เมื่อคลื่นลมพัดผ่าน ทั้งเมืองอวิ๋นหลิวก็กลับมาสงบอีกครา ถึงแม้ในเงามืดยังมีคลื่นใต้น้ำอยู่ แต่อย่างน้อยในที่แจ้งก็ไร้ซึ่งความขัดแย้งใดๆ
เื่ที่ตระกูลตงฟางลงมือกับตระกูลถังครั้งที่แล้ว ก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอีก
ส่วนข่าวที่พลังของถังจงเวยฟื้นคืนมาแล้วก็โหมกระพือราวกับพายุ พัดกระจายไปถึงหูของตระกูลต่างๆ ในเมืองอวิ๋นหลิวอย่างรวดเร็ว
เพื่อเป็การหยั่งเชิง ตระกูลหวังและตระกูลซินล้วนส่งคนไปแสดงความยินดีกับถังจงเวย
ถังจงเวยหาได้ปิดบังไม่ เขาแผ่กลิ่นอายผู้ทรงยุทธ์ขั้นที่ห้าออกมาตลอด เพื่อข่มขวัญคนเ่าั้ที่ปองร้ายกับตระกูลถัง
คราวนี้ตระกูลเดิมที่คิดจะแทนที่หรือยึดตระกูลถังล้วนเริ่มคำนวณพลังของตระกูลถังใหม่อีกครั้ง ถึงแม้ถังจวินหาวจะหายตัวไป แต่พลังของถังจงเวยกลับเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ยามนี้คงไม่มีผู้ใดสั่นคลอนตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองอวิ๋นหลิวได้
ภายใต้แรงสนับสนุนจากพลังของถังจงเวย อิทธิพลตระกูลถังกลับมากระจายไปทั่วเมืองอวิ๋นหลิวอีกครั้ง ร้านค้าที่เคยถูกตระกูลอื่นยึดไปก็แย่งชิงกลับมา
สายของตระกูลถังก็ถูกกระจายไปทั่ว ในเมืองอวิ๋นหลิวล้วนมีตาของตระกูลถังอยู่ทุกหนแห่ง
หลังจากที่ถังเหล่ยดูดซับของเหลวเลี้ยงิญญาไปแล้ว เขาก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาัคชสารอยู่ในห้อง
ครั้งนี้ถังเหล่ยค่อนข้างระวังเื่การบ่มเพาะ จึงไม่มีสถานการณ์กลืนกินพลังิญญาฟ้าดินทั้งตระกูลถังเกิดขึ้นอีก ถึงตอนนี้พลังของเขาฟื้นคืนกลับมาแล้ว แต่ก็ต้องระวังตัวอยู่บ้าง
ประสิทธิภาพของเหลวจากตะเกียงแก้วเลี้ยงิญญานั้นชัดเจนมาก ถังเหล่ยเพียงดูดซับพลังงานที่หลงเหลืออยู่ในร่างกาย พลังก็เพิ่มขึ้นถึงระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สิบสอง
ถังเหล่ยััได้ว่าตัวเองใกล้จะทะลวงระดับแล้ว ในใจเขาภาวนาให้ครั้งนี้ตัวเองทะลวงระดับผู้ชำนาญยุทธ์ได้สำเร็จเสียที การที่อยู่ในระดับผู้ฝึกยุทธ์ไปตลอดคงไม่ใช่เื่น่ายินดีนัก
หลังจากผู้ฝึกตนทะลวงระดับผู้ชำนาญยุทธ์แล้ว พลังิญญายุทธ์ในตันเถียนจะสามารถโคจรรอบกายของผู้ฝึกตนได้ มันจะไหลผ่านเส้นชีพจรและเส้นเืของผู้ฝึกตน
ยามต่อสู้ก็ไม่จำเป็ต้องกระตุ้นพลังิญญายุทธ์ในตันเถียนอีก
เมื่อเป็เช่นนี้พลังของิญญายุทธ์ก็จะสามารถหล่อเลี้ยงร่างกายและเส้นชีพจรของผู้ฝึกตน ทำให้ผู้ฝึกตนกับิญญายุทธ์เข้ากันได้ดียิ่งขึ้น การสร้างรากฐานก็พร้อมรับการทะลวงระดับที่สูงขึ้นไปอีก
พลังของถังเหล่ยในปัจจุบันเกรงว่าจะมากถึงสองหมื่นห้าพันจินแล้ว นี่แทบจะเทียบเท่ากับพลังระดับผู้ชำนาญยุทธ์ขั้นที่หกปกติมีได้
หากถังเหล่ยใช้พลังของิญญายุทธ์อีก พลังที่ะเิออกมาคงเพิ่มขึ้นอย่างยิ่ง
ต่อให้มองจากสายตาของเขาในชาติที่แล้ว คงมีเพียงคำว่าสัตว์ประหลาดเท่านั้นที่จะเหมาะใช้อธิบายผู้ฝึกตนที่มีพลังถึงสองหมื่นห้าพันจิน
ถังเหล่ยเข้าใจดีว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็ผลมาจากิญญายุทธ์ัคชสารสีทองกับเคล็ดวิชาัคชสารในร่าง เขาจึงสนใจระดับของิญญายุทธ์ัคชสารมากขึ้น
ถ้าอยากจะรู้ระดับ วิธีแรกคือตอนที่ิญญายุทธ์ตื่นขึ้น ให้ใช้ความแข็งแกร่งของิญญายุทธ์นั้นมาวัดระดับ วิธีที่สองคือใช้สมบัติวัดระดับิญญายุทธ์โดยเฉพาะ
ในเมืองอวิ๋นหลิวอันห่างไกลแห่งนี้ คิดจะหาสมบัติเช่นนั้นคงเป็ไปไม่ได้
แต่ถังเหล่ยคิดว่าอย่างน้อยที่สุดิญญายุทธ์ัคชสารในร่างกายก็ต้องเป็ระดับศักดิ์สิทธิ์ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางเพิ่มพลังให้เขาที่อยู่ในระดับผู้ฝึกยุทธ์ได้ขนาดนี้แน่
ถังเหล่ยฝึกฝนเคล็ดวิชาัคชสารในห้องต่อไป แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือในเวลาเดียวกันนี้ มีหญิงสาวสวมชุดคลุมสีฟ้าสองคนได้เข้ามาในเมืองอวิ๋นหลิวแล้ว
ทั้งคู่เข้าพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งของเมืองอวิ๋นหลิว หลังจากถอดชุดคลุมออก ใบหน้าที่ดึงดูดสายตาก็ปรากฏออกมาทันใด
หญิงสาวหนึ่งในสองคนนั้นอายุประมาณสามสิบปี แต่ด้วยลักษณะที่โดดเด่น จึงอาจประเมินอายุที่แม่นยำได้ยาก
ส่วนสาวน้อยอีกคนมีอายุเพียงสิบห้าปี นางมีใบหน้าที่งดงามราวกับนางฟ้า แต่ใบหน้านั้นดูจะไม่พอใจกับการเข้ามาในเมืองอวิ๋นหลิวนัก
“ท่านอาจารย์ พวกเรามาสถานที่แบบนี้ทำไม? งานแข่งขันหวู่เต้าใกล้จะเริ่มแล้ว เ้าสัตว์ประหลาดเฒ่าเฮยฉานฉู่คงจะไม่หาเื่ในเวลานี้แน่ พวกเรากลับตำหนักเมิ่งเซียนกันเถอะ”
สาวน้อยกะพริบตาที่เหมือนพระจันทร์เสี้ยวอันสว่างไสว
“เ้ายังกล้าพูดอีกหรือ? ไม่กี่วันก่อนใครกันที่แอบออกไป? ถ้ากลับสำนักเมื่อไหร่ เ้าต้องถูกกักบริเวณ!”
หญิงสาวที่ดูมีอายุแกล้งทำเป็กล่าวด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว
หากถังเหล่ยอยู่ที่นี่ เขาจะต้องจำสาวน้อยผู้นี้ได้แน่ นางคือสาวน้อยที่อยู่ในเทือกเขาสัตว์อสูร
สาวน้อยประหลาดที่อยู่แค่ระดับผู้ทรงยุทธ์ก็สามารถทำให้ิญญายุทธ์เกิดสติปัญญาได้แล้ว ‘หลินเนี่ยน’
“ข...ข้าเบื่อมาก อยู่แต่ในห้องทั้งวัน นานๆ ทีจะได้ออกจากสำนัก ไยต้องมาติดตามอยู่ข้างท่านอาจารย์ทุกวันเช่นนี้!”
หลินเนี่ยนกล่าวด้วยความคับข้องใจ
“สาเหตุที่พวกเราออกจากสำนักมาก็เพื่อกำจัดสัตว์ประหลาดเฒ่าเฮยฉานฉู่ผู้นั้น เพราะิญญายุทธ์ของเ้าสามารถข่มพิษของเขาได้ ข้าถึงพาเ้าออกมาด้วย ถ้าเ้าไม่เชื่อฟังก็กลับไปรับโทษกักบริเวณที่สำนักเดี๋ยวนี้เลย!”
หลังจากหญิงสาวใช้ไม้แข็ง หลินเนี่ยนก็ไม่กล้าโวยวายอีก
ตำหนักเมิ่งเซียนคือขั้วอำนาจชั้นสองในจักรวรรดิเทียนอวี่ อาจารย์ของหลินเนี่ยนก็คือเ้าตำหนักเมิ่งเซียน ระดับยอดยุทธ์ขั้นที่สาม
ในเมืองเล็กๆ หลายสิบเมืองรอบเมืองอวิ๋นหลิว ตำหนักเมิ่งเซียนค่อนข้างมีอิทธิพล แม้ผู้ที่อยู่ในตำหนักนี้ล้วนเป็สตรี แต่เพราะเป็ฝ่ายที่มักจะกำจัดผู้ฝึกตนที่ชั่วร้ายอยู่บ่อยครั้ง จักรวรรดิเทียนอวี่จึงมอบทรัพยากรให้ตำหนักเมิ่งเซียนเป็ประจำ
เรียกได้ว่าเป็ขั้วอำนาจที่มีจักรวรรดิหนุนหลัง
ครั้งนี้หลินเนี่ยนกับอาจารย์ออกจากตำหนักมาก็เพื่อกำจัดสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่ง เขาผู้นั้นมีนามว่า ‘เฮยฉานฉู่’
อีกฝ่ายเป็คนจิตใจอำมหิตที่เชี่ยวชาญการใช้พิษ พวกนางได้รับรายงานว่าเฮยฉานฉู่เคลื่อนไหวอยู่รอบๆ เมืองอวิ๋นหลิวมาหลายปีแล้ว จึงมาดักสังหาร
ยามนี้ที่ประตูเมืองอวิ๋นหลิวมีองครักษ์ประจำเมืองยืนเรียงกันสองแถว เกราะพวกเขาส่องประกายแสงสีเงิน ชาวบ้านธรรมดาล้วนถูกขับไล่ออกจากบริเวณรอบประตูเมือง ที่นี่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้
ด้านหน้าขององครักษ์เ่าั้มีบุรุษวัยกลางคนสวมชุดสีเขียวเข้มยืนอยู่ผู้หนึ่ง เขาคือเ้าเมืองอวิ๋นหลิว ‘เยว่มู่จือ’
เยว่มู่จือเพิ่งรับตำแหน่งเ้าเมืองอวิ๋นหลิวได้เพียงห้าปี ถึงแม้จะเป็เพียงผู้ทรงยุทธ์ขั้นที่สาม แต่เื้ัของเขามีจักรวรรดิเทียนอวี่สนับสนุนอยู่ ต่อให้ตระกูลถังอยู่ใน่รุ่งโรจน์ก็ไม่กล้าล่วงเกินเขาอยู่ดี
และด้านข้างของเยว่มู่จือมีสาวงามยืนอยู่ผู้หนึ่ง
นางผู้นี้คือฮูหยินของเ้าเมืองอวิ๋นหลิว และเป็พี่สาวที่ขายวัตถุดิบให้ถังเหล่ย
“ท่านพี่ ทำไมท่านทูตจากจักรวรรดิผู้นี้ถึงยังไม่มาเสียที อีกแค่สิบห้าวันก็จะถึงงานแข่งขันหวู่เต้าแล้ว ปกติท่านทูตน่าจะมาถึงก่อนครึ่งเดือนไม่ใช่หรือ?”
สาวงามผู้นี้มีนามว่าหลินอวี่ นางเพิ่งมาถึงเมืองอวิ๋นหลิวเมื่อสองปีก่อน และจากคำบอกเล่า เหมือนว่านางจะเกิดมาจากตระกูลใหญ่
ปกติแล้วนางจะเป็คนจัดการโรงประมูลของเมืองอวิ๋นหลิว
“ข้าก็ไม่รู้ ตามหลักแล้วท่านทูตน่าจะมาถึงนานแล้ว แต่ตอนเช้าได้รับข่าวว่าท่านจะมาถึงวันนี้ แต่ใครจะรู้ว่าตอนนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา เกรงว่าอาจมีเื่ทำให้ล่าช้า!”
เยว่มู่จือเป็คนค่อนข้างรักสงบ ถึงแม้จะมีตำแหน่งเ้าเมือง แต่กลับไม่กอบโกยทรัพย์สิน และไม่ยุ่งเื่ความขัดแย้งระหว่างตระกูล
“เหอะ แค่ทูตตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ยังทำตัวยิ่งใหญ่เช่นนี้!”
หลินอวี่เคยเห็นโลกมามาก ทูตคนหนึ่งทำให้นางต้องมายืนรอต้อนรับเช่นนี้ ช่างน่าโมโหจริงๆ
“ไม่ต้องพูดแล้ว ท่านทูตมาแล้ว!”
เยว่มู่จือพูดตัดบทหลินอวี่ ทางด้านหน้ามีฝุ่นฟุ้ง เหมือนท่านทูตจะมาถึงแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้