ความหรูหราฟุ่มเฟือย บรรยากาศที่สั่นะเืผู้คน เพียงแต่ไม่รู้ว่าบุคคลที่อยู่ในเกี้ยวนั้นเป็เทพฝั่งใด? มู่จื่อหลิงลอบสงสัยในใจ
เกี้ยวแปดคนหามก็ยังไม่เท่านี้ ฉากนี้กลับน่าตื่นตะลึงเสียยิ่งกว่าเกี้ยวแปดคนหามเสียอีก
ผู้ที่หามเกี้ยวสง่างามหลังนั้นก็มิได้เป็คนหามเกี้ยวธรรมดาทั่วไป แต่เป็สาวใช้หน้าตาสะอาดหมดจดแปดคน
สาวใช้ทั้งแปดต่างก็แต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวสีขาวเรียบ บริเวณเอวพกกระบี่ยาวอันประณีต ห้าวหาญนอบน้อม!
แม้รูปโฉมจะไม่งามล่มเมือง ทว่าทุกคนก็อรชร งามอย่างเรียบๆ ให้ความรู้สึกงดงามสบายตา ราวกับเซียนที่อยู่เหนือจากโลกมนุษย์ บริสุทธิ์ดั่งเกล็ดหิมะ
แต่สิ่งที่แน่ใจได้ในยามนี้ก็คือคนพวกนี้มาหาหลงเซี่ยวอวี่
ผู้ที่อยู่ในเกี้ยวเป็ใครกันแน่? สามารถทำให้การกระทำของฉีอ๋องผู้สูงศักดิ์ และหยิ่งยโสผิดแปลกไปจากปกติได้?
ดวงตาที่แยกขาวดำชัดเจนของมู่จื่อหลิงหรี่ลงน้อยๆ ภายนอกไม่แสดงสีหน้า ทว่าความสงสัยในใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมา
เกี้ยวหยุดลงห่างจากพวกเขาไม่ไกล มือขาวเรียวก็ยื่นออกมาจากในเกี้ยวเลิกผ้าม่านไหมที่บดบังสายตาขึ้นช้าๆ
หญิงสาววัยแรกแย้มที่งดงามเยื้องย่างออกมาจากในเกี้ยว
นางสวมเกาะอกสีขาวลายดอกไม้ ตัวนอกเป็เสื้อคลุมสีขาวบาง พลิ้วไหวดั่งเซียน กระโปรงสีขาวแวววาวราวหิมะต้องแสงจันทร์ ระไปกับพื้น
ผิวพรรณกระจ่างใสราวหิมะ ดวงหน้างดงามที่ทาแป้งไว้บางๆ เรือนผมสยายั้แ่บริเวณศีรษะยาวไปถึงบั้นเอว ไม่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกใดบนโลกใบนี้
ขนตาดกหนางอนขึ้นน้อยๆ ราวกับพัด ดวงตานั้นแวววาวพร่ามัวราวกับถูกปกคลุมด้วยไอน้ำอีกชั้นหนึ่ง เพียงคลี่รอยยิ้มก็สั่นไหวใจผู้คน
การเคลื่อนไหวงดงามที่แผ่ความอ่อนช้อย สง่างามและบริสุทธิ์ กระโปรงพลิ้วไหวดั่งเซียนที่ละจากทางโลก กิริยานั้นเพิ่มความสง่างามคล่องแคล่วไปโดยปริยาย
เป็สตรีที่งดงามเป็ที่สุด ท่าทางดั่งดอกกล้วยไม้ ราวกับความบริสุทธิ์ของสิ่งสวยงามบนโลกใบนี้ไปรวมกันอยู่ที่ตัวนาง ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกด้อยกว่า
ในเวลานี้ นางยืนตัวตรง แหงนศีรษะขึ้นน้อยๆ ใบหน้าสวยสง่าคลี่รอยยิ้มงดงามจางๆ มองสองคนที่อิงแอบกันและกันบนอาชาเปินเหลยที่อยู่ไม่ไกล
พูดความจริง ยามนี้ในดวงตานางมีเพียงหลงเซี่ยวอวี่คนเดียวเท่านั้น ดวงตางามพร่ามัวไปด้วยน้ำ ทว่าราวกับดวงดาว ในความเปล่งประกายดูเหมือนจะฉายแววสิเน่หา
จากสัญชาตญาณแรกของผู้หญิงแล้ว มู่จื่อหลิงก็รู้สึกได้ถึงความรักแวบๆ ในดวงตาคู่งามของสตรีชุดขาวผู้นั้น ซึ่งความรักนั้นก็มีให้บุรุษข้างกายนาง
นางเงยศีรษะขึ้นมองหลงเซี่ยวอวี่โดยไม่รู้ตัว ไม่พลาดอารมณ์ใดๆ บนใบหน้าเขาแม้แต่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาในยามนี้ของเขายังคงเ็าราวน้ำแข็งเช่นเดิม
แต่หากดูให้ดีก็จะเห็นว่าดวงตาเ็าที่หยิ่งยโสมาโดยตลอดทอแววเป็ห่วงจางๆ ความกังวลอันเลือนราง แล้วดูเหมือนจะยังมีความรู้สึกบางส่วนที่นางมองไม่ออกอีก
แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยอ่านความหมายในดวงตาเขาออก แต่ตอนนี้ต้องขอบคุณสตรีชุดขาวผู้นี้แล้ว ในที่สุดก็ได้รู้ว่าในดวงตาลุ่มลึกของเขาก็ยังมีความรู้สึก
แม้จะไม่ได้มองออกทั้งหมด แต่สิ่งเหล่านี้ต้องมิใช่ภาพลวงตา นางก็ได้เห็นจริงๆ
เห็นหลงเซี่ยวอวี่เป็เช่นนี้โดยไร้ที่ไปที่มา ในใจมู่จื่อหลิงก็ปรากฏความว้าวุ่นบางๆ ทว่าก็ถูกตั้งใจให้เมินเฉยไปทันที
มู่จื่อหลิงก็กำลังจะแกะมือที่รัดอยู่รอบเอวออก แต่ไม่รอให้นางยื่นมือ นางก็รู้สึกได้ว่าแขนอุ่นร้อนที่พันรอบเอวค่อยๆ คลายออก
“เป็เด็กดีรอเปิ่นหวางอยู่ที่นี่” น้ำเสียงหลงเซี่ยวอวี่เรียบเฉย ทว่าดูเหมือนจะเจือแววเคร่งขรึมและห่วงใย
ไม่รอให้มู่จื่อหลิงตอบรับ หลงเซี่ยวอวี่ก็เหยียบไปในอากาศ ทะยานกายไปยังบริเวณที่สตรีชุดขาวอยู่
เพราะสตรีชุดขาวคนนั้นเขาถึงได้กระวนกระวายเช่นนี้ เพราะสตรีชุดขาวคนนั้น ถึงได้ปล่อยให้นางที่ไม่ได้ขี่ม้าอยู่เพียงลำพังบนหลังม้าที่ตัวสูงใหญ่
เขาร้อนรนเช่นนี้เพราะรีบไปพบสตรีผู้นั้น เขาร้อนรนเช่นนี้เพราะ...ใส่ใจนาง
ที่แท้ หลงเซี่ยวอวี่ที่เ็าไร้ความรู้สึกก็ใส่ใจสตรี!
มู่จื่อหลิงรู้สึกอึดอัดในหัวใจ เหมือนกับว่าหายใจได้อย่างลำบาก เป็ความทรมานที่บรรยายออกมาไม่ได้
อาชาเปินเหลยยืนนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน และไม่ได้เป็เพราะการจากไปของผู้เป็นาย เพราะบนหลังยังมีคนที่ยังกระสับกระส่ายไม่สงบสุข
มู่จื่อหลิงหลับตาช้าๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มความผิดปกติในใจลง มองประเมินสองคนไม่ไกลด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ราวกับว่าหลงเซี่ยวอวี่ไปถึงข้างกายสตรีชุดขาวนั้นในชั่วพริบตา เขายืนหันหลังจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา
เงาด้านหลังของเขาสูงโปร่ง สูงศักดิ์และหยิ่งยโส เหมือนปกคลุมไปด้วยแสงสว่างระยิบระยับชั้นหนึ่ง แวววาวราวกับเทพก็มิปาน ทำให้คนอดแหงนมองไม่ได้
ในชั่วขณะที่หลงเซี่ยวอวี่ร่อนกายลงตรงหน้านาง รอยยิ้มบนใบหน้างดงามก็ยิ่งเพิ่มความเย้ายวนขึ้นไปอีก
นางยิ้มบางๆ ด้วยความนุ่มนวล แยกตัวจากโลกมนุษย์ ราวกับว่าเมื่อสรรพสัตว์ในโลกได้เห็นรอยยิ้มที่งดงามเพียงนี้ก็รู้สึกอยากเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว ชื่นชมความงามของนาง และยินดีมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้
ทั้งสองคนยืนตรงข้ามกัน ฝ่ายชายรูปงามเป็หนึ่งไม่มีสอง ฝ่ายหญิงงามล่มเมือง คู่์สร้าง พสุธารังสรรค์ ประหนึ่งเป็คู่ที่เหมาะสมกันที่สุดในโลก
ภาพที่ประณีตงดงามไร้ที่ติเช่นนี้ ทำให้สรรพชีวิตโดยรอบถูกกันออกและเล็กลงเองโดยที่ไม่รู้ตัว
เมื่อเทียบกับคนคู่นั้นแล้ว เสื้อผ้าของมู่จื่อหลิงขาดวิ่น เรือนผมยุ่งเหยิง ชุดสีขาวเปลี่ยนเป็ชุดสีโลหิต ต่อให้คราบโลหิตบนตัวแห้งแล้ว ก็ยังสามารถได้กลิ่นคาวเืได้จางๆ
สิ่งที่โดดเด่นเพียงอย่างเดียวในร่างกายนางก็คือใบหน้าเล็กขาวนวลที่สงบนิ่งอันติดตัวมาแต่กำเนิด
ต่อให้นางในยามนี้ที่ขี่อยู่บนหลังอาชาสูงใหญ่ก้มลงไปมอง กลับเหมือนถูกแสงเจิดจ้าที่อยู่ไม่ไกลบังกลบจนมิด เปลี่ยนเป็หม่นแสงในชั่วพริบตา
พูดถึงสองคนนั้น
สตรีชุดขาวเห็นหลงเซี่ยวอวี่ทะยานกายมาเบื้องหน้านางร่อนลงกับพื้นราวกับเทพเซียน ใบหน้างดงามยังคงมีรอยยิ้มอ่อนหวาน ทว่าความยินดีในใจกดอย่างไรก็กดเอาไว้ไม่อยู่
เขาที่สง่างามอย่างยิ่งยวดเช่นนี้ ทำให้คนที่พบเห็นตกตะลึง เกิดความชมชอบขึ้นในใจโดยไม่ทันรู้ตัว
แม้นางจะรู้ว่าใจดวงนี้ของเขาจะไม่ได้เป็กังวลเพราะนาง แต่เมื่อเห็นเขาที่เป็เช่นนี้ อารมณ์ในใจนางก็ยังอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
“ท่านอ๋อง” น้ำเสียงอ่อนหวาน ในดวงตากระจ่างใสเต็มไปด้วยความอ่อนโยนในชั่วพริบตา
คิ้วกระบี่ของหลงเซี่ยวอวี่ขมวดน้อยๆ สีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเ็า “เ้ามาทำไม เกิดเื่?”
“หลิงหลงมาหาท่านอ๋อง ย่อมมีข่าวดีมาแจ้งต่อท่านอ๋อง” เยวี่ยหลิงหลงน้ำเสียงอ่อนหวาน ใบหน้าทอรอยยิ้ม ขนตาที่หนาราวปีกจักจั่นกะพริบขึ้นเบา ยกขึ้นเล็กน้อย ั์ตาชุ่มฉ่ำ น่าอาดูรจนคนหลงรัก
นางยิ้มขึ้นมาน่ามองนัก ดวงหน้างามล่มเมือง ริมฝีปากแดงชุ่มชื้น ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา งดงามจนทำให้คนหยุดหายใจ งดงามจนหาที่เปรียบมิได้
ร่างกายของหลงเซี่ยวอวี่ชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาเ็าที่เหมือนเหยี่ยวหรี่ลง นิ่งเงียบอย่างไม่อยากเชื่อ
หางตาของเยวี่ยหลิงหลงชำเลืองมองบุคคลที่อยู่บนอาชาเปินเหลยไม่ไกล สายตาหลงใหลก็มีความหมายลึกซึ้งที่ใครก็อ่านไม่ออก
นางก้าวมาหาหลงเซี่ยวอวี่ช้าๆ แขนเสลายกผ้าสีขาวบางที่ลากพื้นขึ้น เขย่งปลายเท้า ใช้ประโยชน์จากการเสียหลัก จับแขนของเขาเอาไว้ กระซิบอยู่ข้างหูของเขาอย่างสนิทชิดเชื้อ
ดวงตางามของมู่จื่อหลิงหรี่ลง ท่าทางไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย มองพวกเขาอย่างนิ่งสงบ
ั้แ่ชั่วเวลาที่หลงเซี่ยวอวี่ไปหานั้น รอยยิ้มบนใบหน้างดงามก็ไม่เคยขาดหาย มุมปากคลี่เป็รอยยิ้มอ่อนโยนใกล้ชิด
คนทั้งสองเต็มไปด้วยความอ่อนหวาน เหมือนรู้จักกันมานาน สนทนากันอย่างมีความสุข!
ในยามนี้ สตรีชุดขาวกำลังเอนกายเข้าไปหาหลงเซี่ยวอวี่ มือขาวนุ่มนิ่มดึงแขนยาวของหลงเซี่ยวอวี่ด้วยความคุ้นเคย เขย่งปลายเท้า พูดข้างหูของเขาอย่างสนิทสนม
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สตรีชุดขาวก็ปล่อยมือออกอย่างช้าๆ ทว่ายังคงยืนอยู่ข้างกายเขาอย่างสนิทสนม
จากนั้น หลงเซี่ยวอวี่พูดอะไรสักอย่าง นางก็พยักหน้าหัวเราะคิกคัก ั์ตากระจ่างใสหมุนมอง คิ้วเข้มยกโค้ง ราวกับดวงจันทร์ในเดือนใหม่ น่าหลงใหลดึงดูดใจคน
หลังจากเยวี่ยหลิงหลงพูดจบ สีหน้าของหลงเซี่ยวอวี่ก็เป็เช่นเดิม เขาชำเลืองมองนางอย่างเฉยชา “เ้ากลับไปก่อน”
ั์ตางามของเยวี่ยหลิงหลงลึกซึ้งดั่งผืนน้ำกว้างใหญ่ พยักหน้าน้อยๆ ยิ้มจาง งดงามสั่นไหวจิตใจผู้อื่น
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยมีถ้อยคำ ความรู้สึกที่เกินความจำเป็ให้นาง ต่อให้เป็เช่นนี้นางก็ยังยินดี เป็ความรักใคร่และนับถือ
หลงเซี่ยวอวี่หันกายกลับมามุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เดินมาหามู่จื่อหลิงช้าๆ
ในชั่วขณะที่หลงเซี่ยวอวี่หันกายมา มู่จื่อหลิงเห็นได้อย่างชัดเจน มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่ที่ไม่รู้ว่ายกขึ้นเป็องศาที่น่ามองั้แ่เมื่อใดยังไม่จางหายไป
ฉีอ๋องที่เ็าราวน้ำแข็ง หยิ่งยโส...เขายิ้ม!
นึกไม่ถึงว่าเขายิ้มแล้ว!
หลงเซี่ยวอวี่ที่ยิ้มขึ้นมาลดความเ็าไปหนึ่งส่วน และดูเหมือนจะเพิ่มความอ่อนโยนขึ้นมาหลายส่วน
รอยยิ้มนี้ เสมือนกับแหวกเมฆดำครึ้มจนเห็นจันทร์กระจ่าง ท้องนภากว้างใหญ่ที่มีดวงดาวกะพริบแสง สวยหยาดเยิ้มน่าหลงใหล งดงามจับตา
การปรากฏตัวของสตรีชุดขาว ทำให้ฉีอ๋องที่ผู้อื่นอ่านอารมณ์ไม่ออกในยามปกติ เผยอารมณ์ของตนเองออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำให้เขาที่เ็าไม่เคยยิ้มมาโดยตลอด มุมริมฝีปากยกขึ้นบางๆ
มู่จื่อหลิงเพียงชำเลืองมองเขาอย่างเฉยเมย เก็บสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว
ในใจนางปรากฏรอยยิ้มขมขื่นขึ้นมาจางๆ โดยไม่รู้ตัว...รอยยิ้มของเขาเกี่ยวอะไรกับนางด้วย?
ในชั่วขณะที่มู่จื่อหลิงได้เปิดหูเปิดตานี้เอง นางก็รู้สึกเหมือนว่ามีสายตาจับจ้องมาที่นาง
ทันทีที่หันเหสายตา ก็สบเข้ากับั์ตาที่งดงามของสตรีชุดขาว เรียบสงบราวผืนน้ำ ดวงตากลมโต รอยยิ้มที่งดงาม กลับทำให้แผ่นหลังของมู่จื่อหลิงราวกับถูกรังสีหนาวเหน็บแทงทะลุ ความเหน็บหนาวที่ทำให้คนขนลุก
รอยยิ้มยั่วยุ? ดูถูก? หรือดูิ่?
มู่จื่อหลิงก็มิได้แสดงความอ่อนแอออกมา มองนางด้วยสายตากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม สตรีผู้นี้งดงามเหนือโลกิยะดั่งที่นางแสดงออกมาจริงๆ หรือ?
ในขณะที่มู่จื่อหลิงนึกสงสัยอยู่นั้น ก็เห็นริมฝีปากสตรีชุดขาวที่ละกิเลสมนุษย์ขยับอ้าน้อยๆ ตามมาด้วยเสียงที่ใสดั่งกระดิ่ง
“ข้าจะรอท่านไปพร้อมกัน!” สตรีชุดขาวคลี่ยิ้มจางราวสายลมบางเบาพัดผ่านขณะมองมู่จื่อหลิง เสียงใสอ่อนหวานดังมาจากในปาก
เสียงพูดของสตรีชุดขาวที่ดังขึ้นเมื่อครู่ มู่จื่อหลิงจึงเข้าใจ หลงเซี่ยวอวี่จะไปกับนางแล้ว และเสียงนี้้าพูดให้นางฟัง
การตักเตือนที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ นางทำสำเร็จแล้ว!
ข้ารอท่าน! ข้า รอท่าน ไปพร้อมกัน!
ดูเหมือนความสัมพันธ์ของพวกเขาจะใกล้ชิดเสียยิ่งกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก
ไม่รอให้หลงเซี่ยวอวี่เดิน มู่จื่อหลิงก็ไถลลงจากหลังม้าด้วยตนเอง
เหตุเพราะหลังม้าสูงเกินไป นางซวนเซไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ยังไม่ทันยืนมั่นคง ก็เข้าไปในอ้อมกอดที่นางทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้าในยามนี้
“ใครให้เ้าลงมาเอง?” หลงเซี่ยวอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเจือโทสะ
สตรีโง่ผู้นี้เหตุใดจึงไม่ให้คนอื่นวางใจได้เลยแม้แต่น้อย!
ั์ตาที่หลุบลงของมู่จื่อหลิงฉายรอยยิ้มเย็นเสียดสี
หึ! ผู้อื่นเตือนชัดเจนเพียงนั้น จะให้นางรอทำอันใดกัน?
หรือว่าจะต้องรอ? รอให้เขาอุ้มลงอย่างสนิทสนมต่อหน้าสตรีที่เขาใส่ใจหรือ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้