หัวหน้าหมอหลวงเสิ่นส่ายหน้าเป็เชิงว่าไม่รู้ “อาฝู่หรงหรือฝิ่นนั้นอันตรายมาก ั้แ่ห้าสิบปีก่อนหลายแคว้นต่างประกาศห้ามปลูกฝิ่น เห็นฝิ่นป่าก็ต้องถอนทิ้ง แคว้นเป่ยเยี่ยนของพวกเราคงไม่มีคนกล้าปลูกฝิ่น”
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนยังถามคำถามหัวหน้าหมอหลวงเสิ่นอีกหลายคำถามก่อนจะบอกลาแล้วออกจากโรงหมอหลวงไป
ฉินรั่วเองก็รู้สึกได้ว่าสถานการณ์ของเื่นี้รุนแรงนัก “เตี้ยนเซี่ย พวกท่านสงสัยว่าใต้เท้าจวงสูบฝิ่นเกินขนาดจนตายหรือเพคะ?”
เสิ่นจือเหยียนพยักหน้าอย่างจริงจัง “จากประสบการณ์การชันสูตรศพมาหลายปีสามารถยืนยันได้ว่า ใต้เท้าจวงสูบฝิ่นจนตาย”
“คดีนี้โยกย้ายมาให้ศาลต้าหลี่จัดการ อย่าให้จวนจิ่งจ้าวเข้ามาแทรก” มู่หรงฉือตัดสินใจ
“ได้ ข้าจะบอกสาเหตุกับใต้เท้ากู้ให้ชัดเจน” เขามองไปบนฟ้า ดวงอาทิตย์กำลังค่อยๆ ตก “เตี้ยนเซี่ย ข้าอยากจะไปที่กรมโยธาสักหน่อย”
“เปิ่นกงไปกับเ้าด้วย” นางพูดอย่างแน่วแน่
เขารู้ว่าเตี้ยนเซี่ยหลงใหลในการสืบคดี ฉินรั่วเองก็ตามไปที่กรมโยธาด้วย
ที่ทำการของหกกรมอยู่ติดกับประตูภายในวัง ตอนที่พวกเขามาถึงกรมโยธา เ้าพนักงานในกรมส่วนมากยังไม่กลับ
เห็นองค์รัชทายาทกับใต้เท้าเสิ่นผู้ชาญฉลาดในการไขคดีมาที่กรมโยธาด้วยกัน เ้าพนักงานน้อยใหญ่ในกรมต่างมึนงงไปตามๆ กัน : มาเพราะคดีของจวงฉินอย่างนั้นหรือ?
เ้ากรมโยธาไม่อยู่ จางจงผู้เป็รองเ้ากรมรีบเข้ามารับรองแล้วเชิญพวกเขาเข้าไปดื่มชาด้านใน
เสิ่นจือเหยียนเดินเข้ามาอย่างสง่า “ใต้เท้าทั้งหลาย วันนี้ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะสอบถามบางอย่าง”
“เชิญใต้เท้าเสิ่นถามมาเถิด หากรู้พวกเราจะต้องบอกแน่นอน” จางจงรองเ้ากรมโยธาพูดพร้อมยิ้ม “พวกเราทำงานกับใต้เท้าจวงมานาน จู่ๆ เขามาป่วยตายไปเช่นนี้ พวกเราเองก็ปวดใจ”
“่นี้พวกเ้ารู้สึกว่าใต้เท้าจวงมีอะไรแปลกไปหรือไม่?” เสิ่นจือเหยียนถาม
“พวกข้าพบเื่นี้นานมากแล้ว ข้ากับใต้เท้าจวงร่วมงานด้วยกันมานาน ปกติแล้วเขาเป็คนขยันขันแข็ง ทำงานระมัดระวังละเอียดรอบคอบ ครึ่งปีมานี้ไม่รู้ว่าเป็อะไร ทำงานก็มักจะเกิดความผิดพลาด ข้าพูดกับเขาหลายครั้ง เขาก็บอกว่าจะระมัดระวังแก้ไข แต่ว่าก็ยังผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก” รองเ้ากรมถอนหายใจ “เขาผ่ายผอมลงทุกวันๆ ผอมจนหนังหุ้มกระดูก น่ากลัวมาก ไม่รู้ว่าป่วยหรือไม่”
“่นี้ปฏิกิริยาของใต้เท้าจวงช้าเป็อย่างมาก ต้องเรียกเขาสามครั้งถึงจะหันมา ทั้งยังหาวทั้งวันเหมือนคนอดหลับอดนอน พวกเราเดาว่าเป็เพราะเขาต้องคอยดูแลสาวงามมากมายตอนกลางคืนเป็แน่ จึงทำให้เขาเหนื่อยล้าเช่นนี้” เ้าพนักงานคนหนึ่งกล่าว
“ต่อหน้าองค์รัชทายาท พูดอะไรระวังหน่อย” จางจงถลึงตาดุใส่เขา
“นอกจากนี้แล้ว ใต้เท้าจวงยังมีตรงไหนที่ผิดปกติอีกหรือไม่?” มู่หรงฉือแอบสังเกตท่าทีของจางจง
“กระหม่อมคิดออกแล้ว มีครั้งหนึ่งกระหม่อมไปห้องน้ำ ได้ยินเสียงแปลกๆ จึงเดินไปดูทางด้านหลัง” เ้าพนักงานอีกคนพูด “ครั้นไปถึงด้านหลังห้องน้ำ กระหม่อมก็เห็นใต้เท้าจวงนั่งอยู่ตรงมุมกำแพงกำลังไอไม่หยุด ดวงหน้าขาวซีดราวกับผีจนน่าใ กระหม่อมร้องเรียกเขา เขาเหมือนเห็นแต่ก็มองไม่เห็น สายตาเลื่อนลอย น่ากลัวมาก”
“เขามีงานอดิแรกอะไรหรือไม่?” เสิ่นจือเหยียนถาม
“ใต้เท้าจวงชอบดื่มชา ทุกวันจะต้องดื่มชาอย่างน้อยหนึ่งถ้วย แต่ว่า่นี้ไม่รู้เป็อะไร เขาไม่ค่อยดื่มชาแล้ว ทำอะไรก็มึนๆ เบลอๆ” เ้าพนักงานคนหนึ่งตอบกลับ
“องค์รัชทายาท ใต้เท้าเสิ่น ใต้เท้าจวงป่วยตายจริงๆ หรือ?” จางจงถามอย่างระมัดระวัง
“ศาลต้าหลี่กำลังตรวจสอบ ตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยคดีออกไปได้ ต้องขออภัยด้วย” เสิ่นจือเหยียนเอ่ย
“นอกจากกลับจวนกับมาที่กรม ใต้เท้าจวงยังชอบไปที่ไหนบ้าง? หรือว่ามีอะไรที่เขาสนใจเป็พิเศษบ้าง?” มู่หรงฉือถามอีก
“ถึงแม้กระหม่อมจะทำงานร่วมกับใต้เท้าจวงมาหลายปี แต่น้อยมากที่จะพูดเื่ส่วนตัวกัน ใต้เท้าจวงชอบไปดื่มชาดื่มสุราที่ไหน กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ” จางจงตอบกลับอย่างระมัดระวัง ต่อมาก็มองไปทางลูกน้องคนอื่นๆ แววตาวาบขึ้นเล็กน้อย “พวกเ้ารู้หรือไม่?”
“กระหม่อมก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ” คนอื่นๆ ต่างพูดเป็เสียงเดียวกัน
ชัดเจนขนาดนี้ เสิ่นจือเหยียนกับมู่หรงฉือมีหรือจะมองไม่ออก
บางทีจางจงกังวลว่าการตายของจวงฉินจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาจึงกังวลว่าจะติดร่างแหไปด้วย จางจงถึงได้ส่งสายตาไปให้กับลูกน้อง ให้พวกเขาอย่าพูดมาก
ครั้นออกมาจากกรมโยธา ฉินรั่วก็พูดอย่างหงุดหงิด “พวกคนที่กรมโยธาก็เกินไปแล้วจริงๆ กระทั่งคำถามของเตี้ยนเซี่ยก็ไม่กล้าตอบ”
เสิ่นจือเหยียนหัวเราะ “ก็เข้าใจได้ หลายคนต่างอยากจะรักษาตัวเองเอาไว้ พูดน้อยก็ผิดน้อย พูดมากก็ผิดมาก”
คิ้วเรียวของมู่หรงฉือขมวดน้อยๆ “ดูจากที่ฮูหยินจวงกับบรรดาเ้าพนักงานกรมโยธาพูดมา นิสัยของใต้เท้าจวงคงเพิ่งจะเปลี่ยนไปเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเขาจะสูบฝิ่นมาได้ประมาณครึ่งปี”
“อีกทั้งเขายังไม่เคยสูบฝิ่นที่กรมมาก่อน ในจวนก็สูบในห้องพักของห้องตำรา ปกปิดได้ดีมาก ไม่ให้กระทั่งคนในครอบครัวรู้” เสิ่นจือเหยี่ยนวิเคราะห์ต่อ “เพราะว่าหากถูกพบเข้าว่าเขาสูบฝิ่น ไม่เพียงแต่เขาที่จะถูกลงโทษ สกุลจวงเองก็จะโดนไปด้วย”
“ปกติแล้วเขาจะสูบฝิ่นยามดึก ดังนั้นจึงไม่กลับมาพักผ่อนที่ห้องนอนบ่อยๆ เมื่อคืนเขาก็เป็เช่นปกติ นอนสูบฝิ่นที่เตียงไผ่ เพียงแต่สูบไปสูบมาก็สูบมากเกินไปเสียแล้ว”
“เขาเหมือนได้เห็นภาพสวยงามมากมาย จึงนอนอยู่ในห้องพักอยู่นาน สร้างฝันอันสวยงามมากมาย ต่อมาเขาตื่นขึ้นจึงมายังด้านนอกห้องแล้วนั่งตรงหน้าโต๊ะหนังสืออยากจะเขียนอะไรบางอย่าง จู่ๆ เขาพลันรู้สึกว่าหายใจไม่ออก น้ำหมึกหกรดลงไปบนกระดาษขาว ทรมานเป็อย่างยิ่ง อยากจะเรียกคนมาแต่ก็เรียกไม่ออก...”
“แต่เขายังไม่อยากตาย จึงฝืนยืนขึ้น อยากจะออกไปะโเรียกคน ก่อนจะกวาดหนังสือเล่มหนึ่งบนโต๊ะหล่นลงพื้น แต่เขาอ่อนแรงขนาดนั้น กระทั่งจะหายใจก็ยังรู้สึกยากลำบาก...เขาเดินไปได้สองก้าวก็ล้มลงไปกับพื้น รู้สึกว่าการหายใจยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ...”
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนมองตากันไปมา ต่างขมวดคิ้วแน่น
ฉินรั่วพูดขึ้น “เตี้ยนเซี่ย ใต้เท้าเสิ่น พวกท่านช่างเก่งกาจยิ่งนัก จากที่พวกท่านพูดมาทั้งหมด หนูฉายเหมือนจะเห็นทุกขั้นตอนที่ใต้เท้าจวงเกิดอาการพิษกำเริบขึ้นมาเลยทีเดียว”
สีหน้าของเสิ่นจือเหยียนเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน “ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดกลับเป็ ก้อนฝิ่นนี้มาจากที่ไหน”
มู่หรงฉือพยักหน้า “มีคนกล้าเสี่ยงนำมันมา ทั้งยังลอบค้าฝิ่นทำร้ายประชาชน”
จู่ๆ ฉินรั่วก็พูดขึ้น “ใต้เท้าจวงจะไปซื้อฝิ่นด้วยตัวเองเชียวหรือ? จะสั่งให้คนที่ไว้ใจไปหรือไม่? อย่างเช่นพ่อบ้าน”
ดวงตาของมู่หรงฉือพลันวาววับ พูดด้วยความดีใจ “ใช่ พวกเราจะต้องกลับไปถามพ่อบ้านสกุลจวง”
เสิ่นจือเหยียนกลับพูดว่า “เตี้ยนเซี่ย นี่ก็มืดค่ำแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปที่สกุลจวงแล้วกัน”
ฉินรั่วเองก็บอกให้ไปวันพรุ่งนี้ มู่หรงฉือจึงทำได้เพียงปล่อยไป แล้วกลับไปที่ตำหนักบูรพา
ในตอนกลางคืน หลังจากมู่หรงฉืออาบน้ำเสร็จแล้ว เตรียมตัวที่จะขึ้นเตียงนอน วางแผนว่าพรุ่งนี้จะตื่นเช้าหน่อย ฉินรั่วก็ถือกระดาษสองแผ่นเข้ามา “เตี้ยนเซี่ย คุณชายหรงส่งจดหมายมาเพคะ”
มู่หรงฉือคลี่กระดาษจดหมายที่พับเอาไว้ออก ที่แท้ก็เป็ข่าวเกี่ยวกับหลิงหลงเสวียน
หลิงหลงเสวียนถูกสร้างขึ้นเมื่อห้าปีก่อน ทำการค้าขายหยกคุณภาพสูง แต่ว่าหลิงหลงเสวียนนั้นย่อมไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นแน่นอน ด้านหน้าประตูของหลิงหลงเสวียนไม่ใหญ่โต หยกในร้านก็มีไม่มาก ลูกค้าที่ไปก็มีอยู่ไม่กี่คน แต่เป็เช่นนี้ก็ยังสามารถเปิดร้านมาได้ถึงห้าปี นี่มันไม่แปลกมากหรอกหรือ?
เมื่อสี่ปีก่อนหรงจ้านได้จับตามองร้านหลิงหลงเสวียน จับตามองมาสี่ปีก็ยังไม่เคยเจอกับเ้าของร้าน คนที่คอยดูแลลูกค้าในร้านก็มีแต่ผู้จัดการร้านกับลูกน้องหนึ่งคน กระทั่งเ้านายที่อยู่เื้ัสกุลอะไรก็ไม่มีใครรู้ เป็ผู้จัดการที่คอยดูแลเื่ราวทั้งหมด
หรงจ้านยังบอกอีกว่า การขายหยกนั้นเป็แค่เบื้องหน้า เื้ักลับดำเนินการอย่างอื่น ส่วนจะเป็อะไรนั้นกำลังรอตรวจสอบต่ออีกขั้น
คิ้วของมู่หรงฉือขมวดเข้าหากัน “ผู้จัดการสวี่บอกว่าว่านฟางกับหวังเทาชอบไปดูหยกที่หลิงหลงเสวียน คิดว่าคงไม่ได้ไปดูหยกกันกระมัง”
ทันใดนั้นก็เหมือนมีอะไรแล่นผ่านหัว ดวงตานางพลันวาววับ “ว่านฟางกับหวังเทาไปคุยการซื้อขายที่หลิงหลงเสวียน ต้องเป็การคุยเื่การซื้อขายอาวุธแน่!”
“หากหลิงหลงเสวียนดำเนินการอย่างอื่นจริงๆ ก็มีความเป็ไปได้ที่จะแอบรับซื้ออาวุธของกองทัพ” ฉินรั่วพูดอย่างครุ่นคิด “คนที่อยู่เื้ัหลิงหลงเสวียนจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา”
“ดูเหมือนว่าจะต้องไปเยือนหลิงหลงเสวียนสักครั้งเสียแล้ว” ดวงตาของมู่หรงฉือทอประกายเย็นเยียบ
...
่สายของวันต่อมา มู่หรงฉือกับฉินรั่วเพิ่งจะมาถึงศาลต้าหลี่ก็เห็นเสิ่นจือเหยียนกำลังพาเ้าพนักงานสองคนออกไป
มู่หรงฉือถามเขาจากหน้าต่างเล็กของรถม้า “จือเหยียน เ้าจะไปที่ไหนหรือ?”
พอเห็นว่าเป็เตี้ยนเซี่ย เขาก็รีบควบม้าเข้ามาหาทันที ก้มตัวลงพูด “เมื่อครู่บ่าวรับใช้ของสกุลกานหัวหน้าหน่วยของกรมพลเรือนมาแจ้งความ บอกว่าใต้เท้ากานเสียชีวิตแล้ว จวนจิ่งจ้าวส่งคนมารายงาน ข้ากำลังจะไปที่สกุลกาน”
“เปิ่นกงไปกับเ้าด้วย เ้านำทาง” หัวใจของนางหนักอึ้ง มีขุนนางเสียชีวิตอีกแล้ว
“หัวหน้าหน่วยของกรมพลเรือนเสียชีวิตแล้ว?” ฉินรั่วครุ่นคิด “ไม่รู้ว่าเสียชีวิตได้อย่างไร”
เสิ่นจือเหยียนนำทางด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก รถม้าสามารถตามได้ทันพอดี
จวนสกุลกานกับสกุลจวงนั้นพอๆ กัน ซึ่งก็คืออยู่ในซอยหนึ่ง ข่าวยังไม่ทันได้ถูกแพร่ออกไปจึงยังไม่มีประชาชนมามุงดู
มู่หรงฉือรีบลงจากรถม้าแล้วตามเข้าไปในจวนสกุลกาน
เหมือนกับเมื่อวาน หัวหน้ามือปราบของจวนจิ่งจ้าว และเ้าพนักงานต่างมาถึงที่นี่แล้ว กำลังสอบปากคำบรรดาเ้านายและบ่าวไพร่ในสกุลกาน
หัวหน้ามือปราบเห็นคุณชายรูปงามสองคนที่เจอเมื่อวานก็อยู่ด้วย จึงพยักหน้าให้พวกนาง จากนั้นก็พูด “ใต้เท้าเสิ่น จากที่พ่อบ้านสกุลกานบอกมา วันนี้ตอนเช้าไม่เห็นใต้เท้ากานตื่น ฮูหยินกานรู้สึกแปลกๆ จึงไปดูที่ห้องตำราด้วยกัน ห้องตำราถูกไม้ขัดเอาไว้ พวกเขาเคาะประตูอย่างไรด้านในก็ไม่มีเสียงตอบ ฮูหยินกานกับพ่อบ้านกังวลว่าจะเกิดเื่กับใต้เท้ากาน จึงเรียกองครักษ์ในจวนมาพังประตู หลังจากพวกเขาเข้ามาก็เห็นใต้เท้ากานนอนอยู่บนเตียงเล็กเสียชีวิตไปแล้ว”
เสิ่นจือเหยียนถาม “ศพยังอยู่ในห้องตำราหรือ?”
“ยังอยู่ในห้องตำรา ฮูหยินกานพบว่าใต้เท้ากานเสียชีวิตแล้วก็รีบเรียกคนไปเชิญหมอมา แล้วให้คนไปแจ้งความที่จวนจิ่งจ้าว” หัวหน้ามือปราบตอบ
“สถานที่เกิดเหตุในห้องตำราได้รักษาสภาพตอนแรกเอาไว้หรือไม่?” ในใจของมู่หรงฉือมีความไม่สบายใจพุ่งขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“บุตรชายบุตรสาวของใต้เท้ากานเข้ามาในห้องตำรา แต่ว่าสภาพการณ์ของที่เกิดเหตุตอนแรกยังไม่เสียหายมาก” หัวหน้ามือปราบบอก “เมื่อครู่อู่จั้วได้ทำการตรวจสอบศพเบื้องต้นแล้ว อู่จั้วบอกว่า ลักษณะเหมือนใต้เท้าจวงเมื่อวาน คงจะตายเพราะพิษ”
หัวใจของนางหนักอึ้ง ตามเสิ่นจือเหยียนเดินเข้าไปด้านใน
หน้าห้องตำรา ฮูหยินกานฟุบร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของแม่นมอย่างเศร้าโศกเสียใจ ด้านข้างเป็บุตรชายบุตรสาวของใต้เท้ากานที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวแรกรุ่น บุตรสาวหน้าตาโศกเศร้า ดวงตาบวมแดง น้ำตาไหลริน ส่วนบุตรชายขมวดคิ้วเสียใจ ในดวงตามีน้ำตาเอ่อคลอ
บุตรสาวสกุลกานเห็นเสิ่นจือเหยียนมาก็รีบเดินไปหาโดยมีสาวใช้คอยประคอง นางร่ำไห้เสียใจพลางเอ่ย “ใต้เท้าเสิ่น ท่านพ่อของข้าเสียชีวิตอย่างแปลกประหลาด ขอท่านตรวจสอบสาเหตุการตายของท่านพ่อให้ชัดเจนด้วยเถิดเ้าคะ...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้