หลินเยว่วางเครื่องเคลือบชิ้นที่ 6 ลง ตอนนี้เครื่องเคลือบทั้ง 6 ชิ้นแรกล้วนเป็เครื่องเคลือบลอกเลียนแบบเกรดเอ ไม่ว่าจะเป็สีเคลือบหรือตัวเครื่องเคลือบก็ล้วนเลียนแบบได้อย่างประณีตจนเหมือนของแท้มีเพียงจุดผิดสังเกตเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แต่ทว่าถึงจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ยังเป็ของปลอมอยู่ดีหลินเยว่จึงแอบผิดหวังอยู่ในใจ แล้วเมื่อไรเขาถึงจะพิสูจน์เจอของแท้ในเครื่องเคลือบทั้ง10 ชิ้นนี้ล่ะ?
เมื่อพิสูจน์เครื่องเคลือบชิ้นที่ 6 เรียบร้อยแล้ว หลินเยว่ก็เหลือเวลาไม่ถึง 10นาที
เนื่องจากสภาพจิตใจของหลินเยว่เกิดการเปลี่ยนแปลงเขาเริ่มควบคุมตนเองได้และรู้ว่าควรจะใช้สภาพจิตใจแบบไหนในการพิสูจน์เครื่องเคลือบดังนั้น เขาจึงใช้เวลาไป 8 นาที
ยังเหลือเครื่องเคลือบอีก 4 ชิ้น
แต่เหลือเวลาไม่ถึง 10 นาที
การที่ต้องหาของแท้ให้เจอจากเครื่องเคลือบ 4 ชิ้นภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที มันเป็เื่ยากจริงๆ
เขาต้องพยายามให้ถึงที่สุด!
หากเหลือเวลาเพียง 2 นาทีแต่เขายังหาไม่เจอว่าเครื่องเคลือบชิ้นไหนเป็ของแท้เมื่อถึงตอนนั้นเขาต้องใช้สภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กร่วมกับพลังพิเศษตาทิพย์แล้วล่ะ
เขาใช้เวลาครึ่งนาทีในการเข้าสู่สภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กพร้อมเปิดตาทิพย์หลังจากนั้นจะใช้เวลา 1 นาทีครึ่งในการััความหนืดของเครื่องเคลือบและตัดสินว่าเครื่องเคลือบชิ้นไหนเป็ของแท้
สู้ๆ!!!
หลินเยว่ให้กำลังใจกับตัวเองอยู่ในใจสายตาของเขามีแต่ความหนักแน่นเด็ดขาด
หลินเยว่สาวเท้ายาวๆเข้าไปยังเครื่องเคลือบชิ้นที่ 7 อย่างรวดเร็ว
เครื่องเคลือบชิ้นที่7 คือชามลายครามใบหนึ่ง
ชามใบนี้......ดูเหมือนว่าในสมัยก่อนจะใช้......ดื่มซุป?
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลินเยว่เกิดอาการกระตุกขึ้นทันทีชามที่ไว้สำหรับดื่มซุปในสมัยโบราณกลายเป็ของล้ำค่าในปัจจุบันเสียแล้ว
หลินเยว่ได้แต่ส่ายศีรษะเขาหยิบชามใบนี้ขึ้นมาสังเกตอย่างละเอียดทันที
ตรงกลางของชามลายครามใบนี้เป็ภาพเทพเ้าเซียนเวิงกำลังขี่หลังนกกระเรียนท่าทางของเซียนเวิงมีความเป็ธรรมชาติ มุมปากมีรอยยิ้มราวกับว่าท่านได้หลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับธรรมชาติภายนอก นกกระเรียนเทพกำลังโผบินท่ามกลางท้องฟ้าท่าทางสง่างามยิ่งนัก ส่วนภาพวาดด้านนอกของชามเป็ภาพแปดเซียนในท่วงท่าที่แตกต่างกันและมีอักษรจีน “寿(อายุยืน)”ที่เขียนด้วยอักษรจ้วนซู ตรงขอบปากชามด้านนอกมีการเขียนลายดอกเหมยอยู่รอบๆเมื่อมองชามลายครามใบนี้จะให้ความรู้สึกสงบสุขและเป็สิริมงคล เกิดเป็ความรู้สึกว่าสุขภาพร่างกายจะแข็งแรงและมีอายุยืนยาวตลอดไป
ภาพแปดเซียนที่วาดบนชามนี้ไม่ได้เป็แปดเซียนที่มีเหอเซียนกูเป็หนึ่งในเซียนทั้งแปดแต่เป็แปดเซียนที่ตัดเหอเซียนกูออกและเพิ่มตงฟางซั่วเข้าไป
เมื่อเห็นภาพแปดเซียนนี้หลินเยว่ก็สามารถตัดสินได้คร่าวๆ ว่าชามใบนี้อยู่ในยุคสมัยไหน... ชามลายครามในรัชศกว่านลี่แห่งราชวงศ์ิ
การที่เหอเซียนกูกลายเป็หนึ่งในแปดเซียนนั้นเริ่มต้นมาจากนิยายเื่“บันทึกแปดเซียนออกท่องทะเลตะวันออก” ที่ประพันธ์โดยอู๋หยวนไท่ในรัชศกเจียจิ้งแห่งราชวงศ์ิเป็เพราะนิยายเื่นี้ทำให้รายชื่อแปดเซียนถูกระบุไว้ดังนี้ เถียไกว่หลี่ ฮั่นจงหลีหลฺวี่ต้งปิน จางกั๋วเหล่า เฉากั๋วจิ้ว หานเซียงจื่อ หลันไฉ่เหอ และเหอเซียนกู ซึ่งก่อนหน้านี้มักจะมีตงฟางซั่วและสวีเซียนเวิงเป็ส่วนหนึ่งในแปดเซียน
แต่ใน่รัชศกว่านลี่ที่ไม่มีการวาดภาพเหอเซียนกูแต่กลับวาดเป็ภาพตงฟางซั่วผู้เฒ่าเครายาวผู้นั้นเป็เพราะใน่รัชศกว่านลี่15 ปีแรก อัครเสนาบดีจางจวีเจิ้งเป็ผู้บริหารบ้านเมืองเขามีการกำกับดูแลบ้านเมืองอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านบทบาทของสตรี ในขณะเดียวกันจึงเกิดแิให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรีดังนั้น บนชามจึงไม่มีการวาดภาพเหอเซียนกูใน่นั้น
หลินเยว่พลิกก้นชามขึ้นมาดูเขาเห็นตัวอักษร้าเขียนไว้ว่า
ทำขึ้นในรัชศกว่านลี่แห่งราชวงศ์ิ
ตัวอักษรเขียนอย่างพลิ้วไหวเป็ธรรมชาติแต่ละขีดแต่ละเส้นมีความแข็งแกร่งมีพลัง หากเป็ของลอกเลียนแบบก็แทบไม่มีทางเขียนออกมาได้แบบนี้เลยนี่คือการเขียนอักษรจากเตาเผาชาวบ้านในสมัยราชวงศ์ิที่มีชื่อเสียงมาก เป็ลายเส้นพลิ้วไหวสวยงามยิ่งนัก
หลินเยว่พลิกชามลายครามกลับมาอีกครั้งและสังเกตลักษณะเฉพาะตรงผิวเคลือบทั้งหมด
เวลานี้คือการทดสอบความรู้เฉพาะทางแล้วหากไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องเคลือบในสมัยรัชศกว่านลี่แห่งราชวงศ์ิก็ไม่มีทางที่จะเริ่มพิสูจน์เครื่องเคลือบชิ้นนี้ได้เลย
หลินเยว่สังเกตสีเคลือบสีเคลือบเป็ประกายสว่างสดใส เหมือนกับลักษณะเฉพาะของเครื่องเคลือบที่ทำเลียนแบบขึ้นมาใหม่มากแต่เขาก็ต้องลบทิ้งความคิดนี้ของตนเองออกไปทันทีเพราะหากเป็เครื่องเคลือบปกติทั่วไป หากใช้ไฟในการเผาเพียงพอประกายสีเคลือบย่อมสดใสเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการผ่านการเก็บรักษามานานหลายร้อยปีประกายของมันย่อมสดใสยิ่งกว่าปกติ ดังนั้นจึงไม่สามารถนำมาเทียบกับประกายสีเคลือบที่มีความแสบตาในปัจจุบันได้เลย
หลินเยว่มองประกายสีเคลือบอย่างละเอียดเขาพบว่าประกายของมันไม่แสบตาเลย
เมื่อเขาคิดถึงความคิดแรกที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองของตัวเองเขาก็ถึงกับส่ายศีรษะ
ต่อไปเขาต้องสำรวจให้ครบทุกด้านก่อนแล้วค่อยตัดสินเขาห้ามชี้นำความคิดตัวเองไปล่วงหน้า!
หากเขาไม่ได้ััความรู้สึกจากประกายสีเคลือบนี้อย่างตั้งใจเขาก็อาจจะเข้าใจผิดไปจริงๆ
มิน่า... ถึงมีคนกล่าวไว้ว่า“ของใหม่ไม่กลัวของแท้ ของแท้ไม่กลัวของใหม่”
จากขั้นตอนการพิสูจน์เครื่องเคลือบหลินเยว่จึงสังเกตรูปทรงของเครื่องเคลือบเป็ลำดับถัดไป
รูปทรงของชามลายครามใบนี้สวยงามมากเป็การสืบทอดความโดดเด่นจากชามในสมัยรัชศกเจิ้งเต๋ออย่างแท้จริง
ชามในสมัยราชวงศ์ิตอนต้นส่วนก้นมักจะค่อนข้างใหญ่ ให้ความรู้สึกว่าเวลาใส่ของลงในชามจะไม่มีทางตกหล่นได้เลยขาชามเอียงออกเล็กน้อย เพื่อเป็ฐานให้กับ้าอย่างเหมาะสมและทำให้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ในสมัยราชวงศ์ิตอนกลางไปถึงตอนปลายชามเคลือบจากตรงปากชามจะค่อยๆ โค้งลงด้านล่าง ตรงตัวชามจะเป็รอยเว้าเล็กน้อยกลายเป็ลักษณะเส้นโค้ง แต่ตรงขาชามจะมีลักษณะตั้งตรงทำให้รอยโค้ง้าดูสะดุดตามากยิ่งขึ้นชามเคลือบรัชศกว่านลี่ก็ได้สืบทอดรูปทรงลักษณะเช่นนี้มาด้วยเช่นกันเวลาจับจะรู้สึกพอดี ดังนั้น นอกจากความงามแล้ว ยังเป็การเพิ่มคุณค่าทางด้านการใช้งานอีกด้วย
อืม รูปทรงเป็รูปแบบของรัชศกว่านลี่และรูปทรงเช่นนี้ก็กลายเป็ต้นแบบของชามเคลือบในเวลาต่อมา
หลินเยว่พยักหน้าอย่างเงียบๆหลังจากนั้นเขาจึงสำรวจปากชามและก้นชาม
ชามใบนี้ตรงขอบปากมีรอยเหมือนแมลงกัด เป็รอยหลุมเล็กๆเต็มไปหมด
หลินเยว่จำได้ว่าตอนที่อาจารย์ของเขาอธิบายเกี่ยวกับเครื่องเคลือบหลังจาก่สมัยรัชศกว่านลี่ไปจนถึงราชวงศ์ชิงตอนต้นนั้นอาจารย์บอกว่าปากชามมักจะมีรอยหลุมเล็กๆ เช่นนี้และในวงการเครื่องเคลือบจะเรียกรอยเช่นนี้ว่า “รอยแมลงสาบกัด”ที่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้นั่นเป็เพราะก่อน่ราชวงศ์ิตอนกลาง ดินขาวที่จิ่งเต๋อเจิ้นนำมาใช้ผลิตเครื่องเคลือบนั้นนำมาจากพื้นที่บริเวณหมาชางเมื่อนำมาปั้นชิ้นงานแล้วจึงเกิดเป็ผลงานที่มีความละเอียดสวยงามสามารถผสมผสานกับสีเคลือบได้เป็อย่างดีด้วยเหตุนี้เครื่องเคลือบจึงมีความแข็งแรงทนทาน ไม่ค่อยเกิดความเสียหายแต่ทว่าเมื่อถึง่สมัยปลายราชวงศ์ิ ดินหมาชางถูกใช้ไปจนหมดเสียแล้วทำให้หลังจากนั้นจึงต้องใช้ดินขาวจากพื้นที่อื่นๆ มาทำชิ้นงานแทนแต่ขณะเผาชิ้นงานเ่าั้กลับเกิดเหตุการณ์ที่ตัวชิ้นงานกับสีเคลือบไม่สามารถหลอมรวมกันได้ดีสีเคลือบตรงปากเครื่องเคลือบจึงไหลหายไป จึงเกิดเป็เหตุการณ์สีเคลือบหดตัวดังนั้น จึงเกิดรอยแมลงสาบกัดขึ้น
เครื่องเคลือบในสมัยปลายราชวงศ์ินอกจากจะมีปากชามเป็ลักษณะเด่นแล้วก้นชามก็มีลักษณะเด่นเช่นกัน
ตรงก้นชามการตกแต่งก้นชามในสมัยราชวงศ์ิตอนปลายค่อนข้างหยาบ นอกจากตรงขาชามด้านนอกจะมีรอยขูดขีดเป็ชั้นๆแล้ว ตรงก้นชามมักจะมีริ้วรอยนูนที่เกิดจากการใช้มีดไม้ไผ่ตกแต่งชิ้นงาน และตรงส่วนขาที่เป็วงกลมยื่นออกมากับรอยต่อตรงก้นชามมักจะเห็นรอยแหว่งเล็กๆราวกับเป็รอยที่ถูกแมลงกัดอีกด้วย
หลินเยว่สังเกตชามเบื้องหน้าอย่างละเอียดว่าเป็ไปตามข้อมูลที่เขาจดจำอยู่ในสมองหรือไม่เขาพบว่าลักษณะตรงก้นชามของชามเคลือบเบื้องหน้าเป็ไปตามข้อมูลที่อาจารย์ของตนพูดไว้100%
มีหลักฐานเพิ่มขึ้นอีกส่วน!
หลินเยว่อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมาเขาหวังว่าเครื่องเคลือบชิ้นนี้จะเป็ของแท้เพราะเช่นนี้เขาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าตนเองจะสามารถหาของแท้จากเครื่องเคลือบ 10 ชิ้นภายในเวลาที่กำหนดได้หรือไม่
สังเกตต่อไป!
หลินเยว่พยายามคิดทบทวนความรู้ทั้งหมดที่อาจารย์ของเขาเคยบรรยายไว้เพียงไม่นานหลินเยว่ก็คิดถึงลักษณะเด่นอื่นๆของเครื่องเคลือบในรัชศกว่านลี่แห่งราชวงศ์ิ
อย่างแรกคือส่วนผสมวัตถุดิบในการเขียนสีอีกอย่างคือศิลปะลายเส้นเดี่ยวลงสีแบบระนาบและเทคนิคการแบ่งสัดส่วนน้ำ
นับั้แ่รัชศกเจียจิ้ง่ราชวงศ์ิตอนปลายมีการเริ่มใช้ส่วนผสมสีครามหุยที่ได้จากดินแดนตะวันตกผสมกับสีครามสือจื่อของเจียงซีเพื่อทำเป็สีครามตาม้าในการเขียนสีหากสัดส่วนสีครามหุยค่อนข้างมาก เครื่องลายครามชิ้นนั้นจะมีสีค่อนข้างเข้มสดใสหากใช้สีครามสือจื่อค่อนข้างมาก สีครามที่ปรากฏจะค่อนข้างออกเป็สีฟ้าอมเทาเนื่องจากสีครามหุยมีราคาแพง ดังนั้นเมื่อถึงรัชศกว่านลี่ตอนปลายจนถึงรัชศกเทียนฉี่เพื่อ้าประหยัดเงินพวกชาวบ้านจึงใช้สีครามสือจื่อในการเขียนลวดลายต่างๆ
ชามลายครามเบื้องหน้านี้เป็สีครามสดใสมีชีวิตชีวามีสีฟ้าอมเทา เห็นได้ชัดว่าเป็เครื่องเคลือบในสมัยรัชศกว่านลี่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้