โหยวเสี่ยวโม่ลังเลช่วครู่ก่อนเดินไป ในใจสงสัยยิ่งนัก
จากที่จำได้ ศิษย์พี่ห้านั้นมีท่าทีนิ่งเฉยกับเขามาตลอด ความสัมพันธ์ไม่ได้ดีถึงขั้นนั่งทานข้าวร่วมโต๊ะกัน ไหนจะเขาเป็คนเอ่ยปากเรียกเองอีก
เมื่อเขาเดินไป จ้าวต๋าตันให้ศิษย์ที่นั่งกินกับเขาไปนั่งเบียดกับโต๊ะคนอื่น ทั้งยังพูดต่อหน้าโหยวเสี่ยวโม่ด้วย ศิษย์พี่คนนั้นมองด้วยความแปลกใจ ก่อนเดินไป ชำเลืองมองโหยวเสี่ยวโม่สายตาไม่ค่อยพอใจ
โหยวเสี่ยวโม่รับรู้หน่ายใจว่าเขาทำให้คนเกลียดขี้หน้าอีกแล้ว คนนี้ก็เป็ศิษย์พี่เขา
“ศิษย์พี่ห้า ท่านเรียกข้ามีเื่อะไรหรือ?” โหยวเสี่ยวโม่นั่งลงหน้าเขาแล้วถาม
เมื่อฟังเช่นนี้ จ้าวต๋าตันมองเขาแปลกๆ เอ่ย “เ้ามาโรงอาหารไม่ใช่มาทานข้าวรึไง?”
โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก นี่คือคำถามอะไรกัน แต่ก็รีบพยักหน้า “มาทานข้าวขอรับ” แต่นี่เกี่ยวอะไรกับที่ท่านเรียกข้ามางั้นรึ?
จ้าวต๋าตันเหมือนดูออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงอธิบายอย่างเกร็งๆ “ตอนนี้เป็่ที่โรงอาหารคนแน่น เ้าหาที่นั่งไม่ได้หรอก ข้ามีที่นั่งว่างพอดี ยังไงเพิ่มเ้ามาอีกสักคนก็เหมือนกัน”
พูดจบ หูเขาก็แดงระเรื่อ
โหยวเสี่ยวโม่มองเขาอย่างเอะใจ จนอีกฝ่ายเกือบเปลี่ยนจากท่าทีเขินเป็เคือง เขาจึงรีบดึงสติ คงเพราะศิษย์พี่ห้ากลัวว่าเขาจะไม่มีที่นั่งจึงเรียกเขามา ไม่เสียชื่อที่เป็คนเอาใจยากอันดับหนึ่งในใจโหยวเสี่ยวโม่ ทั้งๆ ที่อยากทำดีกับเขา แต่ก็มีข้ออ้างมาแก้เขิน ในใจก็แอบปลื้มปริ่ม!
“งั้นขอบคุณศิษย์พี่ห้า ข้าจะไปตักอาหารก่อน” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่เขาเขินอายจึงลุกขึ้น
เข้าแถวอยู่นานพอสมควร แล้วเขากลับมาพร้อมอาหาร กลับพบว่าศิษย์พี่ห้ายังอยู่ที่โต๊ะ อาหารของเขาไม่ได้พร่องไปเท่าไหร่ โหยวเสี่ยวโม่นึกว่าเขาอาจจะกินเสร็จกลับไปแล้วซะอีก
จ้าวต๋าตันชำเลืองมองถาดอาหารเขา มีทั้งเนื้อผักเฉลี่ยกัน แต่น้อยไปนิด ข้าวก็แค่ถ้วยเดียว อดไม่ไหวถามขึ้น “ปกติเ้าก็กินแค่นี้หรือ?”
โหยวเสี่ยวโม่นั่งพลางตอบ “ขอรับ!”
ถึงว่าตัวผอมบางแค่นี้ จ้าวต๋าตันลังเลแต่ก็อดไม่ไหวที่จะพูดขึ้น “เ้าน่ะ กินให้เยอะกว่านี้อีกหน่อย เดี๋ยวหลอมยาจะไม่มีแรงเอาได้ ถึงตอนนั้นล้มเหลวขึ้นมาอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งเชียว”
โหยวเสี่ยวโม่ตะลึง จากนั้นพึ่งรับรู้ว่าเขาเป็ห่วงตัวเองอยู่ จึงตอบกลับใบหน้าร่าเริง “ศิษย์พี่ห้าวางใจได้ หากข้าหิวข้าต้องกินแน่ ไม่ปล่อยให้ตัวเองหิวหรอก”
จ้าวต๋าตันเอ่ย “กลางคืนโรงอาหารไม่ทำกับข้าวหรอกนะ”
โหยวเสี่ยวโม่ขำ “ข้ารู้ คราวก่อนลงเขาข้าซื้อผลไม้เซียนทั่วไปกับอาหารว่างกลับมาด้วย เตรียมไว้ในถุงเก็บของ เอาออกมากินได้ทุกเมื่อ” ที่จริงคืออยู่ในห้วงมิติ
จ้าวต๋าตันอ้าปากค้างมองเขาครู่หนึ่ง นี่ นี่เขากำลังเป็ห่วงเ้าตะกละอยู่หรือ? คิดเช่นนี้ เขารีบหุบปากลง หากเขายังห่วงว่าโหยวเสี่ยวโม่จะกินไม่อิ่ม เขาคงเป็คนเขลา
โหยวเสี่ยวโม่เห็นเขาไม่พูดอะไร ก็ไม่ได้เอ่ยต่อ ก้มหน้าก้มตากินข้าว
แต่กินได้เพียงไม่กี่คำ จู่ๆ เสียงจ้าวต๋าตันที่เบาอย่างกับเสียงยุงก็ดังขึ้น “ศิษย์น้องเจ็ด คระ คราวก่อนขอบใจเ้ามากนะ!”
โหยวเสี่ยวโม่เงยหน้าเอะใจ “อะไรรึ?”
ขอบคุณเขา? หรือเขาบังเอิญไปทำเื่ดีอะไรไว้?
จ้าวต๋าตันหน้าแดงด้วยความเขินอาย นึกว่าเขาได้ยินไม่ชัด จึงเอ่ยเก้ๆ กังๆ “ข้าบอกว่า ขอบใจเ้าเื่ครั้งก่อน หากไม่ใช่คำชี้แนะของเ้าละก็ ข้าคงไม่ก้าวหน้ามากขนาดนี้ ดังนั้น ขอบใจเ้ามากนะ!”
หลังจากวันนั้น จ้าวต๋าตันกลับไปก็ทำตามที่โหยวเสี่ยวโม่บอก เริ่มแรกนั้นล้มเหลว แต่พอลองหลายครั้งเข้า ก็เริ่มรู้สึกถึงความพิเศษอย่างน่าฉงน นับจากวันนั้น โอกาสสำเร็จในการหลอมยาของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างตอนนี้เขาสามารถหลอมร้อนหญ้าเซียนอย่างช่ำชองได้ถึงสองรอบ
สำหรับเขาแล้ว นี่เป็เื่น่ายินดีอย่างมาก หลังจากที่ท่านพ่อเขาทราบ ยังชมเชยเขาเป็ครั้งแรกอีกด้วย
เมื่อเขาพูดขึ้น โหยวเสี่ยวโม่ก็นึกขึ้นได้ว่ามีเื่แบบนั้นจริง
แต่ตอนนั้นเขาก็แค่บอกเล่าประสบการณ์ของตัวเองไปเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าศิษย์พี่ห้าจะฟังคำแนะนำของเขาจริงๆ และเอาไปทำตาม แต่ถ้ามีประโยชน์ก็ดี เพราะเขาก็เต็มใจที่จะได้ช่วยศิษย์พี่ของตัวเอง
โหยวเสี่ยวโม่ขำเบาๆ “ศิษย์พี่ห้าไม่ต้องขอบใจข้าหรอก ข้าก็แค่พูดไปอย่างงั้น ที่สำคัญคือท่านคิดได้ต่างหาก พูดถึง นี่เป็ความพยายามของท่านเองถึงจะถูก”
“ไม่ว่าจะพูดยังไง ก็ต้องขอบใจเ้าอยู่ดี” จ้าวต๋าตันรู้ว่าเขาแค่ถ่อมตน
โหยวเสี่ยวโม่เห็นเขายืนกราน จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
ผ่านไปสักพัก จู่ๆ จ้าวต๋าตันก็กัดฟัน กดเสียงลงต่ำแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเจ็ด หากหญ้าเซียนหนึ่งเดือนที่เ้ารับไปใช้หมดแล้ว ข้าสามารถเพิ่มจำนวนให้เ้าอีกครึ่งเดือนเป็ข้อยกเว้นได้นะ”
โหยวเสี่ยวโม่จ้องเขาสีหน้าตะลึง พลันรีบส่ายหัว เอ่ยอย่างระวัง “นั่นไม่ได้หรอก ทัพพิภพมีกฎอยู่ หากคนอื่นรู้เข้า ท่านจะถูกลงโทษเอาได้ ข้าไม่อยากให้ท่านโดนลงโทษเพราะข้า”
เขาไม่มีทางให้ศิษย์พี่ห้าเสี่ยงตอบแทนบุญคุณแบบนี้เด็ดขาด
“หากเ้าไม่พูด ไม่มีใครรู้หรอก” จ้าวต๋าตันพูดพร้อมยักคิ้ว
โหยวเสี่ยวโม่ส่ายหัวยืนกราน “ไม่ได้ เวลาสั้นๆ อาจไม่มีใครรู้ แต่ข้าจำได้ว่าทุกเดือนเรือนหญ้าเซียนจะมีการนับบัญชี ถึงตอนนั้นคงถูกจับได้”
จ้าวต๋าตันเอ่ย “เื่นี้เ้าไม่ต้องเป็ห่วง ข้ามีวิธี”
โหยวเสี่ยวโม่เห็นเขาพูดหนักแน่น จนกระอักกระอ่วน จึงแกล้งโกหกด้วยความหวังดี “ศิษย์พี่ห้า ข้ารู้ว่าท่านหวังดี แต่ว่า ข้าไม่ปิดบังท่าน อันที่จริงนอกจากหญ้าเซียนคราวก่อนที่ข้าได้รับ ในถุงเก็บของยังมีหญ้าเซียนขั้นสองอีกเยอะเลย ก่อนหน้านี้ข้าลงเขา ข้าเอายาเซียนตันที่หลอมได้ไปขาย แล้วก็ซื้อหญ้าเซียนขั้นสองกลับมา ตอนนี้ยังใช้ไม่หมดเลย”
จ้าวต๋าตันเบิกตาโต ถึงว่าไม่เห็นเขาไปหารับงานทำ ที่แท้ก็ไปขายยาแทนสินะ
แต่ยาเซียนตันแค่นั้นจะขายได้สักเท่าไรกัน? แต่เห็นสีหน้าจริงจังเขาแล้ว จ้าวต๋าตันก็ไม่ได้สงสัยอะไร ในแขนงโอสถมีศิษย์ยากจนที่เลือกทำวิธีนี้อยู่บ้าง
“เ้าไม่ได้โกหกข้าแน่ใช่มั้ย?” จ้าวต๋าตันเอ่ย
“ไม่แน่นอน!” โหยวเสี่ยวโม่เหงื่อซึมพูด อย่าให้ข้าสาบานเชียว!
“งั้นก็ได้ แต่หากอีกหน่อยเ้า้า ข้าช่วยเ้าได้”
น้ำเสียงจ้าวต๋าตันยังไม่ได้ถอดใจซะทีเดียว เพราะนี่เป็ครั้งแรกที่เขาอยากช่วยคนอื่น และ ‘คนอื่น’ คนนี้ตอนช่วยเขาก็หาได้ขออะไรตอบแทน เพราะจากสถานะของเขา หลายคนที่มาประจบเอาใจเขาล้วนหวังสิ่งตอบแทนกันทั้งนั้น
โหยวเสี่ยวโม่ขำแห้ง ยอมใจศิษย์พี่ห้าคนนี้จริงๆ เพื่อตอบแทนเขา ถึงขั้นกล้าทำผิดกฎของทัพพิภพ แม้จะเป็ความหวังดี แต่หากถูกพบเข้าจริง เขาก็คงพลอยซวยไปด้วย
แม้หากพูดถึง เขาจะไม่ใช่คนต้นคิด แต่ในสายตาคนอื่น เขาก็เป็ผู้สมรู้ร่วมคิดอยู่ดี ไม่แน่อาจเป็ผู้ข่มขู่ด้วยซ้ำ
“ใช่สิ ศิษย์พี่ห้า อีกสามเดือนดินแดน์วิมานจะเปิดแล้ว ท่านจะไปด้วยใช่มั้ย?” โหยวเสี่ยวโม่กลัวเขาจะพูดขึ้นอีก จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อ
คิดไม่ถึงว่า จ้าวต๋าตันจะนิ่งเงียบไป
ขณะที่โหยวเสี่ยวโม่กำลังคิดอยู่ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือ จ้าวต๋าตันก็เอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อไม่อยากให้ข้าไป” จ้าวต๋าตันเอ่ย
อันที่จริงเขาเองก็อยากไป ใครก็รู้ว่าการเดินทางไปดินแดน์นั้นเป็โอกาสที่ดี หากโชคดี อาจได้สัตว์ปีศาจที่พลังสูงกลับมาด้วย หรือไม่ก็ไปหาหญ้าเซียนขั้นกลางหรือขั้นสูง หรือกระทั่งขั้นต่ำเขาก็ดีใจมากแล้ว แต่พ่อเขากลับไม่อนุญาตให้ไป
“ทำไมล่ะ?” โหยวเสี่ยวโม่ถามอย่างสงสัย
จ้างต๋าตันเบะปาก เอ่ย “ก็กลัวว่าข้าจะตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ เพราะโอกาสที่ดีมักมาพร้อมกับความอันตราย ยิ่งสถานที่อย่างแดน์วิมานแล้ว อันตรายมากมายนับไม่ถ้วน พ่อข้ามีเพียงข้าที่เป็ต้นกล้าให้เขาได้ จึงไม่วางใจน่ะ”
หากพ่อเขาอนุญาตล่ะก็ จากสถานะของจ้าวเจินแล้ว คงเสนอรายชื่อเขาได้แน่
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ!” โหยวเสี่ยวโม่ถอนใจ แต่เขาก็เข้าใจความคิดของอาจารย์ลุงจ้าว หากเขามีลูกชายคนเดียว เขาก็ไม่ยอมให้ไปเสี่ยงอันตรายแน่
“ศิษย์น้องเจ็ด เ้าอยากไปเหรอ?” จ้าวต๋าตันจ้องเขาครู่หนึ่ง ทันใดก็ถามขึ้น
“เอ๊ะ? อยากไปแน่นอนสิขอรับ!” โหยวเสี่ยวโม่ชะงัก ก่อนจะรู้ตัว
“เอางี้ ข้าจะไปขอร้องท่านพ่อ ให้เขาช่วยขอรายชื่อให้เ้า แต่เ้าต้องเลื่อนขั้นเป็นักหลอมโอสถขั้นสามให้ได้ภายในสามเดือนนี้นะ ถึงจะมีโอกาส ถือซะว่าเป็การตอบแทนน้ำใจเ้า” จ้าวต๋าตันเอ่ยอย่างจริงจัง
โหยวเสี่ยวโม่หัวเราะทั้งน้ำตา ทำไมคนเยอะแยะติดหนี้บุญคุณเขา แล้วคนพวกนี้้าตอบแทนบุญคุณเขา แต่ฟังจากที่เขาพูด โหยวเสี่ยวโม่ก็รู้สึกซึ้งใจจริงๆ ศิษย์พี่ห้าแท้จริงแล้วเป็คนดีใช้ได้ทีเดียว
“ศิษย์พี่ห้า ไม่ต้องหรอก ศิษย์พี่ใหญ่บอกว่าจะช่วยข้าแล้ว” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ย
จ้าวต๋าตันเบิกตากว้างจ้องเขา ครู่เดียวก็เอ่ยออกมาน้ำเสียงปนน้อยใจ “ศิษย์พี่ใหญ่ดีกับเ้าเหลือเกิน”
โหยวเสี่ยวโม่หัวเราะฮี่ๆ แน่นอน เขาก็คิดเช่นนี้ แม้ว่าอาจารย์จะไม่สนใจไยดีเขา แต่มีศิษย์พี่ใหญ่ที่ดีกับเขาเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งยังมี ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ อีกคนที่ดีกับเขามากเหมือนกัน เพียงแต่เขาไม่เคยเอ่ยออกมาตรงๆ
สิบห้านาทีผ่านไป ทั้งสองทานข้าวเสร็จก็แยกย้ายกันกลับ
หลังจบการคุยกันครั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่และศิษย์น้องของเขาทั้งสองก็สนิทกันมากขึ้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้