ภายในลานผู้าุโ หนิงเทียนได้พบกับผู้ดูแลสำนักร้อยบุปผาฝ่ายใน ผู้มีอายุสี่สิบปีและมีบุคลิกราวธรรมาจารย์
เขารีบคารวะยอดฝีมือผู้ดูแลสำนัก ขณะที่ผู้าุโหลี่ก้าวไปข้างหน้าแล้วกระซิบสองสามคำข้างหูผู้ดูแล
ผู้ดูแลสำนักมองหนิงเทียนด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก เข้ามาใกล้ๆ ข้าหน่อย”
หนิงเทียนเดินเข้าไปหาผู้ดูแลอย่างกังวลเล็กน้อย
ผู้ดูแลสำนักตรวจสอบสภาพร่างกายของหนิงเทียนอย่างละเอียด พลันใบหน้าของเขามีความสยดสยองอย่างน่าเหลือเชื่อ และดวงตาก็ถูกดึงดูดด้วยกำไลหยกหยวนบนข้อมือของหนิงเทียน
“ผู้ดูแล... ท่านผู้ดูแล...”
ผู้าุโหลี่และซิ่งอวี่เจวียนร้องเรียกหลายครั้งกว่าผู้ดูแลจะได้สติ
“ดี! ดีมาก ได้ยินว่าเ้ามีอาวุธิญญาจื๋อซิวที่อยากส่งมอบหรือ?”
หนิงเทียนสังเกตเห็นประกายประหลาดจากผู้ดูแล แต่เขาไม่ทราบสาเหตุ จึงหยิบกระบี่ใบพฤกษาขจีออกมาอย่างระมัดระวัง
“มีอีกหรือไม่?”
หนิงเทียนค่อยๆ หยิบเกราะต้นไม้ของเหลียนจิ้นออกมามอบให้ผู้ดูแลอีกครา
ซิ่งอวี่เจวียนถามอย่างสงสัย “ทั้งหมดนี่เป็สิ่งที่เ้าปล้นมาหรือ?”
หนิงเทียนยิ้มอย่างเขินอาย แล้วหยิบหอกนาคามรกตและธนูจันทรามรกตออกมา
“เด็กดี อาวุธิญญาจื๋อซิวสี่ชิ้น นี่เ้าปล้นไปกี่คนกัน?”
หนิงเทียนกล่าวด้วยท่าทางเซื่องซึม “ข้าถูกบีบบังคับ”
ผู้ดูแลถามพร้อมรอยยิ้ม “ยังมีอีกไหม?”
คราวนี้หนิงเทียนดึงอสูรปลายาวประมาณห้าจั้งออกมา เป็เหตุให้เหล่าผู้าุโอุทานและมองเขาด้วยสายตาตื่นตะลึง
“เ้าสังหารอสูรจริงๆ สินะ!”
หนิงเทียนกล่าวอย่างลังเลว่า “เอ่อ เ้าพวกนี้...ข้าสังหารไปเพียงสิบกว่าตนเท่านั้น”
ซิ่งอวี่เจวียนมีสีหน้าพิศวง สิบกว่าตนนี่นับว่าน้อยหรือ?
จากนั้นหนิงเทียนก็นำรากบ่มเพาะออกมาอีกหลายร้อยชิ้น ผู้าุโต่างประหลาดใจและมีความสุขเมื่อเห็นเช่นนี้ เ้าเด็กนี่เป็โจรหรืออย่างไร?
“ท่านผู้ดูแล ข้าขอเก็บธนูไว้ได้หรือไม่?” หนิงเทียนแสดงท่าทีนอบน้อมราวตนเองไร้อันตรายตุ่์และสัตว์ แต่เขาไม่อาจเสียธนูจันทรามรกตไปได้
“ศพอสูรเล่า? อยู่ที่ใด?”
หนิงเทียนหยิบซากเหล่าอสูรกว่าสิบตนออกมาในคราวเดียว ทว่าไม่ได้เอาศพอสูรงูระดับสามออกมาด้วย
“ไม่เลว! ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ธนูนี้จะมอบให้เ้าเอาไว้ป้องกันตัว ส่วนสิ่งเหล่านี้ เ้าอยากได้สิ่งใดตอบแทน?”
ผู้ดูแลคืนธนูจันทรามรกตให้หนิงเทียนแล้วมองเขาด้วยแววตาเปื้อนยิ้ม
หนิงเทียนแตะคางครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบมองผู้าุโหลี่และซิ่งอวี่เจวียน
“ศิษย์เพิ่งเข้าสู่สำนักร้อยบุปผา ไม่เคยเห็นว่าบ่อน้ำิญญาเป็อย่างไรและไม่เคยไปหอตำรา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเครื่องมือและอาวุธิญญาของสำนักฝ่ายในมีสิ่งใดบ้าง ท่านผู้ดูแลเพียงมอบให้ข้าสักเจ็ดแปดชิ้นก็พอแล้ว ไม่ต้องให้มากเกินไป ศิษย์ไม่โลภถึงเพียงนั้น”
ซิ่งอวี่เจวียนแย้มยิ้ม จะมีผู้ใดอีกเล่าที่ไม่โลภขนาดนี้?
ส่วนผู้ดูแลก็ยิ้มพร้อมดุว่า “เ้าเด็กมากเล่ห์ ผู้ใดจะอยากได้สิ่งตอบแทนแบบเ้ากันบ้าง?”
หนิงเทียนถามอย่างประหลาดใจ “ข้าขอน้อยเกินไปหรือ? นี่เป็การขาดทุนครั้งใหญ่หรือไม่?”
ผู้าุโหลี่พูดไม่ออก เ้าเด็กหน้าหนานี่ช่างไม่กลัวน้ำเดือด[1]
ผู้ดูแลยิ้มและหัวเราะอย่างโกรธเคือง ทั้งยังมีร่องรอยของความลังเลฉายขึ้นมาในดวงตา ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“ข้าอนุญาตให้เ้าเข้าใช้บ่อน้ำิญญาเป็เวลาสามวัน และอนุญาตให้เลือกทักษะต่อสู้สามทักษะจากหอตำรา ส่วนเครื่องมือและอาวุธิญญานั้นคงไม่จำเป็ เ้ามีธนูจันทรามรกตอยู่แล้ว”
“ได้เพียงสองอย่างหรือ?” หนิงเทียนแสดงท่าทีผิดหวัง
ซิ่งอวี่เจวียนจึงรีบดึงเขาและห้ามไม่ให้ก่อความวุ่นวาย
ผู้ดูแลไม่โต้เถียงและส่งยิ้มให้อย่างเป็มิตร “แล้วแผนที่ที่เ้าวาดเล่า? สามารถนำออกมาได้หรือไม่?”
หนิงเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น “ศิษย์ได้ยินมาว่านอกจากหินิญญาแล้วยังมีผลึกิญญา แต่ข้าไม่เคยเห็นว่ามันมีลักษณะเช่นใด ไม่ทราบว่าท่านผู้ดูแลสามารถเพิ่มเป็สิ่งตอบแทนให้ข้าสักหนึ่งร้อยแปดสิบก้อนเพื่อเป็ความรู้ได้หรือไม่?”
ผู้าุโเริ่มมีท่าทางแปลกๆ เด็กผู้นี้กล้าดีอย่างไรมาต่อรองกับผู้ดูแล? เ้าเด็กนี่อยากมีเื่หรือ?
“หนึ่งร้อยแปดสิบก้อนนั้นมากเกินไป ข้าจะให้ผลึกิญญาเ้าสามสิบก้อน”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา ผู้าุโทั้งเจ็ดต่างก็ตกตะลึง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ดูแลจะเห็นด้วยจริงๆ
“ท่านผู้ดูแลช่างเปรียบเสมือนต้นหยกเล่นลม[2] ทั้งฉลาดและทรงพลังอย่างแท้จริง...”
“หยุดประจบข้าแล้วเอาภาพวาดนั้นออกมาเสียที”
หนิงเทียนหัวเราะเบาๆ แล้วหยิบภาพซากปรักหักพังบริเวณใจกลางแดนลับออกมา
ผู้ดูแลรับมาดู แล้วเรียกผู้าุโหลี่มาข้างกาย จากนั้นทั้งสองคนก็หมกมุ่นอยู่กับภาพแผนที่นี้ทันที
“ยามนั้นเ้าได้เข้าไปหรือไม่?”
“ไม่ ข้ามีเวลาไม่เพียงพอและที่นั่นก็อันตรายมาก มีอสูรทรงพลังมากมาย ข้าจึงไม่กล้าเข้าไป”
“อืม ผู้าุโซิ่งพาเขาไปรับสิ่งตอบแทนเถิด”
ซิ่งอวี่เจวียนรับหน้าที่และพาหนิงเทียนออกไป
...
“เ้าอยากไปที่ใดก่อน?”
“แล้วแต่พี่สาวเลยขอรับ”
ซิ่งอวี่เจวียนตัดสินใจพาหนิงเทียนไปรับก้อนผลึกิญญาสามสิบก้อน ก่อนจะบอกเขาว่าก้อนผลึกิญญาหนึ่งก้อนเทียบเท่ากับหินิญญาหนึ่งพันก้อน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไปยังหอตำรา
“ชั้นแรกเก็บเคล็ดวิชา ชั้นสองเก็บทักษะต่อสู้ เ้าสามารถเลือกเอาสามเล่มใดก็ได้ออกไปด้วย”
เคล็ดวิชาและทักษะต่อสู้ของสำนักร้อยบุปผาไม่ได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดมากนัก เนื่องจากจื๋อซิวมีรากบ่มเพาะแตกต่างกัน ดังนั้นก็จะมีเคล็ดวิชาที่เหมาะสมต่างกันด้วย วิชาและทักษะที่เหมาะกับผู้อื่นก็อาจไม่เหมาะกับตนเอง อีกทั้งรากบ่มเพาะแต่ละประเภทยังมีความซับซ้อน ซึ่งนี่คือจุดที่จื๋อซิวด้อยกว่าหยวนซิว
เคล็ดวิชามากมายถูกรวบรวมไว้ในหอตำรา ซึ่งทำให้หนิงเทียนรู้สึกปวดหัวทันทีที่เห็นมัน เขาสุ่มบางเล่มขึ้นมาดูอย่างคร่าวๆ และพบว่ามันธรรมดาเกินไป นอกจากนี้บนชั้นสองยังมีทักษะต่อสู้อีกมากมาย ซึ่งมากกว่าแปดร้อยเล่ม
“พี่ซิ่ง หากมีมากถึงเพียงนี้ เช่นนี้เมื่อใดจะเลือกเสร็จเล่า?”
ซิ่งอวี่เจวียนกล่าว “สิ่งสำคัญในการเลือกทักษะต่อสู้ คือ เ้าต้องค้นหาทักษะที่เหมาะกับรากบ่มเพาะของเ้าให้ได้ก่อน จากนั้นจึงเลือกทักษะที่ดีที่สุด จื๋อซิวแตกต่างจากหยวนซิว เคล็ดวิชาและทักษะต่อสู้นั้นไม่อาจใช้ร่วมกันได้ทั่วทุกผู้คน นั่นเพราะเราได้รับผลกระทบอย่างมากจากรากบ่มเพาะ”
หนิงเทียนขมวดคิ้ว นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับสามัญสำนึกพื้นฐานเหล่านี้
ซิ่งอวี่เจวียนถามเื่ราวของหนิงเทียนจนรู้ว่าเขาเข้าสู่แดนลับทันทีหลังจากเข้าร่วมสำนักร้อยบุปผา ดังนั้น นางจึงช่วยอธิบายสามัญสำนึกที่จำเป็บางอย่างให้เขาฟัง
“ใน่รวบรวม เส้นลมปราณจะแบ่งออกเป็์ ปฐี นิลกาฬ และสุวรรณ เส้นลมปราณ์นั้นนับเป็ตำนานและหาได้ยาก เส้นลมปราณปฐีจะมีอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามเท่านั้น เส้นลมปราณนิลกาฬก็หายากเช่นกัน ในบรรดาจื๋อซิวมีเพียงหนึ่งในพันเท่านั้นที่สามารถปลูกเส้นลมปราณนี้ขึ้นมาได้ และท่ามกลางพันคนที่ปลูกเส้นลมปราณนิลกาฬได้ ก็จะมีเพียงคนเดียวที่สามารถรวบรวมเป็เส้นลมปราณปฐี”
ผู้าุโซิ่งอวี่เจวียนยังคงอธิบายต่อว่า
“อาวุธิญญาจื๋อซิวจะอ้างถึงิญญาที่มาคู่กัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็ิญญาอสูร แบ่งออกเป็สามประเภท คือ ์ขัดเกลา ปฐีขัดเกลา และิญญาขัดเกลา ที่มีอยู่โดยส่วนใหญ่จะเป็ประเภทิญญาขัดเกลา และอาวุธระดับิญญาขัดเกลาก็ยังแบ่งได้อีกสามขั้น คือ สูง กลาง และต่ำ ซึ่งอาวุธิญญาขั้นต่ำจะสร้างขึ้นโดยิญญาอสูรระดับสาม ขั้นกลางสร้างโดยิญญาอสูรระดับสี่ และขั้นสูงสร้างโดยิญญาอสูรระดับห้าขึ้นไป”
หนิงเทียนตั้งใจฟังพลางตรวจสอบทักษะต่อสู้บนชั้นสองไปด้วย ในใจนึกสงสัยว่าเส้นลมปราณฟ้าประทานทั้งเก้าของเขานับเป็เส้นลมปราณ์หรือไม่? แล้วน้ำเต้าเจ็ดสี พู่กันิญญาหลากสี และธนูจันทรามรกตที่ตนมีนั้นเป็อาวุธิญญาระดับใด?
ทักษะต่อสู้แบ่งออกเป็สามประเภท ได้แก่ การโจมตี การป้องกัน และการช่วยเหลือ หนิงเทียนใช้เวลาสามชั่วยามในการศึกษาทักษะต่อสู้ทั้งหมด และในที่สุดเขาก็สะดุดตาเข้ากับทักษะเล่มหนึ่ง
“สัตตบุษย์งอกงามทุกย่างก้าว!”
ซิ่งอวี่เจวียนขมวดคิ้วแล้วพูดเบาๆ “ทักษะนี้ไม่สมบูรณ์ ส่วนสำคัญที่สุดหายไป เ้าอยากเปลี่ยนหรือไม่?”
สองหน้าสุดท้ายของสัตตบุษย์งอกงามทุกย่างก้าวขาดหายไป จึงเป็ไปไม่ได้เลยที่จะสามารถฝึกจนสำเร็จ
“ไม่เป็ไร ข้าเพียงฝึกมันอย่างสบายๆ”
หนิงเทียนดูิ่ทักษะอื่นๆ และมีเพียงสัตตบุษย์งอกงามทุกย่างก้าวเท่านั้นที่ทำให้เขาสนใจได้
“น่าเสียดายที่ตำราที่ข้าเลือกมีเพียงเล่มเดียว ซึ่งเป็การขาดทุนครั้งใหญ่ เหตุใดพี่สาวไม่พาข้าไปดูอาวุธิญญาสักหน่อยเล่า?”
“ข้าไม่มีอำนาจมากเพียงนั้น ต้องไปถามผู้ดูแลก่อน”
หลังจากออกจากหอตำราแล้ว ซิ่งอวี่เจวียนก็กลับไปยังลานผู้าุโเพื่อแจ้งผู้ดูแล
“ท่านกล่าวว่าเ้าไม่จำเป็ต้องใช้อาวุธิญญาอื่นใดอีก จึงให้ข้าพาเ้าไปดูหอทหาริญญาแทน หากพบทหาริญญาที่ถูกใจก็สามารถรับไปได้ตนหนึ่ง”
“เช่นนั้นลองไปดูกันเถอะ”
หอทหาริญญา เป็หอหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในสวนดอกไม้ ภายในมีดอกไม้ิญญาหลากหลายชนิด ั้แ่ิญญาอสูรระดับหนึ่งไปจนถึงิญญาอสูรระดับสาม
ทันทีที่หนิงเทียนมาถึง กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตในร่างก็ตื่นขึ้นทันที ราวกับัับางอย่างได้
“ดอกไม้ิญญาส่วนใหญ่ที่นี่มาจากูเาไป่หลิง บางตนก็อยู่มานานนับพันปีแล้ว” ซิ่งอวี่เจวียนเตือนอย่างใจดี นางอยากเห็นว่าหนิงเทียนจะแสดงสีหน้าเช่นใด
หนิงเทียนเดินดูรอบๆ สวนอย่างเพลิดเพลิน เขาเห็นดอกกุหลาบอันละเอียดอ่อน ดอกโบตั๋นอันสูงส่งและสง่างาม ดอกสุ่ยเซียนขาวราวหิมะ และดอกเบญจมาศสีทองอร่าม
พวกมันต่างประชันโฉมจนโดยรอบสว่างไสว ทว่าหนิงเทียนไม่คิดสนใจพวกมันแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ยังมีดอกบัว ดอกแพร์ ดอกชา และดอกไม้อื่นๆ ที่แข่งกันบานสะพรั่ง ซึ่งหนิงเทียนก็เดินเตร่เป็เวลานาน และในที่สุดก็หยุดอยู่หน้าต้นไม้ที่กำลังจะตาย
มันคือต้นท้อสูงประมาณสองจั้ง ลำต้นมีขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือ เปลือกแตกร้าวเป็ขดเกล็ดัที่ย้อนกลับ มันไม่หลงเหลือใบสักใบเดียว ทั้งยังมีกิ่งก้านเหี่ยวเฉาจนเป็สีเหลือง ดูท่าใกล้ตายเต็มทีแล้ว
หนิงเทียนรู้สึกสับสนเป็อย่างมาก เหตุใดกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตถึงสนใจต้นท้อใกล้ตายต้นนี้?
หลังจากเรียกใช้ยุทธศาสตร์ครอง์ เส้นลมปราณหลักทั้งสองในร่างของเขาก็ปล่อยพลังลึกลับออกมาพร้อมกันแล้วเจาะเข้าไปในต้นท้อ คาดไม่ถึงว่าเขาจะประสบกับการโต้กลับครั้งใหญ่
นั่นคือพลังแห่งอัสนีที่บรรจุพลังศักดิ์สิทธิ์ของทัณฑ์์ ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาดังสนั่นในตันเถียนของหนิงเทียน กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตปลดปล่อยความผันผวนที่ไม่อาจอธิบายได้ ทันใดนั้นการต่อต้านของต้นท้อก็หายไปในพริบตา
“ใครกัน?” เสียงทุ้มต่ำราวิญญาที่หลับใหลมานานดังขึ้นในใจของหนิงเทียน ซึ่งนั่นเป็เสียงจากต้นท้อ
“เป็ข้าเอง เ้ายินดีจะติดตามข้าไปพิชิตใต้หล้าเพื่อสร้างชื่อจนโด่งดังหรือไม่?” หนิงเทียนเพ่งตามอง รอบกายไร้คลื่นลมผันผวน ทว่ากลับมีกลิ่นอายความสงบและความภาคภูมิใจแฝงอยู่
“เ้าหรือ?” ต้นท้อพลิ้วไหวไปมา ราวกับกำลังสังเกตสถานการณ์ของหนิงเทียน
ซิ่งอวี่เจวียนมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดใจ นี่มันเหลือเชื่อมาก!
“หนิงเทียน แน่ใจหรือว่าดวงตาของเ้าไม่มีปัญหา?”
ว่ากันว่าต้นท้อนี้อยู่ที่นี่มาั้แ่สำนักร้อยบุปผาก่อตั้งขึ้น ยามนี้มันชรามากแล้ว ไม่มีคนโง่คนใดคิดเลือกมันมาเป็ิญญาข้างกาย แต่หนิงเทียนกลับ...
“พี่สาวโปรดวางใจ ดวงตาข้าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด”
เขาเดินออกจากสวนโดยมีต้นท้อสูงสองจั้งติดตามข้างกาย มันมีท่าทางอิดโรยราวกับพร้อมสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ
ซิ่งอวี่เจวียนไม่สามารถทนเห็นคนโง่เขลาได้ จึงเอ่ยเตือนอย่างหวังดี “ลองไปดูตนอื่นก่อนไหม?”
“ไม่เป็ไร ข้าชอบมัน”
หนิงเทียนยิ้มอย่างมีเสน่ห์และไม่แยแส ทำให้ซิ่งอวี่เจวียนไม่สามารถทำอะไรได้ และพาเขาไปยังที่ตั้งของบ่อน้ำิญญา
“ฝ่ายในมีบ่อน้ำิญญาเจ็ดบ่อ เ้ามีเวลาฝึกฝนสามวัน จงใช้ให้คุ้มค่า”
นางพาเขาไปที่บ่อน้ำิญญาหมายเลขเจ็ด ซึ่งมีผู้าุโคอยดูแลและห้ามมิให้ผู้ใดเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ดูแล
มีตราผนึกอยู่รอบบ่อน้ำิญญา หลังจากผู้าุโเปิดทางเข้าให้ หนิงเทียนจึงสามารถเข้าไปในบ่อน้ำิญญาได้
ซิ่งอวี่เจวียนพูดคุยกับผู้าุโอยู่พักหนึ่งแล้วกลับไปยังลานผู้าุโ แต่สามชั่วยามต่อมานางก็ได้รับข่าวว่าบ่อน้ำิญญาหมายเลขเจ็ดแห้งเหือดเสียแล้ว
ซิ่งอวี่เจวียนแปลกใจอย่างมาก บ่อน้ำิญญาแห้งหรือ? จะเป็ไปได้อย่างไร?
“หนิงเทียน มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าก็ไม่รู้ ข้าฝึกแค่สามชั่วยามบ่อน้ำก็แห้งไป ข้ายังเหลือเวลาอีกสามสิบสามชั่วยาม พี่สาวโปรดเปลี่ยนบ่อน้ำให้ข้าด้วย”
“นี่...”
“ผู้ดูแลกล่าวว่าอนุญาตให้ข้าฝึกฝนได้สามวัน”
ซิ่งอวี่เจวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมพาหนิงเทียนไปยังบ่อน้ำิญญาหมายเลขหก
ทว่าหกชั่วยามต่อมา ซิ่งอวี่เจวียนก็ได้รับข่าวว่าบ่อน้ำิญญาแห้งเหือดไปอีกคราจนนางรู้สึกตกตะลึง
แห้งอีกแล้ว! นี่มันเื่บ้าอะไรกัน?
---------------------------------------
[1] ไม่กลัวน้ำเดือด (开水都不怕) หมายถึง ไม่มีความยำเกรงหรือหวาดกลัวสิ่งใดทั้งนั้น ส่วนมากมักใช้ในการต่อว่าผู้ที่ไร้ยางอาย ซึ่งแปลงมาจากวลี 死猪不怕开水烫 ที่แปลว่า หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก
[2] ต้นหยกเล่นลม (玉树临风) หมายถึง ชายหนุ่มรูปงาม หล่อเหลา อ่อนโยน และสง่าผ่าเผย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้