หลินหร่านเห็นท่าทีที่แสดงถึงความรักและความห่วงใยที่อวี้ฉู่จาวมีต่อตนเอง เขาจึงได้แต่ส่ายหัวแล้วยกมือโอบลำคอของอวี้ฉู่จาว วางคางเอาไว้บนไหล่กว้างแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า
“ไม่มีความลับอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ หากท่านอ๋องอยากทราบอวิ๋นซีก็จะบอก อวิ๋นซีเพียงแค่รู้สึกว่าตอนนี้ท่านอ๋องพบเจอเื่วุ่นวายมากมาย แต่ตัวข้าเองกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย อีกทั้งยังให้ผู้อื่นคอยมาดูแลรับใช้ข้าอีก อันที่จริงแล้วมันช่าง…”
อวี้ฉู่จาวได้ฟังก็รับรู้ได้ทันทีว่าหลินหร่านกำลังรู้สึกไม่มั่นใจอีกครั้ง เขาลูบแผ่นหลังหลินหร่านเพื่อปลอบประโลมพร้อมกล่าว “เื่ราวที่เกิดขึ้นใน่นี้อาจวุ่นวายไปหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เื่รีบร้อนอะไร ค่อยๆ เป็ค่อยๆ ไป เ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เื่พวกนี้เป็หน้าที่ของข้า”
“แต่ข้าอยากช่วยท่านอ๋อง เื่ของท่านอ๋องก็เท่ากับเื่ของข้า เราเกิดมาร่วมกันตายก็ย่อมลงโลงเดียวกันไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลินหร่านเงยหน้าบอก
อวี้ฉู่จาวมองหลินหร่านที่ขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิง ไม่รู้จะพูดอย่างไรให้อีกคนไม่ต้องยุ่งเื่เหล่านี้ จึงทำได้เพียงแสดงรอยยิ้มจริงใจเพื่อเอาใจหลินหร่าน
“ได้ เื่ของข้าก็คือเื่ของเ้า เ้าก็กำลังตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อยกระดับตัวเ้าเองมิใช่หรือ รอให้เ้าศึกษาด้านการแพทย์สำเร็จก็คงจะช่วยเหลือข้าได้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้น เ้าก็จะได้ช่วยเหลือข้า เราจะออกรบด้วยกัน ป้องกันศัตรูไปพร้อมกัน เ้าว่าอย่างไร?”
“พ่ะย่ะค่ะ” ในใจของหลินหร่านรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย แววตาเริ่มสดใสขึ้น
เขาตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านอ๋องของเขา
.........
สามวันต่อมา
วันนี้หลินเสี่ยวฉีจะได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว นางรอคอยให้ถึงวันนี้มาสามวันเต็ม
หลินเสี่ยวฉีถูกกักขังเอาไว้ตลอดสามวัน ทุกๆ วันได้รับประทานอาหารเพียงมื้อเดียวเท่านั้น ไม่ว่านางจะพยายามะโร้องขอขนาดไหน ผู้คนด้านนอกก็ไม่คิดจะให้น้ำกับนางเพิ่มแม้แต่นิด
แผลพุพองบนร่างกายของหลินเสี่ยวฉีไม่เคยได้รับยารักษา เริ่มเป็หนองอักเสบไปทั่วร่างกายจนแทบไม่มีตรงไหนน่ามอง ยกเว้นเพียงใบหน้าของนางที่ยังถือว่าค่อนข้างดีอยู่
หลินเสี่ยวฉีนั่งพิงหัวเตียง เหม่อลอยทอดสายตามองแสงแดดที่ลอดเข้ามาผ่านหน้าต่าง
นางกำลังเฝ้ารอให้มีคนมาปล่อยนางออกไป นางจะต้องบอกเื่นรกแห่งนี้และความชั่วร้ายขององค์ชายสี่ให้ผู้เป็บิดาได้รับรู้
ท้องของนางร้องโครกคราก อาหารที่เป็ของเหลือหนึ่งมื้อในแต่ละวันนางกินจนหมด มันไม่มีทางเลือกเพราะนางต้องทำให้ท้องตนเองอิ่ม
รอจนถึงเที่ยงถึงมีคนเดินเข้ามา
คนผู้นั้นเปิดประตูออกเพียงครึ่งทางก็ทำให้หลินเสี่ยวฉีเบิกตากว้างทันที เพราะนางคิดว่าคนที่มานั้นคือผู้ที่จะมาปล่อยนางออกไป
แต่ใครจะไปคิดว่าคนผู้นั้นเพียงแค่เข้ามาเพื่อนำอาหารที่แสนจะน้อยนิดมาให้ ก่อนจะปิดประตูแล้วเดินจากไป
หลินเสี่ยวฉีเริ่มคืบคลาน ลากร่างกายที่เหนื่อยล้าและเ็ปของนางออกมาพร้อมทั้งะโออกไป “รอเดี๋ยว เ้ารอก่อน…”
อาการขาดน้ำอย่างรุนแรงทำให้น้ำเสียงของหลินเสี่ยวฉีแหบแห้งราวกับคนใบ้
หลินเสียวฉีคว้าประตูเอาไว้ ทำให้ชายผู้นั้นขมวดคิ้วแล้วก้มมอง “เ้าทำอะไร ยังคิดจะหนีอีกหรือ นี่เ้ายังไม่ยอมแพ้อีกหรือไง?”
ก่อนหน้านี้เวลาที่มีคนนำอาหารมาส่ง หลินเสี่ยวฉีพยายามที่จะหนีอยู่หลายรอบแต่ก็ล้มเหลว ทั้งยังถูกทุบตีอย่างรุนแรง
ณ ตอนนี้ นางยังเ็ปทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นั้น
“ไม่ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หนี วันนี้เป็วันที่ข้าต้องกลับไปเยี่ยมครอบครัว...ข้า้ากลับบ้าน!” หลินเสี่ยวฉีปัดถาดอาหารเพียงมื้อเดียวของตนเองจนกระจาย เกาะประตูเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดคือชายผู้นั้นแสดงท่าทีที่แสนจะดูถูกเย้ยหยันนางโดยพลัน
“กลับไปเยี่ยมครอบครัว? เ้าฝันอยู่หรือ เ้ายังคิดจะกลับไปเยี่ยมตระกูลอีกหรือไง ยังคิดว่าตนเองถูกแต่งตั้งให้เป็พระสนมรองจริงๆ อยู่? แม้ว่าเ้าจะมีตำแหน่งนั้นอยู่ อันที่จริงก็ไม่ได้เป็เช่นนั้น เ้าไม่ต้องคิดเื่นั้นหรอก เพราะมีคนไปแจ้งกับตระกูลของเ้าแล้วว่าร่างกายเ้าไม่แข็งแรง จึงยกเลิกการกลับไปเยี่ยมตระกูล”
เอ่ยจบคนผู้นั้นก็ผลักหลินเสี่ยวฉีเข้าไปในห้องแล้วรีบปิดล็อกประตูก่อนเดินจากไป
หลินเสี่ยวฉีมองไปทางประตูที่ปิดลงอีกครั้งอย่างสิ้นหวัง ราวกับถูกตัดความหวังทั้งหมดที่นางมีไปจนหมดสิ้น
.........
ในเวลาเดียวกัน ณ จวนตระกูลหลิน
“ข้าเคยบอกแล้วว่าเด็กคนนี้ช่างหยิ่งยโส นี่แค่แต่งงานออกไปจากตระกูลไม่กี่วัน แม้แต่วันเยี่ยมครอบครัวก็ไม่กลับมา!” ในห้องโถงใหญ่ของจวนตระกูลหลิน เหล่าผู้นำตระกูลต่างพากันนั่งรวมตัวกันอยู่
นางซ่งลุกขึ้นมากล่าวด้วยความไม่พอใจ
เดิมทีพวกเขากำลังตั้งหน้าตั้งตารอองค์ชายสี่พาพระสนมรองกลับมาเยี่ยมครอบครัว แต่สุดท้ายก็ได้รับข่าวว่านางไม่สบาย จากนั้นจึงมีการแจ้งว่ายกเลิกการกลับมาเยี่ยมครอบครัวในวันนี้
“นายท่าน ท่านดูสิเ้าคะ ช่างเนรคุณสิ้นดี แม้แต่ท่านเองนางยังไม่คิดจะสนใจด้วยซ้ำ”
หลินฮวาเหนียนมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่เอ่ยคำพูดใด
นางเฉินเห็นบรรยากาศเริ่มไม่ค่อยดีจึงได้รีบเอ่ยขึ้นเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ “พี่หญิงอย่าพูดถึงเลยเ้าค่ะ อย่างไรเสียนางก็เป็คุณหนูของตระกูลหลิน ไม่ว่าอย่างไรก็ตัดกันไม่ขาด ผู้ที่มาแจ้งข่าวก็บอกแล้วมิใช่หรือเ้าคะว่าไม่สบาย นางอาจจะไม่สบายจริงๆ ก็ได้”
“ความจริงอะไรกันล่ะ เ้าไม่เข้าใจหรือ ยกเลิกการกลับมาเยี่ยมครอบครัวไม่ใช่การเลื่อน แต่เป็การยกเลิก ยกเลิกแบบนี้นางจะยังกลับมาที่บ้านตัวเองอีกหรือ? นั่นหมายความว่าจะไม่ไปมาหาสู่กันแล้วมิใช่หรือไง?”
ตามจารีตประเพณี หญิงสาวที่ออกเรือนไปแล้วไม่สามารถกลับมาบ้านของตนเองได้ตามอำเภอใจ
“นั่น…” นางเฉินไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรต่อ
เมื่อมองเห็นนางเฉินที่เผชิญหน้ากับนางซ่งแล้วถูกะโใส่อย่างนั้น หลินเสี่ยวก่วน บุตรสาวของนางเฉินที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงก้าวเดินไปด้านหน้าก่อนจับแขนของมารดาพลางกล่าว “ท่านแม่หยุดพูดเถิดเ้าค่ะ”
เพราะอุปนิสัยเช่นนี้ของผู้เป็มารดาที่แม้จะลุกออกมาโน้มน้าว แต่ก็ยังด้อยกว่าผู้อื่นอยู่ดี ท้ายที่สุดมักเป็ตนเองที่เสียเปรียบ
“นายท่าน ดูสิเ้าคะว่านางนิสัยเสียขนาดไหน เทียบกับเสี่ยวหนาน…”
“พอแล้ว!”
นางซ่งกำลังจะดึงหลินเสี่ยวหนาน บุตรสาวของตนเองมาเปรียบเทียบ แต่ก็ถูกหลินฮวาเหนียนตะคอกใส่เสียก่อน
“ไม่กลับก็ไม่กลับ อย่างไรก็เป็บุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้ว” หลินฮวาเหนียนเอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืน มองดูแล้วเขามีท่าทีเหนื่อยล้านัก
นางเฉินรีบก้าวเข้าไปด้านหน้าเพื่อประคองเขาไว้ “นายท่าน”
หลินฮวาเหนียนมองใบหน้าของนางเฉินก่อนจะนึกถึงบางสิ่งขึ้นมา เขาจึงหันหน้าไปพร้อมกล่าวกับทุกคนที่อยู่ในเรือน ไม่ว่าจะเป็ผู้นำตระกูล สาวใช้หรือคนรับใช้ “ต่อแต่นี้ไป เื่ในตระกูลทั้งหมดให้เป็หน้าที่ของนางเฉิน ให้นางรับผิดชอบและมีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว!”
หลังจากกลับมาจากชายแดน ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ในจวนจะมีเื่สงบสุข และไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะรู้สึกสบายใจ
วันนี้หลินหร่านออกเรือนไปอย่างราบรื่น หลินเสี่ยวฉีก็ได้ออกเรือนไปแล้ว ถึงแม้จะไม่ง่ายเท่าไร แต่อย่างน้อยเขาก็ทำตามที่ท่านอ๋องปรารถนาแล้ว ซึ่งหลินฮวาเหนียนไม่อยากที่จะใส่ใจกับเื่เหล่านี้อีก
นางเฉินทั้งตกตะลึงและรู้สึกหวาดกลัว แต่ในเมื่อตนเองได้รับสายตาที่ไว้วางใจจากหลินฮวาเหนียนนางจึงได้พยักหน้ารับคำ
“นายท่านโปรดวางใจ”
นางซ่งก็ใไม่แพ้กัน นางพยายามทำและพูดอะไรไปตั้งมากมาย เหตุใดถึงได้มอบสิ่งนี้ให้กับผู้อื่น
หลินเสี่ยวก่วนมองนางซ่งที่แสดงแววตาโกรธก็รับรู้ได้ทันที อนุภรรยาคนนี้กำลังไม่พอใจ
แต่นี่ก็ช่วยไม่ได้ เป็เพราะนางช่างโง่เขลา ั้แ่เริ่มแรกก็อยากที่จะเหยียบย่ำนางเว่ย และในเวลาเดียวกันก็เหยียบย่ำหลินเสี่ยวฉี
ด้วยสีหน้ากับท่าทางเช่นนั้น หลินฮวาเหนียนย่อมมองเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว
นางซ่งไม่เคยไตร่ตรองเื่นี้เลยว่าทั้งๆ ที่นางและนางเว่ยมีบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวหนึ่งคนให้กับหลินฮวาเหนียนเหมือนกัน แต่เหตุใดหลินฮวาเหนียนถึงได้เลือกนางเว่ยเป็ฟูเหริน
อันที่จริง ถึงนางเว่ยจะเป็หญิงที่โหดร้าย แต่นางรู้จักที่จะเสแสร้ง เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านพ่อของเขา นางเว่ยก็จะแสดงท่าทีสง่าและมีคุณธรรม
มีภาพลักษณ์ของความเป็ฟูเหริน ที่ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็ยังทำหน้าที่ได้เป็อย่างดี
แต่นางซ่งนั้นมีพฤติกรรมที่ไร้ซึ่งการคิดไตร่ตรอง และยังสั่งสอนเด็กที่ไร้เดียงสาทั้งสองออกมาเช่นนั้นอีก
หลินเค่อกับหลินเสี่ยวหนาน
------------------------------------------------
