สตรีผู้หนึ่งเล่นเพลงฉินอยู่ในม้วนภาพ สาวงามร่ายเพลงกระบี่ ขับร้องเพลง และเป่าขลุ่ยโดยมีพื้นหลังเป็วิมานหยกอันงดงาม พร้อมด้วยสาวงามทั้งสี่ที่กำลังใช้กระบี่อันกล้าหาญ ฉินสื่อใจ เสียงเพลงขลุ่ย และการเต้นรำทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสง่างามและเป็อิสระจากโลก
“ม้วนภาพสะท้อนทั่วทั้งวิมาน? เื่นี้เป็มาอย่างไร?” แผนที่จิติญญาเนตรเพลิงของหนิงเทียนมองภาพแปลกๆ สถานที่ซึ่งความเป็จริงและความลวงมากันตรงหน้าด้วยความสับสนในใจ
วิมานแห่งนี้มีความเฉพาะเจาะจงมากทั้งในด้านปริมาณและรูปแบบ มันมีต้นแบบมาจากตัวเลขหกตัวและทอดยาวออกเป็ส่วนๆ ซึ่งเป็พื้นหลังของภาพวาดนั่นเอง
หนิงเทียนลอยตัวไปยังตำแหน่งที่ม้วนภาพตั้งอยู่ เขาอยากจะถอดมันลงมา แต่ก่อนที่จะเข้าไปใกล้ ม้วนภาพกลับม้วนตัวและส่งเสียงฟู่แล้วพุ่งออกมาราวสายฟ้า
หนิงเทียนตกตะลึง ม้วนภาพนี้จะหนีไปหรือ?
“หยุดนะ!” หนิงเทียนะโดังลั่นก่อนจะวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว พระราชวังอันกว้างใหญ่ตรงหน้าหายไปในพริบตา และกำแพงหินก็ปรากฏต่อหน้าเขาซึ่งเต็มไปด้วยหมอกสีขาว
แสงจิติญญาหลากสีส่องลงมาจากกำแพงหิน สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณทางจิติญญาจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งมีความลึกลับบางอย่างซ่อนอยู่ที่นั่น
ม้วนภาพที่ม้วนกลับนั้นมีลักษณะเหมือนเสาไม้ไผ่สูงสามจั้ง ยืดหยุ่นและงอได้ ทั้งบิดและดีดออก พร้อมมุ่งหน้าตรงไปยังหน้าผา
หนิงเทียนติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ดวงตาของเขากลับมองไปทางหน้าผา
รูเล็กๆ จำนวนมากปล่อยคลื่นเสียงประหลาดออกมา ประตูหินส่องแสงทั้งเจ็ดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะพาไปที่ใด
ม้วนภาพมาถึงกำแพงหินและบินเข้าไปในประตูมิติแห่งหนึ่ง หนิงเทียนมาช้าไปหนึ่งก้าวและอยากจะตามไป แต่ทันใดนั้นกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตก็ฟื้นขึ้นมาและปล่อยสัญญาณที่แข็งแกร่งเพื่อหยุดความคิดของเขาไว้
ครู่ต่อมาต้นไม้สี่ใบก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของหนิงเทียน มันคือกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิต ทุกใบไม้เต็มไปด้วยแสงแห่งความโกลาหลและกำลังรวบรวมอักขระจำนวนมาก
นี่เป็ครั้งแรกที่กล้วยไม้เก้าชีวิตปรากฏตัวนอกร่างกายหลังจากที่หนิงเทียนกลายเป็ผู้บำเพ็ญ ซึ่งทำให้หนิงเทียนสับสนมาก
กำแพงหินนี้มีความพิเศษอย่างไร? เหตุใดกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตจึงใส่ใจมากเช่นนี้?
ใบไม้สีเขียวแกว่งไกวเบาๆ แสงแห่งจิติญญาที่มีลวดลายอักขระตรวจสอบกำแพงหินและเลือกประตูมิติอย่างรวดเร็ว
นั่นคือประตูหินที่สองในบรรดาประตูทั้งเจ็ด มันดูธรรมดามากและไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตกลับเลือกมัน หนิงเทียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลอยเข้าไปในประตูหินบานนี้
อักขระบนผนังถ้ำกะพริบถี่ ไม่รู้ว่าการบิดและเปลี่ยนของรูปแบบแปลกๆ ประกอบด้วยอะไรบ้าง แสงริบหรี่นั้นช่างชวนฝันและลึกลับ อีกทั้งเสียงที่เปล่งออกมานั้นช่างน่ากลัว
ร่างกายของหนิงเทียนตึงเครียดขึ้น เขากำหมัดแน่น ทักษะเก้าเนตร์กับทักษะหู์ให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับการเคลื่อนไหวรอบตัว
หนิงเทียนเดินไปตามอุโมงค์โค้ง เมื่อเวลาผ่านไปถึงหนึ่งก้านธูป ทันใดนั้นด้านหน้าก็สว่างขึ้น
ถ้ำหินทรงกลมแวววาวปรากฏขึ้นต่อหน้าหนิงเทียน ผนังถ้ำเป็เหมือนกระจกที่หักเหแสงจำนวนนับไม่ถ้วน
“ผนังเป็กระจกทั้งหมดหรือ?” หนิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกประหลาดใจมาก
ถ้ำแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก แต่มีลักษณะคล้ายทรงกลม
หนิงเทียนสังเกตอยู่ครู่หนึ่งและไม่พบอันตรายใดๆ จึงเดินเข้าไปข้างใน
ผนังกระจกรูปทรงโค้งสะท้อนแสงทั้งหมดใส่ร่างของหนิงเทียน ภายในลำแสงที่สาดส่องมีนิมิตที่ดูเหมือนแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ทอดไกล เหมือนเวลาและพื้นที่ที่ไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
หนิงเทียนรู้สึกเวียนหัวจนตาพร่า ข้อมูลที่ส่งมามีมากเกินไปและการกะพริบถี่รัวก็ทำให้เขารู้สึกปวดศีรษะ
ทันใดนั้นหนิงเทียนก็เห็นม้วนภาพ ซึ่งเป็ม้วนภาพที่เขาไล่ตามก่อนหน้านี้ เขาจำได้ชัดเจนว่าม้วนภาพเข้าไปในประตูหินอีกบานหนึ่ง แล้วมันมาปรากฏที่นี่ได้อย่างไร?
ท่ามกลางแสงอันเจิดจ้า ม้วนภาพยังคงเคลื่อนไหวโดยลากตามเรือไม้ไหลทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลาที่ทอดยาว
หนิงเทียนเห็นร่างหนึ่งยืนอยู่บนเรือไม้ ร่างนั้นสวมชุดสีเขียว ผมยาวสลวย และแยกไม่ออกว่าเป็ชายหรือหญิง ซึ่งกำลังหันหลังให้เขา
เรือไม้กำลังแล่นทวนน้ำ ท่ามกลางสายน้ำเชี่ยวที่ประกอบด้วยความผันผวนของยุคสมัยและ้าทำลายทุกสรรพสิ่ง
ฉากนี้ถูกตรึงอยู่ในใจของหนิงเทียน เขามองไปข้างหน้ายังจุดที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาทอดยาว ก่อนจะเห็นหลุมดำขนาดใหญ่ลอยอยู่บนท้องฟ้า แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ทอดยาวไหลออกมาจากหลุมดำนั้น
ทันใดนั้นม้วนภาพก็เปิดออก เรือไม้หายไป พร้อมคลื่นที่ซัดสาดเข้ามา จากนั้นภาพในดวงตาของหนิงเทียนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ดูเหมือนมีบางอย่างกำลังพุ่งมาหาเขา
หนิงเทียนยื่นมือออกมาตามสัญชาตญาณเพื่อหยุดสิ่งนั้น และก็คว้าม้วนภาพมาได้
พลันกระจกในถ้ำเริ่มแตก ภาพลวงตาหายไป อักขระจำนวนนับไม่ถ้วนยังสลายตัว ทว่ายามนี้เหลือเพียงหนิงเทียนที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความสับสน
นี่คือม้วนภาพที่ข้ากำลังไล่ตามใช่หรือไม่?
หนิงเทียนมีสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะค่อยๆ คลี่ม้วนภาพออก
วิมานหยกอันงดงาม สาวงามสถิตอยู่ วิมานเรียงราวต่อเนื่อง งดงามราววิมาน์
“คนเล่า? หายไปไหน?” หนิงเทียนส่งเสียงประหลาด หาได้นึกไม่ว่าอยู่ดีดีม้วนภาพจะสั่นะเืและเรืองแสง
“รู้ว่าหนีไปแล้วยังจะถามอีก” พลันเสียงที่ดังขึ้นก็ทำให้หนิงเทียนใ เขาโยนม้วนภาพทิ้งโดยไม่คิดเลย
“ผี!” หนิงเทียนะโ ก่อนจะหันหลังกลับและวิ่งหนีไป
“เ้าสิผี เ้าคนขี้ขลาด!” ม้วนภาพที่ปลิวออกไปหมุนวนกลางอากาศ จากนั้นก็เข้าหยุดหนิงเทียน น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
หนิงเทียนหยุดชะงักทันทีก่อนจะหันมองม้วนภาพด้วยความใ “เ้าเป็ตัวอะไร? ทำไมถึงพูดได้?”
“เ้าโง่ แม้กระทั่งิญญาอาวุธก็ไม่รู้จัก” ม้วนภาพม้วนขึ้นและลอยตรงไปที่มือของหนิงเทียน
“ิญญาอาวุธ?” หนิงเทียนประหลาดใจ เมื่อครั้งที่ต้นไม้สังเวยิญญาโบราณสอนศาสตร์ขัดเกลาอาวุธให้ก็เคยกล่าวถึงเื่นี้ มันเป็ไปไม่ได้ที่อาวุธิญญาจะมีิญญา เว้นแต่ว่ามันจะเป็อาวุธศักดิ์สิทธิ์
“เห็นได้ชัดว่าเ้าผ่านประตูหินอีกบานหนึ่งเข้ามา เ้ามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?”
หนิงเทียนคลี่ม้วนภาพออก สาวงามทั้งสี่ที่เคยบรรเลงฉิน รำกระบี่ เป่าขลุ่ย และขับขานบทเพลงในภาพวาดหายไป เหลือเพียงวิมานหยกอันงดงาม
“นั่นเป็เพราะเ้าโชคดีนะเด็กน้อย ข้ามาที่นี่เพียงเพราะโชคไม่ดี เมื่อเวลาผ่านไปพันธนาการทางจิติญญาบนภาพวาดก็ถูกลบออกไป และผู้คนในภาพวาดก็มีความสัมพันธ์กัน ท้ายที่สุดพวกเขาก็จากไป เหลือไว้เพียงข้า”
หนิงเทียนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? ช่วยอธิบายให้ชัดเจนหน่อยสิ”
ิญญาอาวุธตะคอก “ช่างโง่เขลาเสียนี่กระไร! เื่เพียงเท่านี้ก็ยังไม่เข้าใจ สถานที่แห่งนี้คงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ประกอบไปด้วยเหตุและผลมากมายนับไม่ถ้วน หากใครมีโอกาสได้เข้ามาที่นี่ย่อมได้รับบางสิ่งโดยบังเอิญอย่างแน่นอน และเ้าเด็กน้อย ข้าไม่รู้ว่าตนมีโชคเลวร้ายอะไร แต่มันทำให้ข้าต้องอยู่เคียงข้างเ้าในอนาคต มันเป็เพียงการกระทำที่อุกอาจของฟ้าดิน!”
“ชิ! เ้าก็พูดได้สิ การมอบโชคจากธรรมชาติหมายความว่าอย่างไร? เ้าควรจะรู้สึกขอบคุณที่ได้พบกับข้า สิ่งนี้ถือเป็พรที่เ้าได้รับสั่งสมมาสิบชั่วอายุคน” หนิงเทียนเม้มริมฝีปาก ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตจึงเลือกสถานที่แห่งนี้
“ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของเ้า เ้ากลับได้ผลตอบแทนเป็พรที่ได้จากการฝึกฝนตลอดสิบชั่วอายุคน หงุดหงิดยิ่งนัก!” ิญญาอาวุธนึกดูถูก มดที่อยู่เพียงขอบเขตผนึกดาราขั้นแรกกลับกล้าพูดจาไร้ยางอายต่อหน้ามัน ช่างน่าอับอายเสียจริง
“ม้วนภาพเช่นเ้าไม่มีประโยชน์ แต่เ้าก็ยังส่งเสียงร้องไม่หนุด เเชื่อไหมว่าข้าจะเผาเ้าทิ้ง” หนิงเทียนคว้าม้วนภาพมาไว้ในมือแล้วเริ่มขู่
“ถ้าเ้าสามารถเผาข้าได้ นั่นถือว่าเ้ามีความสามารถ”
“หยิ่งยโสถึงเพียงนี้ ข้ายังไม่อยากจะเชื่อเลย!” พลันเปลวเพลิงปรากฏขึ้นนอกร่างของหนิงเทียน ทำให้เกิดเสียงแตกและพุ่งเข้าเผาม้วนภาพ ไม่คาดคิดว่ามันจะไม่ได้รับความเสียหายเลยจริงๆ
ิญญาอาวุธพูดขึ้นว่า “เ้าหนู เ้าไม่ได้กินข้าวหรือ? นี่มันไฟประเภทใดกัน? ไม่มีความอบอุ่นเสียเลย”
“กล้าดีอย่างไรมาหัวเราะเยาะข้า? คอยดูวิธีของข้าเถอะ!” หนิงเทียนคำรามก่อนจะเปิดกำไลหยกหยวนออกแล้วโยนม้วนภาพลงไปโดยตรง
หนิงเทียนปรบมือ แสยะยิ้ม แล้วสังเกตทางออกตรงหน้า
“เ้าเด็กบ้า! นี่หรือวิธีของเ้า? ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
หนิงเทียนเมินเฉยและพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังทางออก เขารู้สึกถึงหมอกสีขาวแวบหนึ่งที่ผ่านหน้าไป จากนั้นจึงพบว่ามีคนปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ
เมื่อหันกลับไปมองรอบๆ หนิงเทียนพบว่าคนผู้นั้นอยู่บนยอดประตูหลากสีและโผล่ออกมาจากที่ใดก็ไม่รู้
กิ่งก้านของต้นไม้แห้งเหี่ยวเหยียดตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า มีเสียงแปลกๆ เล็กน้อยดังมาจาก้า
เมื่อมองประตูหลากสี เกาะเล็กๆ วังหิน และปราสาทหินด้านล่าง ดวงตาของหนิงเทียนก็ลุกเป็ไฟ เขาพบโอกาสอันแสนวิเศษมากมายที่นี่ ต้นไม้แห้งเหี่ยวนี้ไม่ต่างจากเทพแห่งโชคลาภสำหรับเขา
หนิงเทียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
จะมีสิ่งใดรออยู่บนยอดต้นไม้แห้งเหี่ยวนี้กันนะ?
...
ยอดฝีมือจากซิงซิว หยวนซิว และจื๋อซิวได้มารวมตัวกัน ณ ูเาไป่หลิงนอกหุบเขาลับแล้ว
พระราชวังขนาดมโหฬารแสนงดงามลอยคว้างกลางอากาศ ด้านล่างปกคลุมไปด้วยหมอกหนา ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา
ศิษย์หลักในขอบเขตผนึกดาราต่างได้รับาเ็หนัก มีเพียงยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านสองสามคนที่สามารถบุกเข้าไปในหุบเขาได้ และมีเสียงการต่อสู้ที่ดุเดือดเป็ดังมาครั้งคราว
สำนักแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญทั้งสิบนั้นแข็งแกร่งและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยมีสำนักอื่นตามมาอย่างใกล้ชิด
หุบเขาลึกลับปกคลุมไปด้วยหมอก คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเื และซากศพทุกหนทุกแห่ง
ซิ่งอวี่เจวียนถือธนูจันทรามรกตพร้อมดึงเสิ่นซินจู๋ให้อยู่ใกล้กับนาง ด้านหลังมีผู้าุโผกามาศโบยบิน โดยพวกเขาเข้าไปในหุบเขาอย่างราบรื่นภายใต้การนำของยอดฝีมือของสำนักวั่นจื๋อ
ที่นี่มีเพียงความสับสนวุ่นวาย กลุ่มต่างๆ เข้าต่อสู้กัน ทั้งยังมีิญญาอสูรลอบโจมตีเป็ระยะๆ หากไม่ระวังก็จะตายที่นี่ในพริบตา
ต้นไม้ใหญ่อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา กิ่งก้านและใบเขียวชอุ่ม ล้อมรอบด้วยพลังิญญา เปรียบเสมือนต้นไม้ั์ที่ยกวังขนาดั์ให้ลอยอยู่เหนือฟากฟ้า
มันตั้งตระหง่านอย่างสง่าผ่าเผย ทำให้ดูน่าตื่นตะลึงไปตามยุคสมัย มันช่างลึกลับและทำให้หัวใจเต้นแรง
แดนลับนี้สร้างความฮือฮาไปทั่วแผ่นดิน เพราะเหตุนี้มันจึงดึงดูดผู้มีอำนาจจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็ซิงซิว หยวนซิว หรือจื๋อซิวต่างก็ถูกมันดึงดูด และ้าค้นหาและคว้าโอกาสจากภายใน
ชิวซานอวิ๋นยืนอยู่บนยอดไม้ เขามองพระราชวังสูงตระหง่าน้าด้วยสายตาตกตะลึง นี่มันน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว
พระราชวังแห่งนี้มีคลื่นพลังผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวราวกับมีปรมาจารย์เหนือเมฆายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้ากระทำการหุนหันพลันแล่น
อัจฉริยะจากทุกฝ่ายบนดินแดนหยวนซิงมารวมตัวกันที่นี่ มีร่างปรากฏขึ้นบนยอดต้นไม้ใหญ่และมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
มีคลื่นป้องปรามที่มองไม่เห็นอยู่ที่นั่น ซึ่งทรงพลังมากจนแม้กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านขั้นเก้าก็ไม่กล้าบุกเข้าไป
ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้มีความพิเศษ ยอดฝีมือจื๋อซิวบางคนตัดสินว่ามันอาจจะเป็ิญญาอสูรระดับห้า แต่สิ่งที่แปลกคือมันไม่ได้มุ่งเป้าไปที่บุคคลภายนอก และมีหน้าที่รับผิดชอบในการยึดครองวังอันใหญ่โตแห่งนี้เท่านั้น
พระราชวังล้อมรอบด้วยัเขียว พยัคฆ์ขาว หงส์แดง และเต่าดำที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยพลังแห่งจิติญญา อีกทั้งยังล้อมรอบด้วยดอกไม้แปลกตา ต้นไม้ประหลาด ต้นหญ้าและเถาวัลย์สีเขียว นอกจากนี้ยังมีเรือพระจันทร์และเสียงเพลงที่ดังแว่วมาเป็ครั้งคราว
พระราชวังขนาดั์แห่งนี้แบ่งออกเป็สามชั้นทั้งภายในและภายนอก มีห้องโถงหน้า ห้องโถงกลาง และห้องโถงใหญ่ สิ่งต่างๆ มีความยาวเป็พันจั้ง กว้างแปดร้อยจากทิศอุดรจรดทิศทักษิณ เป็การรวมตัวกันของพระราชวังแห่งนี้
มันปรากฏตัวบนูเาไป่หลิงมาหลายวันแล้ว ทว่าพระราชวังถูกปิดและยังไม่มีใครสามารถบุกรุกเข้าไปได้เลย
ดวงอาทิตย์ลับขอบูเาด้านทิศประจิม ดวงจันทร์ส่องแสงผ่านกิ่งก้าน
คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงซึ่งเป็วันที่สิบห้าพอดี แสงจันทร์สีขาวเงินตกกระทบพระราชวัง แสงเจิดจ้าเป็ชั้นๆ สาดส่องลงมาราวกับได้ััถึงบางสิ่งบางอย่าง
เสียงคำรามดังลั่นภายใต้ความว่างเปล่า ทันใดนั้นประตูห้องโถงหน้าซึ่งตั้งอยู่ทางทิศบูรพาของพระราชวังก็สว่างขึ้น ก่อนจะพ่นแสงคล้ายเปลวเพลิงออกมาและค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับเสียงดังกึกก้อง
