จ้าวหนิงฮ่องเต้ส่งอ้อยออกไปเป็มัดๆ ทั้งยังได้กำชับว่าต้องกินให้หมด ทำให้สะท้านะเืไปทั้งวังหลวง เหตุไฉนฮ่องเต้จึงได้พระราชทานอ้อยให้กับฮองเฮา กุ้ยเฟย และเจาอี๋? แม้กระทั่งที่เฉียนเฟยก็ยังไม่ได้ และที่บังเอิญยิ่งไปกว่านั้นก็คือพระนางทั้งสามพระองค์ต่างมีพระโอรส
ฮองเฮา ฉินกุ้ยเฟย และเจาอี๋ไปสอบถามที่มาของอ้อย รู้ว่าเป็หลี่เสี่ยวโหวเหฺยส่งมาให้ ความคิดของพวกนางนั้นรวดเร็วยิ่ง ฝ่าาอาศัยเื่ของหลี่เสี่ยวโหวเหฺยมาตักเตือนพวกนาง
ดูบุตรชายของตน แล้วค่อยคิดถึงบุตรชายของผู้อื่น แม้กระทั่งผายลมยังเทียบไม่ได้
ดังนั้นวันรุ่งขึ้นจวนจงหย่งโหวจึงครึกครื้นอย่างยิ่งยวด องค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง และองค์ชายสามต่างมาเยือนถึงเรือน ไม่ใช่ออกเทียบเชิญให้หลี่ลั่วไปที่จวน แต่เป็พวกเขาทุกคนที่มาเยือนที่จวนของหลี่ลั่ว
หลังจากหลี่ลั่วรู้เข้า จึงรีบเร่งไปรับรองพวกเขาที่เรือนรับแขก
องค์ชายทั้งสามได้นัดแนะมาด้วยกัน เมื่อมาถึงเรือนรับแขกมองเห็นการจัดตกแต่งด้านในแล้วคาดไม่ถึงอยู่บ้าง “สถานที่แห่งนี้จัดตกแต่งได้ไม่เลวเลยทีเดียว ตัวอักษรสองตัวนี้...ไฉนจึงคุ้นตานัก” องค์ชายสามกล่าว ตัวอักษรที่องค์ชายสามกล่าวถึง คือชื่อของหลี่ลั่วสองตัวนั้น จ้าวหนิงฮ่องเต้เป็ผู้เขียน หลี่ลั่วนำมาใส่กรอบเอาไว้ เดิมทีเขาวางไว้ในห้องหนังสือ ทว่าเขาไม่ชอบรับรองแขกในห้องหนังสือ เขาอยากให้ผู้อื่นเห็นอักษรสองตัวนี้ด้วย ดังนั้นจึงนำมาวางไว้ในตำแหน่งตรงกลางของเรือนรับแขก
“นี่เป็อักษรที่ฝ่าาพระราชทานให้กับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วกล่าว “เวลานั้นฝ่าาพระราชทานชื่อให้กระหม่อม ทรงพระราชทานอักษรสองตัวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“จริงด้วย ตัวอักษรของเสด็จพ่อ” องค์ชายสามนึกออกแล้ว
“เสี่ยวโหวเหฺย ไป พวกเราไปคุยกันเสียหน่อย” องค์ชายรองวางมือลงบนหัวไหล่ของหลี่ลั่ว...เตี้ยเกินไป วางไม่ถึง หมดสนุกเล็กน้อย
“เสด็จพ่อดีต่อเสี่ยวโหวเหฺยจริงๆ และเสี่ยวโหวเหฺยก็กตัญญูต่อเสด็จพ่อเช่นกัน กระทั่งบุตรชายหลายคนอย่างพวกเราล้วนเทียบมิได้” องค์ชายใหญ่กล่าว
คนทั้งสามมาจวนโหวอย่างกะทันหัน มาทำอันใดกัน? หลี่ลั่วคิดแล้วไม่กระจ่างแจ้ง แต่ฟังคำพูดคำจาของพวกเขาแล้วรู้สึกเปรี้ยว[1]เล็กน้อย สมองน้อยๆ ของหลี่ลั่วรีบเร่งไตร่ตรอง “ท่านพี่ฉีอ๋องเวลานี้อยู่ซีเป่ย ในฐานะว่าที่ภรรยาของเขา กระหม่อมต้องกตัญญูต่อฝ่าาแทนเขา ว่าที่เสด็จพี่ทุกท่านเห็นว่ากระหม่อมทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้า...” องค์ชายสามแทบจะโมโหตาย เดิมทีไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง แต่การกระทำของเ้าส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพวกเราต่อหน้าเสด็จพ่อ
“และกระหม่อมก็ไม่มีบิดานี่นา” หลี่ลั่วพูดแล้วดวงตาทั้งคู่พลันแดงก่ำ “จวนโหวของพวกเรามีเพียงกระหม่อมและพี่ใหญ่สองคนเท่านั้น กระหม่อมยังเล็ก ต้าเกอสิ้นหวังในอนาคต กระหม่อมอยากจะมีชีวิตอยู่ในเมืองหลวงดีสักหน่อย จึงขอให้ฝ่าาเป็ขุนเขาให้กระหม่อมได้พึ่งพิง”
“เออะ...” องค์ชายสามไม่รู้จะกล่าวอันใด ด้วยคำพูดของหลี่ลั่วดูเหมือนไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง
หลังจากทั้งสี่คนนั่งลงแล้ว ลวี่ผิงจึงนำคนเข้ามาขึ้นของว่าง หนึ่งในของว่างคืออ้อย แต่เป็อ้อยที่หั่นเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นของว่างจานนี้ องค์ชายทั้งสามรู้สึกปวดท้องขึ้นมาทันที สาเหตุที่เสด็จพ่อไม่พอใจพวกเขาไม่ได้เกิดขึ้นจากอ้อยหรือ
องค์ชายใหญ่หยิบอ้อยขึ้นมาชิ้นหนึ่ง กัดกร้วมๆ “เสี่ยวโหวเหฺยเอาอ้อยเหล่านี้มาจากที่ใดกัน ไฉนจึงมอบอ้อยให้กับเสด็จพ่อเล่า?”
“หา...” หลี่ลั่วดวงตาเป็ประกาย “ว่าที่เสด็จพี่ทั้งสาม พวกท่านมาที่นี่เพราะ้าอ้อยเช่นกันใช่หรือไม่? ที่นาของจวนโหวปลูกอ้อยไว้ถึงห้าสิบหมู่ กินไม่หมด กระหม่อมจึงมอบให้ผู้อื่น เรือนท่านตา เรือนท่านปู่ เรือนมารดาพี่สะใภ้ใหญ่ เรือนท่านป้า...กระหม่อมล้วนมอบให้ทั้งนั้น เพียงแต่..." ใบหน้าเล็กๆ ของเขาแดงก่ำ “กระหม่อมและท่านพี่ฉีอ๋องยังมิได้แต่งงานกัน กระหม่อมจึงไม่กล้าส่งไปให้เสด็จพี่ทั้งสาม”
ให้ตายเถอะ...พวกเขามาเพราะ้าอ้อยใช่หรือไม่?
“จวนโหวของพวกเ้าปลูกอ้อยมากมายไว้เพื่ออันใดกัน?” อ้อยจำนวนห้าสิบหมู่? กินหมดหรือไร?
“เดิมทีตั้งใจเอามาขายเป็เงิน จวนโหวของพวกเราไม่ค่อยมีเงิน ทุกคนต่างไม่ทำงานแต่กินข้าวทั้งสิ้น” หลี่ลั่วตอบอย่างตรงไปตรงมา “แต่เมื่อหลายวันก่อน กระหม่อมเขียนจดหมายให้ท่านพี่ฉีอ๋อง กระหม่อมบอกว่าอ้อยของครอบครัวกระหม่อมใกล้จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว ถามเขาว่าจะกลับมาเมื่อใด กระหม่อมจะเลี้ยงอ้อยเขา ทว่าท่านพี่ฉีอ๋องกลับบอกว่าซีเป่ยแม้กระทั่งอ้อยก็ไม่มีให้กิน ให้กระหม่อมส่งไปให้เขา กระหม่อมจึงให้คนส่งไปให้เขาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าสี่ช่างเหลือเกินจริงๆ ให้ส่งอ้อยไปถึงซีเป่ย ไกลถึงเพียงนั้น” องค์ชายสามรู้สึกว่ากู้จวิ้นเฉินทำเกินไป นี่ไม่ใช่เป็การรังแกเด็กน้อยหรือไร? “เช่นนั้นเ้าส่งไปให้เขาแล้วหรือไร?”
“ส่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ ส่งไปแล้วทั้งหมด กระหม่อมให้องครักษ์ของจวนฉีอ๋องส่งไปพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วกล่าว เพียงแต่อ้อยที่เขาส่งไปเป็อ้อยเพียงห้าหมู่ ทว่าเขาแน่ใจเหลือเกินว่า ไม่มีผู้ใดจะไปสืบเสาะว่าเขาส่งไปทั้งห้าสิบหมู่หรือไม่
“...” องค์ชายรองยังคงมีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนใบหน้า ในใจนั้นหัวเราะงอหงาย เสี่ยวโหวเหฺยผู้นี้น่าสนใจยิ่ง คนตัวเล็กทว่าฉลาดยิ่งนัก ทว่าเป็เพียงแค่ความฉลาดอย่างเด็กน้อยเท่านั้น เดิมทีอายุก็เพียงหกขวบ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ จวนโหวของพวกเ้ายากจน ไม่สู้ขายอ้อยให้ข้าสักหลายมัด ถือเป็...เสด็จพี่รองช่วยว่าที่น้องสะใภ้สี่”
“นับส่วนของข้าด้วย” องค์ชายใหญ่กล่าว
“ยังมีข้าด้วย” องค์ชายสามกล่าวตามเช่นกัน
เวลานี้ไม่หาเงิน เขาย่อมไม่ชื่อหลี่ลั่วแล้ว “เช่นนั้นรออีกไม่กี่วัน ร้านค้าของกระหม่อมจะเปิดกิจการ ถึงเวลานั้นกระหม่อมจะส่งเทียบเชิญให้เสด็จพี่ทั้งสาม เชิญเสด็จพี่ทั้งสามมาเป็เกียรติให้กับกระหม่อมดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“...” คนทั้งสามอยากจะพูดว่าไม่ดี
“กระหม่อมยังได้ทูลเชิญฝ่าา ไม่รู้ว่าฝ่าาจะมาได้หรือไม่ หากฝ่าามาย่อมเป็การดีพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วกล่าวอีก “ร้านค้าของกระหม่อมนำมาทำเื่ดีๆ พ่ะย่ะค่ะ หนึ่งในนั้นเป็ร้านหมอเพื่อการกุศล ช่วยรักษาไข้ไม่คิดค่ารักษา โดยเฉพาะ เสด็จพี่ทั้งสามฐานะสูงส่ง หากไพร่ฟ้าประชาชนรู้ว่าองค์ชายต่างช่วยเหลืออยู่เช่นกัน พวกเขาต้องยินดีเป็อย่างยิ่ง” หลี่ลั่วพูดเองเออเอง
“ได้ ข้ามาแน่” องค์ชายใหญ่รีบกล่าว
“ยังมีข้า มีสิ่งใด้าให้ช่วยเหลือให้เอ่ยปากก็พอ” องค์ชายรองกล่าวตาม
“ยังมีข้า ข้าว่างที่สุดแล้ว” องค์ชายสามกล่าว
คนเขลาทั้งสาม
หลี่ลั่วทำการประเมินเสร็จสรรพ
หากเป็ท่านพี่ฉีอ๋อง ย่อมไม่หลงกลเป็แน่ ช่างเบาปัญญายิ่ง ฝ่าาไม่ได้ถ่ายทอดสติปัญญาให้กับพวกเขา ไม่แปลกที่คิดจะแต่งตั้งให้ท่านพี่ฉีอ๋องเป็องค์รัชทายาท
ส่งองค์ชายทั้งสามออกไปแล้ว หลี่ลั่วรีบเรียกตัวบ่าวรับใช้ในเรือนโฉวงจี๋และพ่อบ้านจี้มาพบ ต้องเตรียมการเปิดกิจการบ้านการกุศลแล้ว ต้องใช้ประโยชน์จากองค์ชายผู้โง่เขลาทั้งสามให้ดี ทว่าหมอเทวดาเมิ่งไม่อยู่เมืองหลวง ร้านหมอการกุศลต้องหาคนมาแทนที่ ดังนั้น สมองน้อยๆ ของหลี่ลั่วจึงคิดถึงหมอหลวง
วันรุ่งขึ้น หลี่ลั่วเข้าวังอีกแล้ว
สำหรับผู้คนในวังหลวงแล้วนั้น หลี่เสี่ยวโหวเหฺยเข้าวังกลายเป็เื่ปกติ สองวันที่แล้วเพิ่งจะมา วันนี้มาอีกแล้ว แม้กระทั่งองครักษ์ประจำประตูหนานอู่เมื่อเห็นหลี่ลั่วยังกล่าววาจาทักทาย “เสี่ยวโหวเหฺย ท่านมาเข้าเฝ้าฝ่าาอีกแล้วหรือขอรับ?” เมื่อยามที่รถม้าถูกตรวจสอบนั้นหัวหน้าองครักษ์เอ่ยวาจาหยอกล้อยิ้มๆ
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไปหาฝ่าา?” หลี่ลั่วถามทั้งรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“ทั้งวังหลวงต่างรู้ว่าเสี่ยวโหวเหฺยชอบเข้าเฝ้าฝ่าาปรึกษาหารือเป็ที่สุด” เื่เล็กๆ น้อยๆ ก็ด้วย ทว่า...ทุกคนล้วนอิจฉากันทั้งนั้น ฝ่าานั้นราชกิจมากมาย สามารถปรึกษาหารือกับผู้ใด ย่อมเป็โชคลาภวาสนาของคนผู้นั้น
หลี่ลั่วส่งสัญญาณให้หลี่ฉางเฉิง หลี่ฉางเฉิงหิ้วถุงอ้อยใบหนึ่งจากบนรถม้า ทั้งหมดล้วนหั่นเสร็จเป็ท่อนๆ เรียบร้อยแล้ว “ให้พี่น้องของพวกท่านได้แก้กระหายน้ำ แต่อย่ากินในเวลาเข้าเวรเล่า ผลัดเปลี่ยนกันไปพักผ่อนค่อยกิน” หลี่ลั่วกล่าว
บรรดาองครักษ์รู้สึกอบอุ่นในใจยิ่ง “ขอบคุณเสี่ยวโหวเหฺยขอรับ”
เข้าเวรอยู่ที่ประตูหนานอู่มาเป็เวลาหลายปีแล้ว นอกจากหลี่เสี่ยวโหวเหฺยที่เห็นคุณค่าของพวกเขา ก็ไม่มีผู้ใดมอบของกินให้พวกเขามาก่อน สิ่งของไม่สำคัญ น้ำใจต่างหากเล่าที่สำคัญ
บางคนนั้นครอบครัวยากไร้ อ้อยไม่กี่ท่อนนี้ยังหักใจกินไม่ได้ คิดจะนำกลับบ้านไปกตัญญูคนที่บ้าน
ณ ห้องทรงพระอักษร
“อะไรกัน? เขามาอีกแล้วหรือ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้วางพู่กันลง แม้ทุกครั้งที่หลี่ลั่วมาจะไม่ได้ใช้เวลาของเขาสักกี่มากน้อย หลี่ลั่วเป็คนละเอียดอ่อนไม่รบกวนเื่งานของเขา ทว่า จ้าวหนิงฮ่องเต้มีความรู้สึกแปลกๆ “ต้าไห่ ไฉนเจิ้นจึงรู้สึกแปลกๆ ราวกับกำลังเลี้ยงลูกชายอยู่?” ช่างเถิด เขาติดค้างหลี่ซวี่ ใครใช้ให้เด็กคนนี้ไม่มีบิดาให้ปรึกษาหารือเล่า
ไห่กงกงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ใช่ฝ่าาเป็ผู้เลี้ยงดูจนเติบใหญ่หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ที่จริงแล้วฝ่าากำลังมีความสุข ไห่กงกงแจ่มแจ้งดี ในยามปกติฝ่าาราชกิจล้นมือ แม้กระทั่งเวลาที่จะพักผ่อนก็น้อยยิ่ง เมื่อเสี่ยวโหวเหฺยมาจะได้ทำให้ฝ่าาได้พักผ่อนสักครู่ อย่างไรเสียก็ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา ยังดีที่เสี่ยวโหวเหฺยนั้นเป็คนรู้สึกประมาณตน รู้จักผ่อนหนักเบา
เมื่อหลี่ลั่วเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ฝ่าากำลังเดินยิ้มออกมาพอดี “ไป ไปเดินในสวนดอกไม้เป็เพื่อนเจิ้น นี่นั่งมาทั้งวัน เจิ้นเหนื่อยล้าแล้ว”
“เสี่ยวเฉินนวดเป็พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าาอยากลองดูหรือไม่?” หลี่ลั่วรีบกล่าว
“เ้านวดเป็รึ? ไปเรียนรู้มาจากที่ใดกัน?” จ้าวหนิงฮ่องเต้รู้สึกสนใจ
“เมื่ออยู่จวนฉีอ๋องได้เรียนรู้จากท่านหมอหมอเทวดาเมิ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเรียนรู้วิชาแพทย์กับหมอเทวดาเมิ่ง” หลี่ลั่วตอบ “ไห่กงกง ท่านช่วยเตรียมผ้าห่มผืนหนึ่ง ให้ฝ่าานอนลงบนผ้าห่ม ข้าจะนวดให้ฝ่าา”
“...ให้ฝ่าานอนบนผ้าห่มหรือ?” ไม่ใช่พิงอยู่บนเก้าอี้หรอกหรือ?
ใบหน้าเล็กๆ ของหลี่ลั่วแดงขึ้น “ข้าเตี้ยเกินไปขอรับ”
“ฮ่าๆๆ...” จ้าวหนิงฮ่องเต้หัวเราะอย่างอดกลั้นไม่ไหว
“บนผ้าห่มก็บนผ้าห่มเถิด ต้าไห่ ไปนำผ้าห่มมาปูให้ดี วันนี้เจิ้นจะลองัักับวิชาการนวดของหลี่เสี่ยวโหวเหฺย” จ้าวหนิงฮ่องเต้กล่าว
ในเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักคุนหนิง
“อะไรกัน? หลี่เสี่ยวโหวเหฺยมาหรือ? ไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงกับฝ่าารึ?” ฮองเฮาครุ่นคิด “ไป เปิ่นกงจะไปดูเสียหน่อย”
ในเวลาเดียวกัน ฉินกุ้ยเฟยก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน “ไป ไปดูสักหน่อยว่าเสี่ยวโหวเหฺยของพวกเรามีความสามารถใดๆ ทำให้ฝ่าาเอ็นดูเขาได้ถึงเพียงนี้”
ดังนั้น ฮองเฮา ฉินกุ้ยเฟย เฉียนเฟย และเจาอี๋จึงได้พบกันระหว่างทางที่ไปอุทยานหลวง คนทั้งสี่ต่างยิ้มให้แก่กัน เดินไปด้วยกันทีละก้าวๆ อย่างเป็มิตรที่ดีต่อกัน ทุกคนต่างรู้ดีว่าพวกเขาไปทำอันใด จ้าวหนิงฮ่องเต้เป็ฮ่องเต้ในประวัติศาสตร์ที่วังหลังสะอาดสะอ้านที่สุด มีพระสนมทั้งหมดสี่คน แม้กระทั่งนางกำนัลยังไม่มี ฮ่องเต้ผู้กล้าท่านนี้ไม่ได้พูดด้วยง่ายๆ อีกทั้งได้ผ่านเหตุการณ์นองเืเมื่อหกปีก่อน ไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่าฮ่องเต้มีลูกหลานมากเป็เื่ดี จ้าวหนิงฮ่องเต้มีพระโอรสอยู่แล้วสามคน ย่อมไม่กลัวว่าจะไม่มีผู้สืบสกุล
ดังนั้นวังหลังจึงยังคงว่างมาโดยตลอด
ทุกคนเพียงเห็นฝ่าานอนอยู่บนผ้าห่ม เด็กชายตัวน้อยผู้นั้นคุกเข่าอยู่ริมผ้าห่ม กำลังนวดให้กับจ้าวหนิงฮ่องเต้ และที่นวดคือบริเวณศีรษะ ที่จริงแล้วเมื่อแรกเริ่มนวดนั้นหลี่ลั่วไม่ได้นวดศีรษะ แต่เป็บริเวณหัวไหล่ แล้วค่อยๆ นวดจากหัวไหล่ขึ้นมาถึงศีรษะ “ฝ่าา เป็เช่นใดบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
“สบาย สบายเหลือเกิน” ที่จริงการนวดนั้นต้องเจ็บเล็กน้อย แม้เรี่ยวแรงของหลี่ลั่วไม่มากนัก แต่ด้วยเหตุที่ทุกวันเขาต้องฝึกนั่งม้านั่งและออกหมัด ดังนั้นจึงมีแรงมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน อีกทั้งที่เขานวดล้วนเป็จุดสำคัญ การนวดจุดชีพจรสำคัญไม่จำเป็ต้องใช้แรงมากเกินไป แต่ทำให้จ้าวหนิงฮ่องเต้รู้สึกเจ็บ แม้จะเจ็บ ทว่ากลับรู้สึกดีเหลือเกิน
[1] คนจีนมักจะอุปมาความรู้สึกหึงหวงหรืออิจฉาริษยาเปรียบเสมือนน้ำส้มสายชูที่มีรสชาติเปรี้ยว