การเดินทางไกลในครั้งนี้ หากอยากเร่งกลับมาก่อนปีใหม่ คงต้องเร่งเดินทางอย่างม้าเร็วลงแส้
ด้วยเหตุนี้ เจินจูจึงไม่ได้เสียเวลาอยู่นานเกินไป จัดการเื่ราวภายในบ้านอย่างคล่องแคล่ว ให้หวังซื่อดูแลสถานที่ทำอาหารหมักของสกุลหูมากหน่อย หลังจากนั้นจัดเก็บห่อผ้าและรีบออกเดินทางทันที
หลัวจิ่งกับหลัวสือซานแต่งกายแบบผู้คุ้มกัน นำทางผู้คุ้มกันยี่สิบคนที่หลิวผิงจัดหามาให้ เพื่อคุ้มกันตลอดการเดินทาง ในด้านความปลอดภัยย่อมไม่มีปัญหา
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความน่าสงสัย เจินจูจำต้องพาผิงอันไปด้วย
ทนรับเสียงะโร้องด้วยความโศกเศร้าของผิงซุ่น ในตอนที่พวกเขาขึ้นมาเหยียบอยู่บนถนนกันแล้ว
“ท่านพี่ ไม่พาพี่ชายไปด้วย เขาคงเสียใจแย่เลย” ในใจผิงอันยินดีทว่าก็รู้สึกขอโทษผิงซุ่นเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
“อื้ม รอตอนกลับมา ค่อยเอาของฝากไปให้เขา เขาก็ดีใจแล้ว”
พามาด้วยหนึ่งคนเป็การหลีกเลี่ยงความน่าสงสัย พามาด้วยสองคนจะเป็การหาปัญหาใส่ตัว ไม่ใช่ไปเที่ยวชมทิวทัศน์ูเาลำธารเสียหน่อย เด็กหนุ่มน้อยค่อนข้างโตสองคนก็ดูแลไม่ง่ายเลย อีกทั้งผิงซุ่นยังเป็เด็กนิสัยนั่งติดอยู่กับที่ไม่ได้ด้วย
“อื้มๆ ท่านพี่ ต้องเอาของฝากกลับไปให้พี่ชายนะ”
ผิงอันยิ้มขึ้นได้ เกิดความรู้สึกพึงพอใจและคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง
“เสี่ยวฮุย เ้ามานี่ วางใจได้ เสี่ยวเฮยไม่มีทางกินเ้าแน่”
นางโบกมือไปทางเสี่ยวฮุยที่ขดตัวอยู่มุมหนึ่งของเกวียน
ไม่ผิด เจินจูพาเสี่ยวฮุยไปเมืองหลวงด้วยกัน
มันเฉลียวฉลาดว่องไวมีขาหน้าปราดเปรียว เคลื่อนไหวคล่องแคล่วทั้งขนาดรูปร่างยังเล็กอีกด้วย ไม่แน่ว่าอาจเป็ประโยชน์ในการปีนป่ายก็ได้
อีกอย่างมันเชื่อฟังและมีปฏิภาณไหวพริบ เจินจูบอกว่าจะพามันออกไปข้างนอกด้วยสักรอบ เสี่ยวฮุยใช้หัวเล็กของมันพยักหน้าตอบรับในทันที
รอให้มันกลับไปที่ป่าเขาหนึ่งรอบ ก็กลับมาติดตามอยู่ข้างกายนางแต่โดยดีแล้ว
หลังเจินจูอาบน้ำให้มันั้แ่หัวจรดหางจนสะอาดเอี่ยม ขนที่เดิมทีสีเทาหม่น กลับสีอ่อนลงไปไม่น้อย หนูขนสีเทาเกือบกลายเป็หนูขนสีขาว ขนปุยนุ่ม น่ารักยิ่งนัก
ผิงอันก็ชอบมันมากเช่นกัน
เสี่ยวเฮยพิงอยู่บนตักของเจินจู ชำเลืองมองมันด้วยความเหยียดหยามแวบหนึ่ง แล้วโค้งตัวมุดเข้าไปในอ้อมอกของผู้เป็นายสาวอย่างเย่อหยิ่ง
เจินจูประคองเสี่ยวฮุยเข้ามา ลูบหัวเล็กของมันเพื่อปลอบขวัญ จากนั้นยื่นไปให้ผิงอัน
ผ่านการอยู่ด้วยกันมาสองวัน เสี่ยวฮุยปรับตัวเข้ากับผิงอันได้ดีอย่างมาก
เจินจูไม่ได้พาเสี่ยวจินมาด้วย ที่จริงนางเคยคิดว่าจะพามันมาด้วยกัน อย่างไรเสียแรงกำลังในการสร้างความเสียหายของมันก็ไม่ธรรมดา แต่รูปร่างของมันใหญ่เกินไป ลักษณะเฉพาะตัวก็โดดเด่นมาก ต่อให้ลงมือบรรลุเป้าหมายได้ก็ง่ายต่อการถูกเปิดโปงฐานะเช่นกัน นางคิดไปใคร่มาจึงตัดสินใจว่าให้มันบินร่อนอยู่ในป่าเขาอย่างอิสระดีกว่า
เสียงเกวียนถูกเคาะดังขึ้นที่หน้าต่าง ผิงอันดึงม่านเกวียนเปิดออก พร้อมฉีกยิ้มขึ้นทันที “พี่ชายยู่เซิง!”
หลัวจิ่งแต่งกายอยู่ในชุดผู้คุ้มกันส่งยิ้มให้เขา ทันทีหลังจากนั้นก็กวาดสายตามองไปทางเจินจูที่อยู่ตรงข้ามผิงอัน “จะเข้าในเมืองแล้ว ต้องหยุดหน้าฝูอันถังหน่อยหรือไม่?”
“อื้ม ต้องบอกกับเ้าของร้านหลิวสักหน่อย”
นางออกไปไกลจากบ้าน แม้ฝากฝังให้ฟางเสิงดูแลปัญหาด้านความปลอดภัยของสกุลหูไว้แล้ว แต่ถึงอย่างไรฟางเสิงก็แค่คนเดียว ดังนั้นตามศักยภาพเส้นสายความสัมพันธ์ ยังต้องอาศัยหลิวผิงช่วยดูแลสักหน่อย
หลัวจิ่งพยักหน้า กดความกลัดกลุ้มไว้ในใจ เขามาจากชายแดนครั้งนี้ นอกจากหลัวสือซานแล้ว แม้แต่ผู้ติดตามส่วนตัวก็ไม่ได้พามาด้วยสักคน เดิมคิดเพียงว่าเขาจะอาศัยอยู่หมู่บ้านวั้งหลินระยะหนึ่ง หากพาคนมามากเกินไป สกุลหูจะเกิดความยุ่งยากในการจัดหาที่พัก ด้วยเหตุนี้เขาเลยมาอย่างไร้ความกังวล มีเพียงหลัวสือซานมาด้วยก็เร่งเดินทางกลับมาทันที
ผลสุดท้าย กลับพบเข้ากับการถูกจู่โจมในยามราตรีขึ้นเสียนี่ หากเขารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ เขาคงพาผู้ติดตามส่วนตัวมาด้วยร้อยคนแล้ว เพราะสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ ยังต้องอาศัยผู้คุ้มกันของสกุลกู้จึงจะสามารถคุ้มกันพวกเจินจูสองคนเข้าเมืองหลวงไปได้อย่างปลอดภัย
ที่น่าเคียดแค้นที่สุดก็คือ ต้าไป๋กับต้าฮุยล้วนไม่อยู่ข้างกาย ไม่เช่นนั้นเขาจะใช้นกพิราบส่งสารบินไปส่งหนังสือสักรอบ เช่นนั้นก็จะสามารถโยกย้ายกองกำลังทหารหนึ่งหน่วยมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องกล่าวถึงความกลัดกลุ้มที่สุมแน่นอยู่ในอกเขาเลยว่ามีมากเท่าไร
รถม้าหยุดลงหน้าประตูร้านฝูอันถัง
รถม้าสองเกวียน เป็หลิวผิงจัดหาให้เช่นกัน สำหรับเื่ของเจินจูสองพี่น้องจะไปเมืองหลวง เขาใเป็อย่างมาก สกุลหูเพิ่งเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น พวกนางไม่ควรประพฤติตัวอยู่เงียบๆ หรือ? เหตุใดกลับ้าไปเมืองหลวงเสียแล้วล่ะ? ตอนนี้เป็่กลางเดือนสิบเอ็ด อีกไม่นานก็จะสิ้นปีแล้ว อีกอย่างหน้าหนาวที่หนาวเหน็บ เวลาเช่นนี้ไม่เหมาะแก่การเดินทางไกลจริงๆ
แน่นอนว่าหลิวผิงก็ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด แม่นางสกุลหูเป็คนเฉลียวฉลาด มีการตัดสินใจของตัวนางเอง หลิวผิงมีหน้าที่แค่นำเื่รายงานส่งไป และช่วยพวกนางเตรียมสิ่งของที่จำเป็ก็พอแล้ว
เจินจูกับผิงอันดึงประตูรถม้าเปิดออกและลงจากรถม้า
“แม่นางหู นี่จะออกเดินทางแล้วหรือ?” หลิวผิงรีบเดินเข้ามาทักทายด้านหน้า
“ใช่แล้วเ้าค่ะ เ้าของร้านหลิว ข้าอยากรีบไปรีบกลับ ไม่อยากฉลองปีใหม่อยู่เมืองหลวง” เจินจูยิ้มไปกล่าวไป
“โธ่ เช่นนั้นคงต้องเร่งเดินทางจริงๆ ตามการเดินทางปกติ จากเอ้อโจวของพวกเราไปถึงเมืองหลวงต้องใช้เวลาประมาณสิบห้าวันได้ ไปกลับอย่างเดียวก็เสียเวลาไปหนึ่งเดือนแล้ว” หลิวผิงคำนวณให้พวกเขาคร่าวๆ “แต่หากเร่งให้เร็วอีกหน่อย เพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองวันก็ไปถึง และถ้าเดินทางอย่างเร่งทั้งวันทั้งคืน อาศัยพักค้างแรมในที่โล่งแจ้งตามป่าก็จะไปถึงได้ภายในเจ็ดหรือแปดวัน”
เจินจูพยักหน้า นางยกโถลงมาจากเกวียนแล้วยื่นไปให้หลิวผิงหนึ่งใบ “เ้าของร้านหลิว นี่เป็เนื้อกวางริมแม่น้ำที่พะโล้ขึ้นใหม่ ่เวลาที่ข้าไปเมืองหลวงนี้ ต้องรบกวนท่านช่วยดูแลทางบ้านสกุลหูมากสักหน่อยแล้วเ้าค่ะ”
หลิวผิงรีบรับมาด้วยรอยยิ้ม ครอบครัวของเขาได้รับอาหารหรือผลไม้ที่สกุลหูมอบให้อยู่ตลอดทั้งปี ไม่กี่ปีมานี้ร่างกายเยี่ยมยอดมากขึ้นเป็เท่าตัว อาการเจ็บป่วยเจ็บไข้เล็กน้อยมีน้อยมาก เขาที่พลอยได้รับโชคของคุณชายมาด้วย จึงรู้สึกสนิทสนมเป็กันเองต่อคนทั้งสกุลหูเป็เท่าตัว
“กล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เื่ครั้งก่อน แม่นางหูไม่กล่าวโทษก็ซาบซึ้งเป็อย่างยิ่งแล้ว เื่นี้อยู่ในหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบของข้าอยู่แล้ว แม่นางหูโปรดวางใจ ทั้งสิบสองชั่วยามของสกุลหูล้วนต้องเฝ้าคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา ไม่มีทางประมาทเลินเล่ออย่างแน่นอน”
“แม่นางหู ผู้ชำนาญเร่งเกวียนมีนามว่าหลิวอี้ รับผิดชอบในการขนส่งสินค้าและวัตถุดิบอาหารไปเมืองหลวงอยู่ตลอด คุ้นเคยเส้นทางนี้อย่างมาก ท่านมีเื่อะไร ขอแค่ส่งเขาไปจัดการได้เลย ส่วนทางคุณชาย ข้าก็แจ้งให้ทราบไปแล้ว รอถึงเมืองหลวงคุณชายจะส่งคนมารับพวกท่าน”
เจินจูอมยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณ หลังไหว้วานให้เขาช่วยดูแลทางสกุลหูอีกครั้งเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางทันที
หลัวจิ่งมองพวกเขาทักทายกันอย่างไม่กล่าวอะไรสักคำ เขารู้ สองสามปีมานี้กู้ฉีจัดซื้อวัตถุดิบอาหารและลำเลียงกลับไปเมืองหลวงโดยผ่านหลิวผิงมาตลอด
เขาคิดเสมอมา ว่ากู้ฉีเกิดความเห็นอกเห็นใจหรือมีจุดประสงค์อื่น เลยใช้การซื้อวัตถุดิบอาหารของสกุลหูมาเป็ฉากบังหน้าเพื่อเข้าใกล้สกุลหูมากขึ้น แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เวลาที่กู้ฉีติดต่อสนิทสนมกับสกุลหูมีไม่มาก แม้สองปีมานี้เขาจะหาเวลามาเมืองไท่ผิง แต่ความเป็จริง่ที่เขามาบ้านสกุลหูกลับไม่เท่าไรเอง
กู้ฉีสั่งกระต่ายกับไก่บ้านของสกุลหูอยู่ตลอด ทุกเดือนล้วนต้องส่งเข้าเมืองหลวงไปถึงสองชุด หลัวจิ่งรู้สึกหายใจติดขัด หรือเมืองหลวงจะขาดแคลนกระต่ายกับไก่บ้านกันนะ?
รถม้าเริ่มเดินทางขึ้นสู่ถนนทางการอย่างรวดเร็ว วันนี้เสียเวลาไปแล้วเล็กน้อย ตอนกลางวันต้องเร่งไปถึงรัฐโจวให้ได้ จากนั้นค่อยเร่งเดินทางไปอีก่หนึ่ง ก่อนฟ้ามืดจะได้พักอยู่ในตำบลและเมืองถัดไปได้ทันเวลา
แม้เบาะรองนั่งที่ปูอยู่้าจะหนา รถม้าก็ยังคงสั่นะเือยู่เล็กน้อย เดิมเสี่ยวเฮยนอนขดอยู่ในอ้อมอกเจินจู แต่หลังจากที่มันถูกทำให้สั่นะเืจนตัวลอยขึ้นกลางอากาศอยู่บ่อยครั้ง ก็เกิดความโมโหขึ้นมาสุดขีด ส่งเสียงร้องประท้วงออกมา
เจินจูจนปัญญา นางก็คิดถึงรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่รวดเร็วและเรียบนิ่งในยุคปัจจุบันเช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ยุคโบราณที่ล้าหลังนี้ สามารถนั่งรถม้าได้ก็นับว่าเป็พาหนะเดินทางที่อยู่ในระดับสูงที่สุดของครอบครัวร่ำรวยแล้ว
นางล้วงเข้าไปภายในตะกร้าไม้ถักที่อยู่ในเกวียน และหยิบผิงกั่วออกมาหนึ่งผล ใช้มีดหั่นมันออกเป็สองส่วน ครึ่งหนึ่งให้เสี่ยวเฮย อีกครึ่งหนึ่งแบ่งเป็สองส่วนอีกที ให้ผิงอันกับเสี่ยวฮุย
เสี่ยวเฮยทำตัวดีขึ้นมาทันที ประคองผิงกั่วกิน “กร๊วบๆๆ” อย่างเอร็ดอร่อย
เสี่ยวฮุยมองเจินจูด้วยดวงตาสีดำเล็กๆ แล้วถึงประคองผิงกั่วขึ้นแทะอย่างระมัดระวัง
“ท่านพี่ ให้ข้าน้อยนิดแค่นี้เอง คำเดียวก็ทานหมดแล้ว” ผิงอันใส่เข้าในปาก กัดไปหนึ่งคำก็ครึ่งหนึ่งแล้ว
“นั่นเอาไว้ใช้ปลอบพวกมัน ตลอดเส้นทางนี้ยังต้องโคลงเคลงอีกหลายวันเลย เฮ้อ ออกจากบ้านไปไกลสักรอบไม่ง่ายเลยจริงๆ” เจินจูส่ายหน้า แสดงออกว่าจนปัญญาอย่างมาก
“ท่านพี่!” เสียงของผิงอันกดต่ำลงอย่างกะทันหัน เข้ามาคุยกับนางใกล้ๆ อย่างลึกลับ “ท่านไปเมืองหลวงเพียงเพราะเื่ขององค์ไท่จื่อใช่หรือไม่?”
เจินจูใทันที มองใบหน้าเล็กของผิงอันแล้วถอนหายใจออกมา เ้าเด็กนี่เฉลียวฉลาดั้แ่เด็กเลย สามารถคาดเดาส่วนสำคัญที่เกี่ยวพันกันจากเพียงเื่เล็กน้อยออกได้
นางยกนิ้วชี้ชูขึ้น ทำท่าทางไม่อนุญาตให้กล่าวออกมา
ดวงตาผิงอันเป็ประกาย พยักหน้าด้วยความตื่นเต้น
เขารู้ว่าพี่สาวของตัวเองหากไม่มีเื่อะไรจะออกเดินทางไกลกะทันหันทำไม จากลักษณะนิสัยของเจินจู ต้องมีเื่ใหญ่อะไรอย่างแน่นอน ถึงได้พาเขาออกเดินทางมาท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บนี่
และเื่ใหญ่ที่สุดใน่นี้ก็คือ การจู่โจมของคนชุดดำในคืนนั้น เชื่อมโยงเข้ากับข้อความที่เขาได้ยินมาก็คาดเดาได้ไม่ยากเลย การออกเดินทางครั้งนี้ของพวกเขา ต้องเกี่ยวกับองค์ไท่จื่ออย่างแน่นอน แค่ไม่รู้ว่าท่านพี่คิดจะทำอะไรกันแน่เท่านั้นเอง?
เจินจูลูบศีรษะของเขา เ้าเด็กน้อยนี่ดวงตามองแวบไปแวบมารวดเร็วนัก ไม่มีความหวาดกลัวเลยสักนิด แต่กลับมีชีวิตชีวาตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เฮ้อ ช่างเป็เด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักกลุ้มใจบ้างเสียเลย
รถม้ามาถึงอำเภอเจิ้นอันได้อย่างรวดเร็ว เพราะต้องเร่งเดินทางเจินจูจึงไม่ได้คิดจะไปหาผู้าุโติง กลุ่มของพวกนางหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งและสั่งอาหารสำหรับมื้อกลางวันด้วยความรวดเร็ว แล้วจึงเร่งเดินทางกันต่อ
่บ่ายเกือบถึงเวลายามเซิน ในที่สุดก็มาถึงเมืองเฉิงหยางของรัฐโจวในเขตเอ้อโจวจนได้
เมืองเฉิงหยางถือเป็ของรัฐโจว ขนาดภายในตัวเมืองย่อมไม่ใช่เมืองที่เป็เขตอำเภอจะเทียบได้
ผิงอันออกไปนั่งอยู่นอกเกวียน เหลือบซ้ายแลขวาด้วยความตื่นเต้น นี่เป็ครั้งแรกที่เขามาถึงรัฐโจว สรรพสิ่งทุกอย่างล้วนให้ความรู้สึกแปลกใหม่ทั้งสิ้น
คนสัญจรข้างถนนเกาะกลุ่มกันกระจายไปทั่ว ขณะเดียวกันก็มีรถม้าผ่านไปมาอยู่ตลอด
คนขับเกวียนเริ่มผ่อนระดับความเร็วลง ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้านับสิบจั้ง [1] ก็มาถึงใต้กำแพงเมืองอันสูงใหญ่ หน้าประตูเมืองมหึมามีรถม้าและคนสัญจรเรียงแถวตามลำดับเพื่อรอคอยการตรวจสอบ
เจินจูเห็นประตูกำแพงเมืองสูงจากซอกของม่านรถม้า ้าเขียนไว้ด้วยตัวอักษรเรียบง่ายรูปแบบโบราณลักษณะยิ่งใหญ่ว่า ’เฉิงหยาง’ อดทอดถอนใจไม่ได้เลย บรรยากาศของเมืองใหญ่ไม่ใช่เมืองเล็กจะเทียบเคียงได้เลยจริงๆ ด้วย
กลุ่มของพวกนางอยู่หน้าประตูเมือง สะดุดตาอย่างมาก รอจนถึงตอนที่พวกนางต้องได้รับการตรวจสอบและซักถาม หลิวอี้จึงหยุดรถม้า เขารับหนังสือเดินทางมาจากผิงอัน และหยิบเอาป้ายที่ทำจากทองแดงหนึ่งชิ้นออกจากในอก ส่งไปให้นายทหารที่ดูแลกำแพงเมือง พอนายทหารรับไปดูก็รีบทำความเคารพและยื่นกลับมา คนหนึ่งกลุ่มจึงผ่านประตูเมืองไปได้ด้วยความราบรื่นอย่างมาก
ผิงอันรับหนังสือเดินทางกลับมา เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แผ่นป้ายที่หลิวอี้หยิบออกมาเมื่อสักครู่ ้าเขียนตัวอักษรไว้ว่า ’กู้’ เป็เพราะแผ่นป้ายทองแดงนี้ ทำให้นายทหารที่ดูแลประตูเมืองไม่ตรวจสอบรถม้าของพวกเขา และปล่อยให้เดินทางไปได้กระมัง
เพราะเมื่อสักครู่เขาเห็นแล้ว รถม้าด้านหน้าล้วนต้องเปิดเกวียนออกให้นายทหารตรวจสอบทั้งสิ้น
พอดีเลย แม้ในเกวียนจะไม่มีสิ่งของต้องห้ามอะไร แต่พี่สาวของเขาหากให้นายทหารหยาบคายเหล่านี้เห็นเข้าอย่างไร้มูลเหตุก็คงไม่ค่อยดีนัก อีกอย่างเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยก็อยู่ด้วย แมวยังพอกล่าวไปได้ แต่หนูนี่คงชี้แจงได้ยากยิ่ง
หลัวจิ่งใบหน้าเ็า ขี่ม้าอยู่ข้างรถม้ามองมุ่งตรงไปข้างหน้า
เมืองเฉิงหยางเขาคุ้นเคยเลยล่ะ ที่นี่ เขาถูกคนรับใช้ทอดทิ้ง ถูกชายว่างงานเก็บไป และถูกขายให้กับพ่อค้าร่ำรวยที่ชื่นชอบเด็กหนุ่มรูปงาม…
จูเต๋อเซิ่งที่หันหลังให้เ้านายละทิ้งคุณธรรมได้กลายเป็ส่วนหนึ่งของผืนพสุธาไปแล้ว ชายว่างงานที่ขายเขาให้พ่อค้าผู้ร่ำรวยก็ถูกเขาหักขาทิ้งไปข้างหนึ่ง ส่วนพ่อค้าผู้ร่ำรวยที่ศีรษะและร่างกายมีรูปร่างใหญ่ผู้นั้น หึๆ หลังตีจนสลบก็เอาไปโยนทิ้งในโรงเลี้ยงหมูแห่งหนึ่งบริเวณชานเมือง ปล่อยให้นอนกับหมูอยู่หนึ่งคืน
คนที่ทรยศเขา คนที่วางแผนใส่เขา คนที่มีความคิดน่าสะอิดสะเอียนกับเขา ได้ถูกจัดการลงโทษทั้งหมดแล้ว
เจินจูเห็นใบหน้ายิ้มเยาะของเขาจากซอกม่านเกวียนเข้าพอดี อดเกิดความหนาวสั่นขึ้นไม่ได้ เ้าหนุ่มนี่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เหตุใดถึงได้แสดงออกจนทำให้คนหวาดกลัวเช่นนี้นะ
เชิงอรรถ
[1] จั้ง คือ หน่วยมาตรา 1 จั้ง เท่ากับ 10 ฉื่อ เป็ความยาวประมาณ 2.5 เมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้