รู้อย่างนี้ไม่ไปดูบ้านหลังสุดท้ายคงจะดีเสียกว่า
ทำเลไม่ดีเท่าสองหลังแรก ราคาก็ไม่ได้ถูกกว่าสักเท่าไร แถมยังต้องเจอกับหมาบ้าอีกหนึ่งตัวด้วย
สิ่งเดียวที่ทำให้เธออารมณ์ดีคือการได้เห็นสภาพตกอับของเซี่ยฉางเจิง เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่แม่พระ ดังนั้นเมื่อเธอเห็นสภาพครอบครัวของเซี่ยฉางเจิงมีชีวิตที่ย่ำแย่ อารมณ์ของเธอจึงเบิกบานขึ้นมา
เธอไม่ควรเสียเวลากับคนพวกนี้เลยจริงๆ หลังจากเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าเรียนที่หัวชิงแล้วก็พบว่า เมื่อก่อนวิสัยทัศน์ของตนนั้นยังไม่กว้างพอ เซี่ยจื่ออวี้เก่งมาจากไหนนั้นเธอไม่ทราบ แต่ยามที่ต้องจัดการก็ควรจัดการให้พ้นทางเสีย ไม่เช่นนั้นจะให้เธอละทิ้งเื่อื่นแล้วเอาแต่ฟัดกับเซี่ยจื่ออวี้ทั้งวันหรือ
เซี่ยเสี่ยวหลานดูบ้านจนครบทุกหลังแล้ว ก็นำความคิดเห็นของตัวเองไปปรึกษาหลิวหย่ง
พอหลิวหย่งได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะซื้อบ้านที่ปักกิ่ง... เื่นี้ไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาคิดไว้สักเท่าไร ความคิดของเขาคืออยากตั้งรกรากที่เมืองมณฑล ย้ายจากหมู่บ้านชีจิ่งมาที่เมืองมณฑล เท่านี้ก็ถือเป็การถีบตัวเองครั้งใหญ่แล้ว หลิวหย่งอยากซื้อบ้านที่เมืองมณฑล และพยายามหาบ้านที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา เขาถึงกับขอร้องหูหย่งไฉให้ช่วยหาบ้านอีกแรง หากเจอบ้านที่เหมาะสมเมื่อไรเขาก็จะซื้อไว้ทันที
เพราะอยากซื้อบ้านที่เมืองมณฑล เขาจึงกัดฟันทนไม่ปรับปรุงบ้านที่ชนบท
หลี่เฟิ่งเหมยภรรยาเขาบอกว่า บ้านของน้องสาวกับหลานสาวตกแต่งใหม่แล้วสวยงามมาก หลิวหย่งเองก็ชักอยากทำขึ้นมาเหมือนกัน
แต่เพราะต้องซื้อบ้านที่เมืองมณฑลก่อน เขาถึงจะคิดถึงการปรับปรุงบ้านที่ชนบท หากหลิวหย่งไม่ได้รับงานตกแต่งภายในบ้านพักรับรองประจำเทศบาลเมือง เขาคงไม่มีทางมีเงินเยอะกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานแน่นอน นั่นก็เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยปล่อยโอกาสทำเงินเลยสักครั้ง ในขณะที่หลิวหย่งแค่ทำงานตกแต่งภายในไปวันๆ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เซี่ยเสี่ยวหลานกับเฉินซีเหลียงร่วมมือกันสั่งผลิตชุดออกกำลังกายคราวเดียวถึงสามหมื่นชุด ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ทำกำไรได้คนละหลายหมื่น เงินจำนวนนี้หลิวหย่งต้องรับงานกี่โครงการกันกว่าจะได้มา?
บ้านที่ซางตูยังไม่ทันได้ซื้อ เซี่ยเสี่ยวหลานก็จะให้เขาซื้อบ้านที่ปักกิ่งเสียแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่า้าเงินหกเจ็ดหมื่นหยวน เงินพวกนี้หลิวหย่งสามารถออกให้ได้ แต่ที่เขากำลังลังเลคือเขาควรซื้อบ้านหลังที่ว่าหรือเปล่า
“หลานว่า ต่อให้ลุงซื้อบ้านที่ปักกิ่ง ลุงกับป้าสะใภ้ของหลานก็ไม่ได้ไปอยู่ไม่ใช่หรือ ดังนั้นหากซื้อบ้านที่ซางตูก็คงเหมือนกันนั่นแล อีกทั้งราคานี้สามารถซื้อบ้านที่ซางตูได้สักสองหลังจริงหรือไม่เล่า”
หลิวหย่งไม่เข้าใจจริงๆ
เขาไม่ใช่คนหัวอ่อน หลังจากเห็นตลาดที่เผิงเฉิง หลิวหย่งก็มีความคิดเป็ของตัวเองมากขึ้น
เซี่ยเสี่ยวหลานคาดไม่ถึง แต่เมื่อหลิวหย่งถามกลับมาแบบนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็รู้สึกดีใจไม่น้อย
“ซื้อบ้านหลังเล็กๆ ที่ซางตูใช้เงินแค่สองสามหมื่นก็เหลือเฟือแล้วก็จริง แต่ซางตูกับปักกิ่งไม่เหมือนกัน ลุงก็คงเห็นที่เผิงเฉิงแล้ว หลิวเทียนเฉวียนเถ้าแก่ของเทียนเฉินยัง้ามาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเลย และเขาก็ทำมันได้สำเร็จ ฉันคิดว่าอนาคต ‘คอนโดมิเนียม’ ที่สามารถซื้อขายกันได้อย่างอิสระจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน และหากในอนาคตมีการยกเลิกระบบควบคุมทะเบียนบ้านชนบท หรือแค่ซื้อบ้านก็สามารถย้ายทะเบียนบ้านเข้าไปอยู่ในเมืองได้ ลุงว่าคนทั้งประเทศจะอยากไปอยู่ที่ไหนมากที่สุดล่ะ”
ถึงตอนนั้นคนจะอยากไปอยู่ที่ไหน?
คนที่อยู่ในหมู่บ้านย่อมอยากไปอยู่ในตำบล ส่วนคนที่อยู่ในตำบลก็คงอยากไปอยู่ในตัวเมือง และพวกที่อยู่เมืองมณฑลแน่นอนว่าคงอยากย้ายไปอยู่ในเมืองที่ใหญ่กว่า
ดีไม่ดี คนแผ่นดินใหญ่ยังอยากไปอยู่ที่ฮ่องกงเสียด้วยซ้ำ!
หลิวเทียนเฉวียนมักเล่าให้หลิวหย่งฟังตลอดว่าฮ่องกงนั้นเจริญมากแค่ไหน หลิวหย่งเองก็อยากไปที่นั่นเช่นกัน
ตอนนี้ยังไม่มีโอกาส แต่ถ้าหากมีโอกาสเมื่อไรเขาย่อมอยากไปยังที่ที่ดีกว่า หลิวหย่งกระจ่างแจ้งขึ้นมาในชั่วพริบตา หากย้ายจากในชนบทไปที่เมืองมณฑล แล้วค่อยย้ายจากเมืองมณฑลไปที่ปักกิ่ง คำแนะนำของเสี่ยวหลานก็คือการผลักดันให้เขาไปยังสถานที่ที่ดียิ่งขึ้นไม่ใช่หรือ!
อยู่เมืองมณฑลได้ แล้วทำไมจะอยู่เมืองหลวงไม่ได้?
หลิวหย่งเข้าใจแล้ว เสียงของเขาติดแหบขึ้นเล็กน้อย “พวกเราซื้อบ้านที่เมืองหลวงได้จริงหรือ?”
หลิวหย่งจดจำได้ทุกวินาทีว่าทะเบียนบ้านของตนนั้นอยู่ที่ชนบท
ทะเบียนบ้านที่แตกต่างกัน ย่อมเปรียบเสมือนการแบ่งชนชั้นกันเสียดื้อๆ !
แม้จะเป็นักธุรกิจผู้ร่ำรวยแต่ไม่มีสถานะทางสังคม ค่านิยมของสังคมย่อมไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป หลิวหย่งไม่มีทางไม่ติดใจเื่ทะเบียนบ้านของตัวเอง ตอนนี้เขาหาเงินได้แล้ว แต่ไม่เคยคิดเื่ซื้อบ้านที่ปักกิ่งเลยสักครั้ง หลังจากฟังสิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานบอก เหมือนว่าแค่มีเงินก็สามารถซื้อบ้านที่เมืองหลวงได้ไม่ใช่หรือ หากซื้อบ้านก็เท่ากับได้ตั้งรกรากที่เมืองหลวงแล้วสินะ?
มีเงินอย่างเดียวใช่ว่าจะซื้อบ้านที่ปักกิ่งได้ อย่างไรก็ต้องดูด้วยว่ามีช่องทางหรือเปล่า
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ต้องพึ่งบารมีของผู้จัดการใหญ่อู่ และบารมีของผู้จัดการใหญ่อู่ก็สามารถขอยืมใช้ได้ไม่ยาก ต้องขอบคุณสินทรัพย์ใน่เวลาพิเศษอย่าง ‘พันธบัตรรัฐบาล’ แน่นอนว่าทุกปัจจัยล้วนมีความสำคัญ หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งคงไม่มีทางสำเร็จ ไม่มีเส้นสาย ไม่มีคอนเนคชัน คิดว่าเรือนสี่ประสานที่ปักกิ่งจะสามารถเลือกซื้อได้โดยง่ายอย่างนั้นหรือ
รายละเอียดเหล่านี้เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้อธิบายลงลึก เธอแค่บอกกับหลิวหย่งอย่างมั่นใจว่า ขอแค่เขายอมควักเงินก้อนนี้ เื่ซื้อบ้านก็สำเร็จไปแล้วเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
หลิวหย่งที่เข้าใจทุกอย่างย่อมไม่ลังเลอีกต่อไป เขาตบปากรับคำทันทีว่าจะออกเงินให้
หลังวางสายเขาถึงนึกขึ้นได้ว่า ตนยังไม่ได้ปรึกษากับหลี่เฟิ่งเหมยภรรยาเลย
หลิวหย่งคิดแล้วก็ขำ เขาตัดสินใจจะย้ายไปตั้งรกรากที่ปักกิ่งแล้วด้วยซ้ำแต่กลับลืมที่จะบอกภรรยาเขาเสียได้ เอาไว้ซื้อบ้านเรียบร้อยค่อยบอกก็แล้วกัน รับรองว่าเฟิ่งเหมยของเขาคงสะดุ้งโหยงอย่างแน่นอน!
หลิวหย่งอยากเก็บเื่นี้เป็ ‘เซอร์ไพรส์’ ส่วนทางด้านเซี่ยเสี่ยวหลานหลังจากที่ดูบ้านเสร็จแล้ว เธอยังไม่ได้ติดต่อเ้าของบ้านทั้งสองหลังกลับไป เธอจะต้องต่อรองราคาบ้านทั้งสองหลังเสียก่อน เฉินซีเหลียงเองก็กำลังรอคำตอบจากเธอ และแน่นอนว่าเธอต้องไปที่หน่วยงานเพื่อปรึกษากับโจวเฉิงว่า อยากร่วมทุนกับเฉินซีเหลียงหรือไม่
เธอเตรียมขี่จักรยานไปยังหน่วยงานของโจวเฉิง
ออกเดินทางจากหัวชิง ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก็คงจะถึง
ทว่าหลังจากที่เธอเพิ่งออกจากรั้วมหาวิทยาลัย เซี่ยเสี่ยวหลานก็เจอกับจี้เจียงหยวน
เซี่ยเสี่ยวหลานวันๆ หนึ่งต้องไปที่โรงพยาบาล และยุ่งอยู่กับการดูบ้าน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เจอกับจี้เจียงหยวนมาหลายวันแล้ว เดิมทีทั้งสองคนก็ไม่ได้เรียนสาขาเดียวกัน ยากนักที่จะเจอกันในชั้นเรียน พรุ่งนี้ทังหงเอินจะออกจากโรงพยาบาล และวันนี้เธอก็บังเอิญเจอกับจี้เจียงหยวนอย่างพอดิบพอดี
จี้เจียงหยวนเองก็รู้สึกบังเอิญเช่นกัน
“สหายเซี่ยเสี่ยวหลาน ่นี้เธอดูยุ่งมากเลยนะ ฉันตามหาเธอมาสองวันแล้ว รอเดี๋ยวนะ ฉันมีของจะให้”
จี้เจียงหยวนบอกให้เซี่ยเสี่ยวหลานรอที่หน้าประตูสักครู่ ก่อนจะขี่จักรยานกลับไปที่หอพัก ไม่นานนักเขาก็หิ้วถุงใบหนึ่งกลับมา
“ฉันให้ เธอลองชิมดูว่าอร่อยไหม”
จี้เจียงหยวนอยากตอบแทนน้ำใจ เซี่ยเสี่ยวหลานให้กุ้งแห้งแก่เขาเยอะมาก จี้เจียงหยวนจึงเอาขนมจากต่างประเทศมามอบให้เธอเป็การตอบแทน ในถุงนั้นบรรจุไปด้วยช็อกโกแลตและลูกอมต่างๆ
“มันแพงไปหน่อยหรือเปล่า”
ช็อกโกแลตจากต่างประเทศถือเป็ของดีในยุคนี้ ไม่ใช่เื่มีเงินซื้อหรือเปล่า แต่เพราะมันคือของที่หาซื้อได้ยาก ปกติเซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ลงทุนขี่รถอ้อมไปซื้อมันโดยเฉพาะอย่างแน่นอน แต่เมื่อมีคนให้แบบนี้เธอย่อมรู้สึกดีใจเป็ธรรมดา แม้เธอไม่ชอบกินลูกอม ทว่าโจวเฉิงของเธอชอบกินของหวานพอดี เช่นนั้นเธอจะเอาไปให้เขาพร้อมกับกุ้งแห้ง!
จี้เจียงหยวนอยากหัวเราะ ปากบอกว่าแพง แต่เซี่ยเสี่ยวหลานกลับโยนมันใส่ตะกร้าจักรยานอย่างขอไปที
การกระทำเช่นนี้ทำให้จี้เจียงหยวนรู้สึกสบายใจเป็อย่างมาก เดิมทีนี่ก็เป็แค่เื่เล็กน้อยเท่านั้น หากบอกปัดไปมาคงรู้สึกอึดอัดต่อกันเสียเปล่าๆ
ทั้งสองคนคุยกันอยู่หน้ามหาวิทยาลัย แถมจี้เจียงหยวนยังให้ของขวัญกับเซี่ยเสี่ยวหลาน ภาพทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของหวังเจี้ยนหัวที่ยืนอยู่อีกฟากฝั่งถนน มันทิ่มแทงสายตาของเขาเหลือเกิน เดิมทีเขามาที่หัวชิงเพราะอยากคุยกับเซี่ยเสี่ยวหลาน เขาไม่อยากให้เกิดเื่ไม่จำเป็ขึ้นอีก ตอนนี้เขาต้องรับผิดชอบเซี่ยจื่ออวี้ เื่ระหว่างเขากับเซี่ยเสี่ยวหลานคงเป็ไปไม่ได้อีกแล้ว
สุดท้ายหลังจากที่เขาลงจากรถประจำทาง หวังเจี้ยนหัวก็เกือบถูกภาพตรงหน้าทิ่มตาตาย
ความคิดของผู้ชายช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก แม้เขาจะเป็ฝ่ายปฏิเสธเซี่ยเสี่ยวหลานก่อน อีกทั้งตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานยังเสียใจจะเป็จะตายเพราะเขา ทว่าเพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งปีเท่านั้น เซี่ยเสี่ยวหลานก็สามารถส่งยิ้มให้ชายอื่นได้แล้ว หวังเจี้ยนหัวเ็ปราวกับถูกทรยศ
เขาก้าวเท้าตรงไปหาเซี่ยวเสี่ยวหลานและจี้เจียงหยวนอย่างรวดเร็ว อารมณ์ของเขาเดือดดาลราวกับเพิ่งจับได้ว่าภรรยามีชู้
“เซี่ยเสี่ยวหลาน นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะไม่รักนวลสงวนตัวแบบนี้!”
สมองของจี้เจียงหยวนเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลานนิ่งเฉยเหมือนคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว
เมื่อวานเจอกับเซี่ยฉางเจิง วันนี้ย่อมมีหมาบ้าตัวอื่นตามมาอย่างแน่นอน นึกไม่ถึงเลยว่าจะไม่ใช่เซี่ยจื่ออวี้ คนที่ออกหน้ากลับเป็หวังเจี้ยนหัว!
ไม่รักนวลสงวนตัว?
มีอยู่คำหนึ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่ วิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งอย่างนั้นหรือ? หวังเจี้ยนหัวกับเซี่ยจื้ออวี้สอบติดวิทยาลัยการละครปักกิ่งมากกว่ามั้ง นักแสดงพวกนี้ช่วยเพิ่มบทตัวเองให้น้อยๆ หน่อยได้ไหม?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้