เซี่ยโม่กับเหล่าหลี่รออยู่ครู่ใหญ่ถึงค่อยเห็นวัวเทียมเกวียนค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา
บนนั้นมีเหล่าจ้าวกับผู้ใหญ่บ้านกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่
เธอรีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมถามอย่างเป็ห่วง “ผู้ใหญ่บ้าน คุณปู่จ้าว ทำไมเพิ่งมาคะ”
ผู้ใหญ่บ้านมีสีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อยขณะตอบ “มีปัญหานิดหน่อยน่ะ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ช่วยกันขนของเถอะ”
เด็กสาวเหลือบเห็นคุณปู่จ้าวกำลังส่งสัญญาณทางสายตามาให้ เธอคิดในใจว่าคงมีเื่อะไรเกิดขึ้นแน่
ลอบสำรวจสีหน้าของผู้ใหญ่บ้านแล้วหน้าตาเหมือนคนมีเื่ทุกข์ใจ ส่วนคุณปู่จ้าวเอาแต่ยิ้มแหย
แล้วเธอก็นึกอะไรออก อย่าบอกนะว่าทางที่ว่าการรู้เื่ของคุณปู่จ้าวก็เลยพูดตักเตือนผู้ใหญ่บ้าน?
แต่ในเมื่อผู้ใหญ่บ้านบอกให้ช่วยกันขนของ ก็แสดงว่าจัดการเื่นี้เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นเหตุใดจึงยังดูอารมณ์ไม่ดีอีก
อาจเพราะคุณปู่จ้าวปิดบังเื่นี้ ผู้ใหญ่บ้านเลยไม่พอใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังช่วยดำเนินการให้
เมื่อทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไปได้แล้ว เธอรู้สึกว่าผู้ใหญ่บ้านช่างเป็คนดีจริงๆ
หากคิดอย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา ใครจะอยากได้หมอที่มีปัญหากันล่ะ
เซี่ยโม่รู้สึกเลื่อมใสในตัวผู้ใหญ่บ้านเหลือเกิน สายตาที่มองผู้ใหญ่บ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้มนับถือประจบเอาใจโดยไม่รู้ตัว
เ้าตัวรับรู้ได้ถึงสายตาที่เปลี่ยนไปของเด็กสาวเช่นกัน แต่เพราะอารมณ์ยังไม่คงที่ จึงพูดเสียงห้วนว่า “ยืนยิ้มอยู่ทำไม ไปช่วยขนของสิ”
“ค่ะ!” เซี่ยโม่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเข้าบ้านไปช่วยขนของอย่างขยันขันแข็ง
ระหว่างที่ช่วยขนย้าย เธอพบว่าภายในบ้านของคุณปู่จ้าวไม่ค่อยมีของอะไรมากนัก ที่มีอยู่ ถ้าไม่ถูกคนทุบทำลายก็เสียเพราะหมดอายุการใช้งาน
ภายในบ้านไม่มีอาหารหรือธัญพืชเลย คุณปู่จ้าวมีแค่เงินห้าหยวนที่เธอเคยให้ไว้ ไหนจะต้องเก็บไว้ซื้อยา ไม่อย่างนั้นจะรักษาคนป่วยไม่ได้ เมื่อไม่กี่วันก่อนคุณปู่จ้าวจะไม่อยู่บ้าน จึงนำพวกอาหารธัญพืชติดตัวไปด้วยเพื่อกินประทังชีวิต
ภายในบ้านมีผ้าห่มเก่าๆ ดูจากสภาพน่าจะผ่านการใช้มาแล้วหลายปี เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเ็ปใจ
เธอตัดสินใจถูกแล้วที่หยิบผ้าห่มสองผืนออกมาจากโกดังสินค้า ให้คุณปู่จ้าวหนึ่งผืน ถือเป็ของไหว้ที่ลูกศิษย์ให้อาจารย์ไปเลยในคราวเดียว
ก่อนหน้านี้ผู้ใหญ่บ้านเคยบอกว่าคุณปู่จ้าวสามารถไปยืมพวกอาหารและธัญพืชก่อนได้ แต่เธอคิดว่าไม่น่ามีข้าวสาร เลยตั้งใจจะยกข้าวสารห้ากิโลกรัมที่เอาออกมาจากโกดังสินค้าให้แก่คุณปู่จ้าว
ภายในบ้านมีข้าวของไม่มาก ใช้เวลาไม่นานก็ขนเสร็จ
เซี่ยโม่ช่วยคุณปู่จ้าวเก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน
ครั้นเห็นว่าผู้ใหญ่บ้านไม่ได้อยู่ด้วย เหล่าจ้าวจึงพูดกับสหายที่กำลังช่วยทำความสะอาด “เหล่าหลี่ ฉันจะไปเป็หมอที่หมู่บ้านเซิ่งลี่ แกช่วยฉันดูแลบ้านหลังนี้ทีนะ จะปล่อยเช่าก็ได้”
“เหล่าจ้าว แกวางใจเถอะ ฉันจะช่วยปล่อยเช่าให้ น่าจะได้หลายตังค์อยู่ แกก็ทำตัวดีๆ หน่อย ฉันเห็นสีหน้าผู้ใหญ่บ้านดูอารมณ์ไม่ดี แกไปล่วงเกินอะไรเขาเข้าล่ะ” เหล่าหลี่ตอบ
“ก็เื่นั้นนั่นแหละ เขาไปแจ้งเื่ที่ฉันจะไปเป็หมอที่หมู่บ้านกับทางการ พอค้นประวัติก็เจอว่าฉันมีญาติอยู่ต่างประเทศ”
เซี่ยโม่ที่กำลังทำความสะอาดได้ยินดังนั้นก็ทอดถอนใจ ยุคนี้ผู้ประสบเคราะห์กรรมแบบคุณปู่จ้าวมีอยู่มากมาย
โชคดีที่อีกสองปีข้างหน้า ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป พอถึงตอนนั้นคุณปู่จ้าวก็จะสามารถยืดอก เจอหน้าผู้คนได้อย่างสบายใจได้แล้ว
เหล่าหลี่พูดต่อ “เหล่าจ้าว แกเจอคนดีแล้ว หากเป็ผู้ใหญ่บ้านคนอื่น เขาคงรำคาญว่ายุ่งยาก ไม่ให้แกไปเป็หมอที่หมู่บ้านเขาแล้ว”
“ผู้ใหญ่บ้านคนนี้เป็คนดี มีความรับผิดชอบจริงๆ นั่นแหละ”
พูดถึงตรงนี้ เหล่าจ้าวชี้ไปทางเด็กสาวที่กำลังกวาดพื้นพร้อมกับเอ่ยว่า “เหล่าหลี่ ฉันมีเื่น่ายินดีจะบอก ฉันรับเด็กคนนั้นเป็ลูกศิษย์แล้ว”
เหล่าหลี่พยักหน้ารับรู้ “เด็กคนนี้นิสัยใจคอไม่เลว แกมีหวังแล้ว”
“ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน แต่เธอเป็ผู้หญิง เรียนได้เท่าไรก็เท่านั้น ฉันไม่อยากบังคับ” เหล่าจ้าวพูดตามตรง
ได้ยินเช่นนั้นเซี่ยโม่อดน้อยใจไม่ได้ อาจารย์ประเมินเธอต่ำเกินไปแล้ว
แม้คุณปู่จ้าวไม่ได้หวังให้เธอสืบทอดวิชาแพทย์ของท่าน แต่อุตส่าห์มีโอกาสทั้งที เธอจะตั้งใจเรียนรู้ให้เต็มที่ ต่อให้ในอนาคตไม่ได้เป็หมอ แต่มีวิชาแพทย์ติดตัวย่อมไม่เสียเปรียบแน่นอน
เธอฟังชายชราทั้งสองระลึกความหลังกันต่อ “หากมาที่ตำบล อย่าลืมแวะมาหาฉันนะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเหล้า”
“แน่นอน ถ้าแกมีเวลาก็มาเยี่ยมฉันบ้าง”
“ได้ แกรีบออกไปเถอะ ผู้ใหญ่บ้านรอแกอยู่”
จู่ๆ เหล่าจ้าวก็นึกอะไรออก “หลังจากฉันไปแล้ว หากของหนักๆ พวกนี้มันใช้ได้ แกก็ขนไปแล้วกัน”
“ฉันรู้แล้ว”
“นางหนู ไม่ต้องทำให้สะอาดมากหรอก พวกเราไปกันเถอะ”
เซี่ยโม่พยักหน้า ก่อนจะเดินตามเหล่าจ้าวขึ้นไปนั่งบนเกวียน
ผู้ใหญ่บ้านสะบัดบังเหียน วัวพลันเดินไปข้างหน้า แล่นออกจากตัวตำบลมาได้สักพัก ผู้ใหญ่บ้านถึงค่อยพูดขึ้นมาว่า “พี่จ้าว เื่ของพี่ อย่าได้พูดให้ใครฟังเชียวนะ คนอื่นเขาจะได้ไม่เอาไปซุบซิบนินทา”
ผู้ฟังควรน้อมรับฟังความเห็นหรือคำติเตียนของผู้อื่น แม้ในใจผู้ใหญ่บ้านจะโกรธที่เหล่าจ้าวไม่ยอมบอก หากก็ไม่ต่อว่าเหล่าจ้าวแม้แต่คำเดียว ทั้งยังคิดเผื่ออีกต่างหาก
ขอบตาเหล่าจ้าวแดงก่ำ พลางพยักหน้าน้อยๆ “ขอบคุณผู้ใหญ่บ้านที่ปกป้อง”
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจ “ตอนนี้เป็แบบนี้ แต่ต่อไปใครจะรู้ว่าเป็ยังไง ตอนนี้ฉันปกป้องคุณได้ แต่ฉันไม่สามารถปกป้องคุณได้ตลอด”
เซี่ยโม่คือคนที่รู้ดีที่สุด ขอแค่อดทนผ่านสองปีนี้ไปได้ เื่นี้ของคุณปู่จ้าวก็จะไม่นับว่าเป็ปัญหาใหญ่อีก
เห็นบรรยากาศดูเคร่งเครียด เธอจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ผู้ใหญ่บ้าน อาจารย์ มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า รถขึ้นเขาย่อมมีทางออก”
เดิมทีคิดจะไหว้ครูก่อนถึงค่อยเรียกคุณปู่จ้าวว่าอาจารย์ แต่เพื่อเป็การปลอบใจอีกฝ่าย เธอจึงเปลี่ยนคำเรียกเสียตอนนี้เลย
”เรานี่เป็เด็กจิตใจดีจริงๆ สมัยนี้หาได้ยาก” ผู้ใหญ่บ้านพูดชม
เซี่ยโม่ได้ใจ ยืมประโยคของคนอื่นมาพูดอีกว่า “ผู้ใหญ่บ้าน อารมณ์ดีก็หนึ่งวัน อารมณ์ไม่ดีก็หนึ่งวัน สู้อารมณ์ดีทุกวันไม่ดีกว่าเหรอคะ”
“ได้ ต่อจากนี้ฉันจะอารมณ์ดีทุกวัน”
เอ่ยจบ ผู้ใหญ่บ้านสะบัดบังเหียน เพื่อเร่งให้วัวเดินเร็วกว่าเดิม
คุณปู่จ้าวยิ้มน้อยๆ นึกไม่ถึงเลยว่าลูกศิษย์ของตนจะเป็คนมองโลกในแง่ดี ต่อไปชีวิตของเขาหลังจากนี้ต้องมีแต่ความสุขอย่างแน่นอน
ครึ่งชั่วโมงต่อมาเกวียนเทียมวัวก็มาถึงหมู่บ้านเซิ่งลี่
คันเกวียนเคลื่อนมาจอดที่หน้าโรงตรวจของคุณปู่จ้าว ก่อนทุกคนจะช่วยกันขนของลงจากเกวียน
คุณปู่จ้าวมองสัมภาระของเซี่ยโม่ “โม่โม่ ของพวกนี้จะทำยังไง”
“อาจารย์ ขอฝากไว้ก่อนได้ไหมคะ ไว้มีเวลาค่อยมาเอา“
ผู้ใหญ่บ้านอยู่ด้วย เซี่ยโม่จึงไม่อาจพูดออกไปได้ว่าของทั้งหมดนี้เธอยกให้คุณปู่จ้าวเป็ของไหว้ครู เพราะมันจะดูเสียมารยาท รอให้ผู้ใหญ่บ้านกลับไปก่อนค่อยว่ากัน
“ได้ งั้นวางเอาไว้ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน” คุณปู่จ้าวพูดอย่างไม่คิดมาก
ลำเลียงของลงจากเกวียนเสร็จ ผู้ใหญ่บ้านก็เอ่ยขึ้นมา “ทั้งสองคนจัดข้าวจัดของไปก็แล้วกัน ฉันยังมีธุระ คงต้องขอตัวก่อน พี่จ้าว อย่าลืมไปยืมอาหารกับธัญพืชล่ะ”
“ขอบคุณผู้ใหญ่บ้านมาก!” คุณปู่จ้าวกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงใจ
จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็บังคับเกวียนจากไป
หลังจากผู้ใหญ่บ้านจากไปแล้ว เซี่ยโม่ถึงค่อยเอ่ยขึ้นมา “อาจารย์ ผ้าห่มสองผืนนี้ ผืนหนึ่งเป็ของอาจารย์ ผืนเก่าที่อาจารย์นำมาด้วย เอาไปใช้ปูเตียงแล้วใช้ผืนใหม่นี้ห่มแทนเถอะค่ะ ส่วนข้าวสารนี้ก็เป็ของอาจารย์ครึ่งหนึ่งเช่นกันค่ะ”
“ได้ยังไงล่ะโม่โม่ ผ้าห่มมีราคาแพง ถ้าฉันจำไม่ผิด นี่เป็ผ้าห่มที่ทหารใช้กัน เป็ของมีราคา มีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อได้”
เธอแอบยิ้มอยู่ในใจ ยุคนี้ทุกคนต่างเคารพและนับถือทหาร ไม่ว่าของอะไรที่ทหารใช้ ทุกคนจะเห็นมันเป็ของล้ำค่า
ผ้าห่มทหารที่อยู่ในโกดังสินค้าของเธอ แท้จริงแล้วเป็ของเลียนแบบเกรด A
ยุคนี้ไม่มีใครกล้าเลียนแบบของพวกทหาร คุณปู่จ้าวเลยเข้าใจว่าผ้าห่มผืนนี้คือของแท้
“อาจารย์ โบราณกล่าวไว้ว่า เป็ศิษย์อาจารย์แค่วันเดียวก็ถือว่าเป็ศิษย์อาจารย์กันตลอดไป ผ้าห่มผืนเดิมของอาจารย์ใช้มากี่ปีแล้ว มันไม่อุ่นแล้ว อาจารย์รับไว้เถอะค่ะ ส่วนข้าวสาร อาจารย์ก็รับเอาไว้เถอะ อาหารและธัญพืชที่จะไปยืมผู้ใหญ่บ้าน มันไม่มีข้าวสารแน่นอน”
ชายชรารู้สึกอบอุ่นในหัวใจเหลือเกิน ชาตินี้เขาไม่มีลูกสาว แต่ในที่สุดวันนี้ก็ได้ลิ้มรสชาติความเป็ห่วงเป็ใยและเอาใจใส่จากเด็กรุ่นหลาน
ขอบตาเขาร้อนผ่าวและเริ่มเปียกชื้น “ได้ ฉันรับไว้ก็ได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้