“ลูกหมายความว่าอย่างไร พอตัวเองหมั้นหมายกับลูกชายข้าราชการแล้ว ตอนนี้แม้แต่กับพ่อแม่ก็รังเกียจรึ? บ้านแบบไหนที่อยู่ไม่ได้บ้าง อย่างไรที่นี่ก็ดีกว่าบ้านที่ชนบทเป็ร้อยเท่า!”
เซี่ยฉางเจิงะเิอารมณ์คนแรก
หลังมือขาดเขาก็รู้สึกขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะออกจากบ้าน ถ้าคนอื่นหันมามองเขา เขาก็จะคิดว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะเยาะที่เขาเป็คนพิการ
เซี่ยจื่ออวี้เอาแต่พูดว่าจะซื้อบ้านที่ปักกิ่ง แต่กลับบอกว่าบ้านหลังเล็กราคาไม่กี่พันถึงหนึ่งหมื่นหยวนมันแย่เกินไป เป็เหตุให้ความไม่พอใจของเซี่ยฉางเจิงสะสมมาอย่างยาวนานจนถึงวันนี้
บ้านเช่าอยู่ไม่ได้หรืออย่างไร?
ถ้าเช่นนั้นมีชาวปักกิ่งสักกี่คนที่มีบ้านเป็ของตัวเองกัน ทุกคนต่างก็ได้รับการจัดสรรจากทางรัฐด้วยกันทั้งสิ้น ต้องจ่ายค่าเช่าทุกเดือน อยู่ได้แต่ขายไม่ได้!
คนอื่นอยู่บ้านเช่าได้อย่างมีความสุข มีแต่เซี่ยจื่ออวี้เท่านั้นที่อยากซื้อบ้านเป็ของตัวเอง ขณะเดียวกันจางชุ่ยก็มีเงินไม่พอ วันๆ เธอเอาแต่ด่าเซี่ยฉางเจิงว่าไม่เอาไหน หลังเซี่ยฉางเจิงได้ยินว่าต้องซื้อบ้านก่อนถึงจะรับลูกชายอย่างเซี่ยจวิ้นเป่ามาเรียนที่ปักกิ่งได้ ก็รู้สึกว่าเซี่ยจื่ออวี้ไม่อยากทำสิ่งนี้ เธอถึงได้เอาแต่บอกปัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หวังเจี้ยนหัวเชื่อฟังเซี่ยจื่ออวี้มากไม่ใช่หรือ เื่เล็กแค่นี้หากหวังเจี้ยนหัวพูดกับที่บ้านไม่กี่คำ ขอเพียงข้าราชการระดับสูงจากกระทรวงศึกษาธิการคนนั้นออกคำสั่งเล็กน้อยก็เสร็จเื่ ไม่เห็นยากตรงไหนนี่!
เซี่ยจื่ออวี้โมโหพ่อตัวเองจนแทบอกแตกตาย
ไม่เอาไหนแถมยังคอยถ่วงแข้งถ่วงขา อีกทั้งยังโลกแคบ เธอเกิดในครอบครัวเช่นนี้ ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องคิดแผนการมากมากแค่ไหนกัน!
ทำไมเธอต้องซื้อบ้านหลังเล็กเก่าๆ พวกนั้นด้วย พื้นที่รวมแล้วมีแค่ไม่กี่สิบตารางเมตร พอให้เบียดกันอยู่สี่คนได้หรือ?
แม้เซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่ได้ซื้อเรือนสี่ประสานแถววิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งหลังนั้น แต่ครั้งก่อนก็เป็การยอมรับทางอ้อมในงานเชื่อมสัมพันธ์ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานได้ซื้อบ้านที่ปักกิ่งแล้วจริงๆ คงเป็เรือนสี่ประสานที่ราคาพอๆ กับบ้านหลังนั้น เรือนสี่ประสานที่เป็เ้าของแต่เพียงผู้เดียวต่างหากคือที่พักที่เธอคู่ควรอาศัยอยู่
สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานมี เซี่ยจื่ออวี้ก็ต้องมี เื่นี้เธอไม่มีวันยอมแพ้เซี่ยเสี่ยวหลานแน่นอน
แม้ตอนนี้ยังซื้อไม่ไหว แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอต้องคิดวิธีหาเงินมาซื้อบ้านให้ได้
ทว่าพ่อกับแม่ถ่วงความเจริญเหลือเกิน เมื่อก่อนยังพอช่วยอะไรได้บ้าง แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่ค่อยใส่ใจเธอเหมือนก่อน สู้คนหัวอ่อนอย่างหลิวเฟินยังไม่ได้เลยสักนิด อย่างน้อยหลิวเฟินก็เชื่อฟังเซี่ยเสี่ยวหลานเพียงคนเดียว
“จื่ออวี้ อย่าโกรธพ่อของลูกเลยนะ เขาพูดจาไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่อย่างไรเขาก็พูดถูก อาศัยตอนนี้ที่พ่อของเจี้ยนหัวยังเป็หัวหน้าอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ หากมีอำนาจแต่ไม่ใช้ ลูกว่าพวกเราไม่โง่หรือ? แม่ได้ยินมาว่าพวกข้าราชการชอบถูกสั่งย้าย ไม่ได้ทำงานตำแหน่งเดิมไปทั้งชีวิต หากพ่อของเจี้ยนหัวย้ายตำแหน่งงานขึ้นมา แล้วค่อยคิดจะพาน้องชายของลูกมาเรียนปักกิ่ง เื่ก็คงยุ่งยากยิ่งกว่าเดิมจริงหรือไม่”
เมื่อก่อนจางชุ่ยพูดจาไม่มีระดับขนาดนี้ แน่นอนว่าวิธีการพูดเช่นนี้เซี่ยจื่ออวี้เป็คนสอน
ทว่าเธอใช้วิธีการพูดแบบนี้กับเซี่ยจื่ออวี้เสียเอง นั่นทำให้เซี่ยจื่ออวี้รู้สึกหงุดหงิดมากเหลือเกิน “แม่ไปฟังลูกค้าที่มาซื้อของที่ร้านอีกแล้วสินะ พวกเขาเป็ใคร รู้หรืออย่างไรว่าการทำงานของข้าราชการเป็แบบไหน พ่อของเจี้ยนหัวเพิ่งกลับมารับตำแหน่งที่ฝ่ายอุดมศึกษาแค่ครึ่งปี ต่อให้ได้เลื่อนตำแหน่งก็คงเป็ตำแหน่งที่อยู่ในระบบการศึกษา ขอแค่เขายังคงสังกัดอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ จะฝากฝังตอนไหนก็คงเหมือนกันนั่นแล ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ยังคงยืนยันคำเดิม พวกเราจะซื้อบ้านก่อนแล้วค่อยรับน้องชายมาที่ปักกิ่ง”
จางชุ่ยกับเซี่ยฉางเจิงเป็ห่วงเซี่ยจวิ้นเป่า ทว่าเซี่ยจื่ออวี้วางแผนไว้อย่างดีแล้ว เธอ้าใช้เื่นี้เป็เป้าหมายเพื่อให้จางชุ่ยกับเซี่ยฉางเจิงรู้จักพัฒนาตัวเอง ช่วยกันทำงานหาเงินมาซื้อบ้านแล้วจะได้รับตัวเซี่ยจวิ้นเป่ามาที่ปักกิ่ง
แน่นอนว่าบ้านจะต้องเป็ชื่อของเธอ เซี่ยจื่ออวี้รู้ดีว่าพ่อกับแม่ ‘รักลูกชายมากกว่าลูกสาว’ อนาคตจะซื้อบ้านได้หรือไม่ยังไม่รู้ แต่บ้านหลังแรกจะต้องอยู่ภายใต้ชื่อของเธอ
เซี่ยจื่ออวี้ชี้ไปที่ตั๋วรถไฟสองใบบนโต๊ะ “ปิดเทอมฤดูหนาวปีนี้ฉันไม่กลับไปแล้ว พ่อกับแม่กลับไปเถอะ”
เซี่ยจื่ออวี้ทิ้งตั๋วรถไฟไว้ให้ ก่อนจะเดินทางกลับ จางชุ่ยรีบวิ่งไล่ตามหลังทันที “แล้ว่ปิดเทอมลูกจะไปอยู่ที่ไหน”
“อยู่หอพัก!”
อยู่หอพัก?
โง่หรือเปล่า ทำไมไม่ไปอยู่บ้านหวัง คนที่หมั้นหมายกันแล้วสำหรับคนในชนบทไม่ต่างอะไรกับแต่งงานแล้ว อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่ากินค่าอยู่ หากไปอยู่แล้วตระกูลหวังจะไม่ให้ข้าวกินหรืออย่างไรกัน?
เซี่ยจื่ออวี้ก้าวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นจางชุ่ยเดินกลับมา เซี่ยฉางเจิงก็ยิ้มเย็น “ฉันว่าลูกยังไม่ทันแต่งงานก็ไม่เห็นหัวคนที่บ้านอีกแล้วล่ะ ดูทำตัวเข้า คนนอกมาเห็นคงคิดว่าฉันเป็พ่อเลี้ยงของมันน่ะสิ!”
จางชุ่ยหยิบผ้าขี้ริ้วปาใส่เซี่ยฉางเจิง
“หุบปาก ถ้าบอกว่าจื่ออวี้ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ก็เท่ากับหาว่าฉันมีชู้ ไม่อยากอยู่ร่วมกันแล้วก็หย่ากันเสียเลยซี่!”
สองผัวเมียทะเลาะกันอีกแล้ว เซี่ยจื่ออวี้เดินปิดหูออกจากบ้านหลังนี้ทันที สถานที่เดียวที่เธอกลับไปได้มีแต่หอพักในวิทยาลัยเท่านั้น เมื่อก่อนตอนเพิ่งได้รับบทลงโทษ ที่หอพักไม่มีใครคุยกับเธอเลยสักคน ทว่าเซี่ยจื่ออวี้หน้าด้านพอ อยู่ห้องเดียวกันเจอหน้ากันทุกวัน เพื่อนร่วมหอคงเมินเธอไปทั้งชีวิตไม่ได้แน่นอน
แต่จะให้กลับไปสนิทและเชื่อใจเหมือนเมื่อก่อนคงเป็ไปไม่ได้อีกแล้ว
เซี่ยจื่ออวี้เดินกลับหอพักพร้อมกับความกลัดกลุ้ม เมื่อมาถึงชั้นล่างอาคารก็เห็นใครบางคนกำลังนั่งตัวเอียงอยู่ตรงบริเวณพุ่มดอกไม้
“เจี้ยนหัว?”
หนวดเคราเฟิ้มเต็มหน้า กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้ง นั่นคือหวังเจี้ยนหัวมิใช่หรือ?
เซี่ยจื่ออวี้ใจหล่นวูบ หวังเจี้ยนหัวไม่ใช่คนชอบดื่ม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เจี้ยนหัวตื่น อย่านั่งตรงนี้สิ พื้นมันเย็นนะ”
เซี่ยจื่ออวี้พยายามประคองหวังเจี้ยนหัวให้ลุกขึ้นเพื่อเดินไปยังศาลาที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ตอนนี้พวกนักศึกษากำลังเก็บข้าวของกลับบ้าน ดังนั้นหน้าหอจึงเป็สถานที่ที่มีคนเยอะเป็ที่สุด แต่ที่ศาลากลับไม่มีใคร เซี่ยจื่ออวี้คิดว่าหวังเจี้ยนหัวนั่งกองอยู่ตรงนั้นมันน่าอับอาย พามาอยู่ที่ศาลาคงจะดีกว่า
“เจี้ยนหัว ทำไมถึงดื่มเยอะแบบนี้เล่า”
หวังเจี้ยนหัวไม่ใช่คนเ้าแผนการ เพราะฉะนั้นเขาคงไม่ใช้วิธีทรมานตัวเองเพื่อเรียกเธอไปเป็แพะรับบาปหรอกใช่หรือไม่?
เซี่ยจื่ออวี้รู้สึกระแวง แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความเป็ห่วง
หวังเจี้ยนหัวพยายามลืมตาและส่งยิ้มให้เซี่ยจื่ออวี้ เขาดื่มไปไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ยังคงรับรู้ได้ว่าจื่ออวี้เป็ห่วงเขา ความทุกข์ของเขาระบายได้แค่กับเซี่ยจื่ออวี้คนเดียวเท่านั้น
“จื่ออวี้ พ่อของฉัน... เื่งานมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย เขาถูกสั่งย้าย”
เซี่ยจื่ออวี้ไม่อาจปิดบังความแปลกใจได้
เมื่อครู่เธอเพิ่งยืนยันกับพ่อแม่ของตนว่า หวังก่วงผิงคงได้ทำงานอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการไปอีกนาน แต่ไม่ทันไรหวังเจี้ยนหัวก็มาบอกว่าเขาถูกสั่งย้าย? ดูจากท่าทางของหวังเจี้ยนหัวแล้ว ไม่น่าจะเป็การเลื่อนตำแหน่งอย่างแน่นอน
เซี่ยจื่ออวี้เริ่มกังวล “สั่งย้าย? ย้ายไปอยู่ที่ไหนรึ?”
หวังเจี้ยนหัวนอนแผ่หลาอยู่ที่พื้นศาลา หลังพยายามอยู่พักใหญ่ก็ยังลุกไม่ขึ้น เซี่ยจื่ออวี้จึงเข้าไปเพื่อช่วยประคอง แต่เขากลับปัดมือเธอออก
“สำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีวต์ พวกเขาสั่งย้ายพ่อฉันไปที่สำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีสต?!”
สำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีสต์มีไว้ทำอะไรเซี่ยจื่ออวี้ไม่รู้แม้แต่น้อย ทว่าฟังจากน้ำเสียงของหวังเจี้ยนหัวแล้วคงไม่ใช่หน่วยงานที่ดีนัก เซี่ยจื่ออวี้ร้อนยิ่งนักใจ แต่ก็ยังต้องคอยปลอบหวังเจี้ยนหัว
“เจี้ยนหัว ใจเย็นๆ ก่อนนะ ค่อยๆ พูด เธอเป็แบบนี้ฉันรู้สึกเป็ห่วงเหลือเกิน”
หวังเจี้ยนหัวรู้สึกอัดอั้นเหลือเกิน ดังนั้นพอไดเ่ยินเซี่ยจื่ออวี้พูดปลอบ เขาก็เล่าเื่ของ ‘สำนักประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนีสต์’ ให้เซี่ยจื่ออวี้ฟัง หลังได้ฟังแล้วสภาพจิตใจขงเธอก็ค่อยๆ ดิ่งลง
ลำดับขั้นของข้าราชการไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ทว่าหวังก่วงผิงกลับถูกสั่งย้ายไปยังหน่วยงานที่ไม่สำคัญ ข้าราชการระดับสูงอย่างหวังก่วงผิงทำได้แค่กินเงินเดือนไปวันๆ แต่ไม่มีอำนาจอยู่ในมืออีกต่อไป ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าเขากลายเป็คนไร้ค่าไม่ใช่หรือ?
หวังก่วงผิงเป็เช่นนี้แล้วจะช่วยหวังเจี้ยนหัวให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างไร เซี่ยจื่ออวี้ร้อนใจดั่งไฟสุมทรวง เธอก้มศีรษะมองหวังเจี้ยนหัวที่ยังคงนอนแผ่อยู่บนพื้นศาลา ผู้ชายคนนี้ถูกกำหนดไว้ว่าต้องผ่านอุปสรรคนานัปการถึงจะกลายเป็ต้นไม้ใหญ่ที่สามารถพึ่งพาได้อย่างนั้นจริงหรือ