะลึงอย่างยิ่ง
สิ่งที่เห็นคือศีรษะัอันโหดร้ายขนาดใหญ่กว่าสิบจ้างที่ลอยขึ้นมาอย่างทันทีทันใด และในตอนนี้ มันก็อ้าปากของมันขึ้น เพื่อจะกลืนกินฉินอวี่ทันที
“หยาจื้อ? ไม่สิ นี่น่าจะเป็แก่นโลหิต! แก่นโลหิตของหยาจื้อ” ในใจของฉินอวี่ทั้งตื่นเต้นทั้งตกตะลึง
แก่นโลหิตหยาจื้อ หากเป็แก่นโลหิตหยาจื้อจริง ก็เป็เื่ง่ายที่เขาจะอาศัยแก่นโลหิตหยาจื้อเพื่อกระตุ้นสายเืหยาจื้อขึ้นมา!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็อสูรร้ายหรือจะเป็ผู้ฝึกตน แก่นโลหิตในร่างกายย่อมมีอยู่ไม่มากนัก แก่นโลหิตนี้เป็รากฐานของสายเื และเป็แหล่งกำเนิดของพลัง โดยทั่วไปแล้ว แก่นโลหิตมักจะมีความแข็งแกร่งขึ้น แต่ไม่เพิ่มปริมาณให้มากขึ้น
หลังจากมีระดับการฝึกฝนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็สามารถทำการแปรโลหิตได้ ซึ่งแก่นโลหิตจะสามารถแปลงเป็ร่างแยกได้ แก่นโลหิตทุกหยดจะมีพลังมหาศาล และมีจิติญญา!
ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่กำลังสู้รบกันเอาเป็เอาตาย แก่นโลหิตสามารถเผาผลาญเป็พลังอันบริสุทธิ์ได้ ซึ่งนี่จัดเป็วิธีที่อสูรร้ายและผู้ฝึกตนมักใช้เพิ่มความแข็งแกร่งของพลังในระยะเวลาอันสั้น
“เสี่ยวหลิง ช่วยข้าด้วย! ข้าสามารถเติมเต็มเพลิงมรณะให้เ้าได้ทุกเมื่อ” ฉินอวี่แผดเสียงดังและลุกขึ้นยืน จิติญญาร้ายในแก่นโลหิตนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ฉินอวี่จึงทำได้เพียงขอให้เสี่ยวหลิงช่วยจัดการกับพวกมัน
เสี่ยวหลิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เหนือศีรษะของฉินอวี่ได้ลืมตาขึ้น ดวงตาสดใสของนางเปล่งประกายหลากสีสัน ส่องประกายแสงปกคลุมศีรษะัขนาดใหญ่นั้น จากนั้นจึงเหยียดแขนอันงามดั่งรากบัวออกไป ลงบนศีรษะัอย่างไร้ความรู้สึก
ศีรษะันั้นหยุดลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาคู่หนึ่งที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังได้เผยใออกมาทันที
“เ้า... ทำได้... จริงหรือ!” เสียงเลื่อนลอยอันน่ากลัวราวกับภูตผีโหยหวนดังขึ้น
“ปัง!”
ฝ่ามือของเสี่ยวหลิงราวกับจะตัดแยกฟ้าดินออกจากกัน ผ่าวันเวลา แปลงเป็นิรันดร เพียงฟาดออกไปหนึ่งฝ่ามือ ศีรษะัก็พองขึ้นจนแตกออกทันที กลายเป็เพียงหมอกโลหิตที่ฟุ้งกระจาย
ฉินอวี่ระงับความปีติไว้ในใจ แก่นปราณในร่างกายเริ่มเต็มไปด้วยความดุร้าย ปกคลุมหมอกโลหิตของศีรษะัที่แตกสลายในทันที
“รวมมันให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ฉินอวี่อ้าแขนทั้งสองออก และรวมหมอกโลหิตที่ฟุ้งกระจายเข้ารวมกัน ท้ายที่สุด กลุ่มหมอกโลหิตก็กลายเป็ไข่มุกโลหิตขนาดเท่าครึ่งนิ้วก้อยหยดหนึ่ง ตกลงกลางฝ่ามือของฉินอวี่
ผมสีขาวนิ่งสนิท ฉินอวี่มองไปยังไข่มุกโลหิตที่อยู่กลางฝ่ามืออย่างตื่นเต้น สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องใคือ ไข่มุกโลหิตเม็ดนี้มีสีแดงทองเป็ส่วนใหญ่ และมีส่วนเล็กๆ ที่เป็สีเหลืองผืนดิน และมีเงาร่างหนึ่งอยู่ในสีทั้งสองด้วย
เมื่อมองดูให้ดี เงาร่างที่อยู่ในสีแดงทองนั้นคือเงาร่างของหยาจื้อ ส่วนเงาร่างอันเลือนรางในสีเหลืองผืนดินนั้นเป็เงาร่างศีรษะงู และแผ่นหลังเต่า ราวกับเสวียนอู่ในตำนาน
แก่นโลหิตเสวียนอู่!
แก่นโลหิตเสวียนอู่ถูกยกให้เป็ที่สุดของเกราะป้องกัน!
ดวงตาทั้งสองของฉินอวี่เปล่งประกายสว่างออกมาทันที ในใจของเขาเต็มไปด้วยความยินดี นี่คือโชคอันยิ่งใหญ่ที่เขาไม่เคยนึกฝัน จิติญญาหยาจื้อที่หลงเหลือยังสามารถดูดซับแก่นโลหิตของเสวียนอู่มาได้อีกด้วย!
ฉินอวี่มองไปทางคูน้ำทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าตรงสองข้างของทางน้ำ และพึมพำในใจ “มิน่าล่ะ มิน่าล่ะจึงไม่มีพลังอะไรอยู่ริมฝั่งทั้งสองข้างนี้เลย ที่แท้ก็เป็เพราะถูกแก่นโลหิตของหยาจื้อดูดซับเอาไว้! และนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีแก่นโลหิตหยาจื้อหลงเหลืออยู่ที่นี่!”
เมื่อมองไปยังเืในฝ่ามือ ฉินอวี่ก็ยิ่งใ และพูดอย่างตื่นเต้น “หากสามารถกลืนแก่นโลหิตนี้ และร่วมกับโอสถโลหิต ก็น่าจะเพียงพอที่จะใช้กระตุ้นสายเืหยาจื้อและเสวียนอู่ และเมื่อกระตุ้นได้ ข้าก็จะใช้การเปลี่ยนแปลงขึ้นที่สองของวิชาปีศาจคลั่ง แปรเปลี่ยนสายเื!”
ั้แ่นานมาแล้ว ไม่ใช่ว่าฉินอวี่ไม่คิดจะฝึกวิชาปีศาจคลั่งในปริวรรตที่สอง แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงขั้นที่สองนี้จะต้องใช้เืเป็ฐาน แม้ว่าตนเองจะเป็ร่างอสุนีลึกลับ แต่ก็ยังต้องอาศัยพลังอสุนีบาต และไม่ใช่ว่าฉินอวี่จะไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองยังมีสายเือื่นในร่างกายหรือไม่ จึงทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะใช้การเปลี่ยนแบ่งขั้นที่สองอย่างสูญเปล่า
แต่ในตอนนี้ เมื่อได้แก่นโลหิตของหยาจื้อและเสวียนอู่มาแล้ว ฉินอวี่ก็สามารถกระตุ้นสายเืทั้งสองได้ และเมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะใช้การเปลี่ยนแปลงขั้นที่สองในวิชาปีศาจคลั่ง เผาพลังของสายเื!
“จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับตอนนี้แล้ว” ฉินอวี่พึมพำ และกลืนแก่นโลหิตเข้าไปอย่างไม่ลังเล
เมื่อแก่นโลหิตลงสู่ท้องของเขา ฉินอวี่ก็รู้สึกได้เพียงพลังโบราณที่พุ่งเข้ามาในร่างกาย ฉินอวี่ต้องแบกรับความเ็ปของแก่นโลหิตอันแข็งแกร่งเพื่อถ่ายเทเข้าสู่ตันเถียนและรวมเข้ากับโอสถโลหิต
“จงผสาน!” ฉินอวี่ส่งเสียงขึ้นเบาๆ โอสถโลหิตก็หมุนอย่างรวดเร็ว และดูดซับแก่นโลหิตเข้าไปทันที
โอสถโลหิตหมุนอย่างรวดเร็ว แสงสีแดงทอง สีเหลืองดิน และสีม่วงอ่อนเปล่งประกาย ในขณะที่โอสถโลหิตกำลังเปลี่ยนแปลงก็พลันปรากฏรอยร้าวขึ้นมา
“เปรี๊ยะ!”
โอสถโลหิตแตกออกเป็กุมารน้อย กุมารทิพย์สีม่วงอ่อนขนาดเท่ากำปั้นตนหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมา
“เป็เช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”
ในขณะที่ฉินอวี่กำลังมองกุมารทิพย์นั้นอย่างประหลาดใจ เสี่ยวหลิงที่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ศีรษะัปรากฏขึ้น เธอได้โบกมือทั้งสองขึ้นจนแผ่นดินพังทลาย เผยให้เห็นแผ่นศิลาโบราณแผ่นหนึ่ง เสี่ยวหลิงมองตรงไปอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงนำแผ่นศิลานั้นขึ้นมาจากพื้นดิน
“เวิง!”
เกิดเสียงดังสั่นะเืไปทั้งแดนมรณะ ม่านแสงพลังเวทที่ปกคลุมแดนมรณะพังทลายลงทันที พยนต์มรณะที่อยู่กระจัดกระจายอยู่ในแดนมรณะต่างล้มลง พยนต์มรณะหนุ่มที่กำลังวิ่งอย่างรวดเร็วไปตามทางน้ำ โซเซขึ้นก่อนจะล้มลงกับพื้น เขาไม่ได้ล้มลงและลุกขึ้นไม่ได้เหมือนพยนต์มรณะตัวอื่น แต่กลับดิ้นรนเพื่อจะปีนขึ้นมุ่งหน้าต่อไป…
“ไม่...” เสียงะโที่เหมือนจะดังมาจากยุคโบราณได้ดังขึ้น แต่เสียงนั้นเลื่อนลอยดั่งสายลม หากไม่ตั้งใจฟังก็ไม่อาจจะได้ยินมันเลย
