ตอนที่ 3
สักที เดี๋ยวก็หาย
หลายวันต่อมา
เสียงแจ้งเตือนวิดีโอคอลจากโทรศัพท์ ส่งผลให้ร่างสูงในสภาพท่อนบนเปลือยเปล่าต้องหยุดการออกกำลังกายกลางคัน แล้วเดินมากดรับสายทั้งสภาพเหงื่อท่วมตัว เมื่อเห็นหน้าคนที่อยู่ปลายสายก็อดจะเอ่ยหยอกเย้าไม่ได้
“สงสัยโลกคงจะใกล้ถล่ม คนอย่างมึงโทรหากูได้”
(มึงดูนี่นะ)
ชาวินเลิกคิ้ว มองาา ซึ่งเป็รุ่นน้องคนสนิทของตนกำลังขยับโทรศัพท์จนกล้องสั่นนิด ๆ เพื่อให้ดูอะไรบางอย่าง ภาพนิ้วของอีกฝ่ายซึ่งมีแหวนประดับอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เช่นเดียวกับอาเจิน ซึ่งเป็คนรักของอีกฝ่าย กำลังสวมแหวนแบบเดียวกัน ทั้งยังชะโงกหน้าเข้าเฟรมมาน้อย ๆ
ที่แท้ก็คงอยากจะอวดให้ดู ว่าตนได้เป็ฝั่งเป็ฝาแล้ว
“มึงพาเมียไปเที่ยวถึงเกาะเพื่อแต่งงานกันเงียบ ๆ หรือไง”
(แผนกูใช้ได้เลยใช่ปะ)
ชาวินหัวเราะเต็มเสียงให้กับท่ายักคิ้วกวนประสาทของปลายสาย ก่อนจะส่งรอยยิ้มให้ด้วยความรู้สึกยินดีจากใจจริง อย่างน้อยรุ่นน้องที่กอดคอพากันเข้าร้านเหล้าั้แ่สมัยเรียนก็ได้มีครอบครัวเล็ก ๆ สมใจเสียที
“ยินดีด้วย...ขอให้รักกันไปจนแก่”
(ไม่ต้องบอกอย่างนั้น กูก็จะรักมันไปจนแก่ตายอยู่แล้ว)
คนรักของาาเมื่อได้ฟังประโยคดังกล่าวใกล้ ๆ ก็หน้าแดงเป็ลูกตำลึง พร้อมกับเสียงหัวเราะของสองพี่น้องคนสนิทดังขึ้นประสานกัน คุยกันอีกไม่กี่คำก็วางสาย ฝ่ายชาวินยกยิ้มผิวปากอย่างอารมณ์ดี ครั้นเมื่อหันไปที่หน้าประตู รอยยิ้มก็ค่อย ๆ บางลงไป เมื่อพบตั้งโอ๋ซึ่งยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ในมือถือแก้วน้ำผักปั่นมาให้ตามคำสั่ง
“เอามาวางสิ”
ร่างขาวค่อย ๆ ประคองแก้วมาวางให้บนโต๊ะ ทั้งมือที่สั่นเทา ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันแน่นทั้งกระบอกตาที่เริ่มร้อนผ่าวคล้ายอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ...บทสนทนาเมื่อครู่เขาได้ยินทั้งหมด...ทั้งเวทนาและสมน้ำหน้าตัวเองที่ยังต้องจมอยู่กับความรู้สึกเ็ปแบบนี้อยู่ซ้ำ ๆ ในขณะที่คนอื่นได้พบความสุขกันหมดแล้ว
ชาวินยืนสังเกตสีหน้าของคนอายุน้อยกว่าอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เลิกรักมันได้แล้ว ไอ้คิงมันมีเ้าของของมัน”
“...ผมกำลังพยายามอยู่คุณไม่เห็นเหรอ...คุณคิดว่าการเลิกรักใครสักคนมันง่ายนักหรือไง อึก”
ตั้งโอ๋ทรุดนั่งกอดเข่า ฝังหน้าลงกับเข่าแล้วเอ่ยเถียงออกมาบ้าง ทั้งน้ำเสียงที่สั่นเครือไปด้วยแรงสะอื้น...คิดว่าตอนนี้เขาไม่ได้พยายามอยู่หรือไง คิดว่าการพยายามเลิกรักใครสักคนมันเป็เื่ง่ายมากขนาดนั้นเลยหรือไง
“เธอควรจะพยายามเลิกรักมันตั้งนานแล้ว...ไม่ใช่เพิ่งมาพยายามเอาป่านนี้”
“ฮึก...”
“สมแล้วที่เจ็บ”
ประโยคดังกล่าวทิ่มเสียดแทงหัวใจเข้าอย่างจัง ทว่าก็เป็ความจริงด้วยกันทั้งนั้น ตั้งโอ๋ปล่อยโฮร้องไห้หนักกว่าเก่า ไม่สนใจแล้วด้วยซ้ำว่าคุณเชาส์จะกำลังมองตนอยู่ด้วยสายตาแบบใด
“ถ้าคุณจะซ้ำเติมกันอย่างนี้ก็ไม่ต้องมาปลอบผมหรอก...”
“ใครว่าปลอบ เลิกร้องไห้สักทีเถอะว่ะ”
“ฮึก...”
ชาวินถอนหายใจ เสยเส้นผมเปียกชื้นเหงื่อที่ตกลงปรกใบหน้าขึ้นลวก ๆ อย่างนึกหงุดหงิด ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวที่วางอยู่ใกล้ ๆ ติดมือมา
“น่ารำคาญ...นี่ผ้า เอาไปเช็ดน้ำตา”
“คุณก็ปล่อยผมไว้คนเดียวสิ ไม่ต้องเสียเวลามายุ่งกับผมหรอก”
“เอาผ้าไปเช็ดน้ำตา”
“...”
ตั้งโอ๋มองผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า ครั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนค้ำหัวกันอยู่ จึงเห็นว่าคุณเชาส์กำลังมีสีหน้าเรียบเฉย ออกจะไปทางไม่สบอารมณ์เสียด้วยซ้ำ ร่างขาวเม้มปากเข้าหากันแน่น แทนที่จะรับผ้ามา ตัวเขากลับยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกแทนเสียอย่างนั้น
ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงจะนึกรำคาญเขาอย่างสุดขีด...แล้วอย่างนี้ใครเขาจะกล้ารับน้ำใจกัน?
เผลอ ๆ อาจจะโดนสั่งให้เอาผ้าเช็ดหน้าไปซักหลังใช้เสร็จด้วยซ้ำ เขาไม่เอาด้วยหรอก
“ไม่เอาครับ---โอ๊ย!”
ฝ่ายคนที่นั่งกอดเข่าอยู่เริ่มเบ้หน้าแล้วร้องออกมาเสียงเบา เมื่อชาวินนั่งยองลงตรงหน้า ใช้ผ้าผืนดังกล่าวเช็ดน้ำตาออกให้โดยไม่ถนอมกันเลยสักนิด ตั้งโอ๋หน้าโยกหลับตาปี๋ พยายามดันอีกคนออกอย่างทุลักทุเล ก่อนจะต้องคิ้วกระตุกอีกครั้ง เมื่อได้ฟังประโยคไม่เข้าหู
“ร้องไห้แล้วหน้าตาน่าเกลียด”
“ในสายตาคุณ ผมจะทำอะไรก็คงดูน่าเกลียดไปหมดนั่นแหละครับ”
ใบหน้าคมสวยงอง้ำลงเล็กน้อย ในมุมมองของคุณเชาส์ ซึ่งน่าจะไม่ค่อยชอบพอตนสักเท่าไรนัก ไม่ว่าเขาจะทำอะไรอยู่ก็คงจะดูไม่เข้าตาอีกฝ่ายทั้งนั้น....ในขณะที่คู่สนทนาเพียงทอดสายตามองกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเบ้ปากยักไหล่ ท่าทางดูกวนประสาทไม่ใช่น้อย
“อืม สงสัยจะใช่”
ตั้งโอ๋เบะปาก คล้ายอยากจะร้องไห้อีกรอบ ก่อนจะต้องรีบยกมือขึ้นมาบังหน้าตัวเองทันที ยามถูกอีกฝ่ายเอาผ้าถูหน้าถูตาให้อีกครั้งไม่เบาแรงจนหน้าโยก
“โอ๊ย! ผมเจ็บนะครับ!”
“พูดอยู่ว่าร้องไห้แล้วหน้าตาน่าเกลียด ก็ยังจะร้องอยู่ได้”
น้ำเสียงของผู้พูดฟังดูราบเรียบทั้งยังติดรำคาญอยู่หน่อย ๆ ตั้งโอ๋ทำท่าจะอ้าปากเถียง แต่สุดท้ายแล้วก็ได้นิ่งเงียบไป ดวงตาสีอ่อนทอดมองใบหน้าหล่อเหลาของคนอายุมากกว่าอย่างพิจารณา มองไปได้ไม่เท่าไรก็หยุดลงที่ดวงตาสีน้ำทะเลซึ่งเป็เอกลักษณ์...ยิ่งได้มองใกล้ ๆ ก็ยิ่งได้รู้ว่ามันสวยงามมากเพียงใด
เ้าชู้...นั่นคือคำนิยามแรกที่ตั้งโอ๋มอบให้อีกฝ่าย ยามได้มองดวงตาคู่คมตรงหน้า
คิดดูอีกที ก็คงไม่ใช่เื่แปลกอะไรที่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งทั้งดูดี เพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สิน ชื่อเสียงและหน้าที่การงานที่มั่นคงขนาดนี้จะยังอยากใช้ชีวิตให้เต็มที่ และไม่ลงหลักปักฐานกับใครสักที ทั้ง ๆ ที่อายุก็ไม่ใช่น้อย
ถ้าเขาเป็คุณเชาส์ ก็คงจะรู้สึกสนุกสนานไปกับชีวิตแสนสมบูรณ์แบบที่มีอยู่ จนยังไม่อยากมีใครให้รู้สึกเป็พันธะเช่นกัน
ว่าแต่ทำไมตาถึงเป็สีฟ้านะ เป็ลูกครึ่งประเทศอะไร?
“เธอมองพี่นานไปแล้วนะ”
!!!
ประโยคเอ่ยทัก เป็ผลให้คนที่เอาแต่เหม่อสะดุ้งสุดตัว ทั้งใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงเรื่อ ลามไปถึงข้างใบหูด้วยความรู้สึกอับอายที่ถูกจับได้ ครั้นเมื่อตั้งสติได้ ก็รีบเสหน้ามองไปทางอื่น ลนลานเอ่ยปฏิเสธ ทั้งสายตาที่ยังกลอกล่อกแล่กไปมาเต็มไปด้วยพิรุธ
“ขะ ขอโทษครับ...ผมเปล่ามอง”
ชาวินไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใด เพียงมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่เริ่มทำตัวไม่ถูกจนดูตลกไปหมด ตาก็ยังคงแดงก่ำเพราะเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ ทว่ากลับกลอกไปมาอย่างมีพิรุธและลนลานเพราะกำลังโกหกกันคำโต
ร่างสูงแค่นหัวเราะเสียงเบา หยัดกายลุกขึ้นแล้ววางผ้าเช็ดหน้าโปะลงบนใบหน้าของคนที่ยังคงนั่งคุดคู้อยู่ ในขณะที่ตั้งโอ๋รีบดึงผ้าออก ขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองกันอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นชาวินกำลังยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา พลางเอ่ยกับตน
“ร้องไห้เสร็จแล้วก็รีบไปเตรียมตัว...พี่จะเข้าสนามแล้ว”
“...”
คราวนี้คนอายุน้อยกว่าเอียงคอทันทีอย่างไม่เข้าใจ เมื่อทุกอย่างดูกะทันหันไปเสียหมด ชาวินเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนั่งกอดเข่าทำหน้าสงสัย ก็หลุบสายตาลงสบกันอีกครั้งพลางเลิกคิ้วขึ้นถาม เอานิ้วชี้แตะหน้าปัดนาฬิกาประกอบคำพูด
“เหลือเวลาอีกห้านาที หนูจะรีบลุกไหมคะ หรือต้องให้พี่พาไปอาบน้ำ ประแป้ง แต่งเนื้อแต่งตัวให้ด้วย?”
คล้ายกับไม่ใช่การถาม แต่เป็การตั้งใจกวนประสาทกันเสียมากกว่า คราวนี้ตั้งโอ๋หน้างอ รีบยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้แห้ง แล้วลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมของที่จำเป็ด้วยความเร่งรีบ เพื่อให้ทุกอย่างเรียบร้อยภายในระยะเวลาที่กำหนด
…
การเดินทางจากคอนโดมาถึงสนามซ้อมแข่งรถใช้เวลาพอสมควร ตั้งโอ๋ก็นั่งกำสายเข็มขัดนิรภัยแน่นมาตลอดทาง กว่าจะมาถึงที่หมายิญญาก็แทบจะหลุดออกจากร่างไปเสียแล้ว ทันทีที่ร่างสูงมาถึงเขตสนาม คนอื่นในทีมที่มารออยู่ก่อนแล้วก็รีบเดินเข้ามาทักทายทันที ในขณะที่ตั้งโอ๋ซึ่งยังใกับความเร็วบนรถไม่หาย ได้แต่เดินแบกกระเป๋าตามมาอย่างทุลักทุเล
“...”
ทันทีที่เห็นพื้นที่สนามแข่งเบื้องล่าง คนที่ไม่เคยได้ัับรรยากาศแบบนี้ก็พลันดวงตาเป็ประกาย ถนนบนสนามใหญ่มีเส้นทางเคี้ยวคด ทั้งยังมีแต่รอยล้อติดพื้นถนนอยู่เต็มไปหมด เสียงเครื่องยนต์รถที่ปรับแต่งแล้วแผดดังสนั่น กลิ่นควันโขมงลอยแตะจมูก ยามล้อยางรถบดไปกับถนนเป็ทางยาว...ทว่ารถที่อยู่ในสนามเป็รถกระบะ ไม่ใช่รถซูเปอร์คาร์อย่างที่คุณเชาส์ใช้ลงแข่งขัน
แม้จะเพิ่งเริ่มงานได้ไม่นานเท่าไร ทว่าก็มีข้อมูลหลายอย่างเกี่ยวกับเ้านายคนใหม่ที่เขาควรรู้และได้ศึกษาเอาไว้...คุณเชาส์เป็หนึ่งในนักแข่งเซอร์กิต (การแข่งขันรถทางเรียบ) ระดับแนวหน้าของทีม ในทุกการแข่งขัน Super GT (การแข่งขันรถซูเปอร์คาร์) มักจะมีคนนึกถึงชื่อเขาอยู่เสมอ ทว่าข้อมูลที่ลงลึกกว่านี้เขายังไม่รู้มาก
ในแต่ละปีก็จะมีตารางกำหนดชื่อสนามที่ใช้แข่งขันในแต่ละรอบ นักแข่งของแต่ละทีมก็จะลงแข่งขันต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อสะสมคะแนนชิงแชมป์ประจำปี และอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ จะเป็การเปิดประเดิมสนามแรกของปีที่จังหวัดบุรีรัมย์ นั่นจึงเป็เหตุผลที่คุณเชาส์และทีมเริ่มเข้าซ้อมถี่ขึ้น และเคร่งเครียดมากยิ่งขึ้น
“เอ้าไอ้หนู เอาน้ำไปให้คุณเชาส์สิ”
“หนูไม่กล้าอะ คุณเชาส์ตอนจะลงสนามทีไรชอบดุตลอดเลย คนอื่นในทีมก็พอกัน โอ้ยทำไมต้องจริงจังกันขนาดนั้นด้วย”
หญิงสาวอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ ยืนถือเครื่องดื่มพลางบ่นกระปอดกระแปด มองตามแผ่นหลังของนักแข่งลูกครึ่งที่เดินเข้าห้องพักนักแข่งไป มองไปอีกทางก็เป็ทีมช่างและโค้ชซึ่งกำลังมองรถที่วิ่งอยู่ในสนาม พลางพูดคุยปรึกษากันอย่างเอาจริงเอาจัง
ตั้งโอ๋มองท่าทีของหญิงสาวคนดังกล่าวที่ยืนอิดออดคล้ายกลัวที่จะได้เผชิญหน้ากับนักแข่งที่กำลังจริงจัง ลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบน้ำมาถือเพื่ออาสาทำหน้าที่ให้แทน...ในเมื่อเข้ามาทำงานเป็เบ๊จำเป็แล้ว หากไม่ทำหน้าที่ให้ครบถ้วน คงไม่วายถูกอีกฝ่ายค่อนขอดใส่เป็แน่
แม้จะโดนทุกวันอยู่แล้วก็เถอะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณเชาส์ครับ ผมเอาน้ำมาให้”
ริมฝีปากเริ่มขบเม้มเข้าหากันน้อย ๆ เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากคนภายในห้อง ตัดสินใจเคาะเรียกอีกครั้งแต่ก็ยังเป็เหมือนเดิม สุดท้ายแล้วจึงตัดสินใจค่อย ๆ แง้มประตูแล้วชะโงกหน้าเข้าไป เมื่อเห็นว่าโซฟากลางห้องไม่มีคนนั่งอยู่จึงอาศัยโอกาสนี้ค่อย ๆ ย่องเข้าไป หมายจะรีบวางน้ำแล้วรีบเดินออกมาในทันที
“อ้ะ!!”
เพราะเพิ่งเคยเข้ามาเป็ครั้งแรก จึงอาศัยโอกาสนี้ในการกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อสำรวจ จังหวะที่กำลังก้าวเท้าถอยหลัง ดันชนเข้ากับแผงอกของใครบางคนกะทันหันจนใจนแทบจะเสียหลัก เมื่อหันหลังกลับไปมอง จึงพบกับคุณเชาส์ที่อยู่ในชุดนักแข่งเรียบร้อยแล้ว กำลังทอดสายตาเรียบเฉยมองกันอยู่
“ผะ ผมเอาน้ำวางไว้ให้บนโต๊ะนะครับ” เอ่ยพูดตะกุกตะกักด้วยความประหม่า เมื่อต้องเผชิญหน้าคุยกันสองต่อสองทั้งบรรยากาศระหว่างกันที่เงียบผิดปกติ
“อืม”
ชาวินเพียงปรายตามองแล้วพยักหน้า ส่งเสียงแ่เบาในลำคอเป็เชิงรับรู้ ก่อนจะหันกลับมามองกันนิ่ง ๆ อีกครั้ง...คราวนี้ตั้งโอ๋ยิ่งแอบลนลานในใจ เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกอีกฝ่ายปั่นประสาทกันอยู่ผ่านการมองอย่างเงียบ ๆ ราวกับกำลังรอคอยดูว่า ตัวเขาจะทำอะไรต่อไปในสถานการณ์แบบนี้
“...”
ร่างขาวกุมมือตัวเองแล้วแอบบีบแน่น ช้อนสายตาขึ้นมองสบกับคนอายุมากกว่าเป็ระยะก่อนจะเป็ฝ่ายก้มหน้าหลบตากันก่อนทุกครั้ง มองเห็นชุดแข่งของอีกฝ่ายที่ยังรูดซิปขึ้นไปไม่สุด จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้แล้วรูดซิปขึ้นให้อย่างงก ๆ เงิ่น ๆ ทว่ารูดขึ้นมาได้ถึงแค่ตรงอกก็ต้องชะงักไป ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสบกันแล้วขมวดคิ้วเอ่ยพูดบ้าง เมื่อเริ่มจะรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
“มองไปทางอื่นได้ไหมครับ ผมกดดัน...”
“เศร้าขนาดนั้นเลยหรือไง”
คำถามถูกส่งมาให้ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าหากตั้งโอ๋ไม่ได้คิดไปเอง เขาคิดว่าสายตาที่หลุบลงมองกัน แอบแฝงไปด้วยการเยาะเย้ยอยู่ในนั้น ดวงตาเฉี่ยวคมที่เริ่มบวมน้อย ๆ จากการร้องไห้เริ่มฉายแววขุ่นเคือง เงยหน้างอง้ำขึ้นมองกันแล้วอดจะเถียงบ้างไม่ได้
“คุณปลอบคนอื่นไม่เป็ ก็อย่ามาซ้ำเติมกันสิ”
“ใครว่าปลอบไม่เป็”
คราวนี้ชาวินแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งคำ เลิกคิ้วถามกลับบ้าง...ดวงตาสีน้ำทะเลเป็ประกาย คล้ายกับกำลังสนุกสนานไปกับการกลั่นแกล้งคนตรงหน้าเสียเต็มประดา ในขณะเดียวกัน ตั้งโอ๋ก็เริ่มเอียงคอ ทำหน้าฉงน เพราะนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าคนอย่างคุณเชาส์จะปลอบคนอื่นเขาอย่างไร
“ปลอบยังไงครับ”
จังหวะการสนทนาเงียบชั่วคราวเมื่อสิ้นคำถามดังกล่าว ชาวินดุนลิ้นที่ข้างกระพุ้งแก้ม เลียริมฝีปากเบา ๆ ยามทอดสายตามองสบกับคนตรงหน้า ก่อนจะเลิกคิ้วเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับสิ่งที่ตนเพิ่งจะพูดออกมา ไม่ใช่สิ่งที่ฟังดูน่าใแต่อย่างใด
“...จับปี้มั้ง”
“...”
“ยังพอมีเวลาอยู่...ให้ปลอบไหม?”
คราวนี้ตั้งโอ๋เบิกตากว้างทั้งใบหน้าแดงก่ำ ข้างแก้มและใบหูรู้สึกร้อนผ่าวไปหมด เมื่อเริ่มรู้ทันว่าคำว่า ‘ปลอบ’ ที่อีกฝ่ายว่า คงไม่ได้มีความหมายปกติธรรมดาเหมือนคนอื่นเขาแน่ ๆ ...ฝ่ามือใหญ่ค่อย ๆ สอดเข้าใต้เสื้อยืดตัวบางเข้ามาจับกับผิวเนื้อบริเวณบั้นเอวพอดีมือโดยตรง ออกแรงรั้งเข้าหา กระทั่งร่างเพรียวเสียหลักถลาเข้ามา จนร่างกายส่วนหน้าแนบชิดบดเบียด
“เหลือเวลาสี่สิบนาที รีบตัดสินใจหน่อย”
น้ำเสียงทุ้มแหบเอ่ยพูดยั่วเย้า ปลายจมูกโด่งเกลี่ยที่ข้างแก้มขาวแล้วขบกัดติ่งหูนิ่มเพื่อเร่งเอาคำตอบ ตั้งโอ๋เริ่มหายใจหอบ เกาะไหล่กว้างไว้แน่นยามรับรู้ได้ว่าเอวบาง ๆ ของตนกำลังถูกฝ่ามือทั้งสองข้างจับไว้จนแทบรอบ ทั้งยังบีบเคล้นคลึงแรงขึ้นคล้ายมันเขี้ยว จนรู้สึกเสียดเสียวในช่องท้องไปหมด คล้ายกับมีผีเสื้อนับหลายตัวบินวนอยู่ในนั้น
“ผะ ผมยังไม่ได้ล็อคห้อง...อ๊ะ!”
ดวงตาสีอ่อนเบิกกว้างขึ้นด้วยความใ ยามถูกจับอุ้มเข้าเอวกะทันหันเพื่อเดินไปยังหน้าห้อง ก่อนจะถูกจับวางลงให้หันหน้าเข้าหาประตู ได้ยินเสียงผู้คนจอแจอยู่ด้านนอกจนรู้สึกตระหนก ก่อนจะถูกรวบเอวเข้าไปหาอีกครั้ง พร้อมกับน้ำเสียงทุ้มแหบที่ดังกระซิบหลอกล่อกันจากทางด้านหลัง
“ล็อคสิ”
ตั้งโอ๋นึกอยากจะเอามือเขกกะโหลกตัวเองสักหลาย ๆ ที เมื่อแทนที่จะปฏิเสธ กลับเข้าร่วมด้วยการยื่นมือไปกดล็อคห้องตามคำสั่งเสียอย่างนั้น พลันกางเกงยีนที่สวมเอาไว้ถูกอีกฝ่ายปลดออกแล้วดึงลงไปกองอยู่ที่ใต้เนินสะโพก พร้อมกับเรียวนิ้วชุ่มน้ำลายที่วางทาบลงกับร่องเล็กแล้วถูไถไปมา จนเ้าของสะโพกอวบส่ายบั้นท้ายแอ่นเข้าหาอย่างเผลอไผล
“แอ่นสะโพกมาอีกนิดคนเก่ง”
“...”
“ให้พี่ปี้หน่อย เดี๋ยวก็หายเศร้า”
“อื้อ...”
ตั้งโอ๋รีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองทันที ยามเรียวนิ้วยาวถูกกดสอดเข้ามาภายในช่องทางทีเดียวถึงสองนิ้ว ความรู้สึกเจ็บปะปนมาพร้อมกับความรู้สึกเสียดเสียว แม้ว่าภายในห้องจะให้ความรู้สึกเป็ส่วนตัว ทว่าเมื่อรู้ว่าด้านนอกกำลังวุ่นวายกันมากเพียงใด ช่องทางก็ยิ่งตอดรัดแน่น กระทั่งคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังกัดปากด้วยความชอบใจ ฟาดมือลงกับบั้นท้ายอวบเป็การเอาคืน
เพียะ!!
“อ๊ะ!! ระ เร็วสิครับ”
ไม่รู้ว่าเร่งเพราะกลัวถูกจับได้หรือเพราะอะไรกันแน่ เสียงแค่นหัวเราะทุ้มต่ำดังแ่เบาในลำคอ พลางกดสอดนิ้วที่สามเข้าไปแล้วเกี่ยวครูดกับจุดเสียวเข้าพอดีอย่างจงใจ กระทั่งร่างรองรับตัวกระตุก หลุดร้องครางเสียงกระเส่า แล้วส่ายสะโพกไปมาหมายจะหนีัั
“อ๊า!! อื้อ...”
ตั้งโอ๋รีบยกมือปิดปากแน่นเพื่อกลั้นเสียง เมื่อจุดอ่อนไหวภายในถูกท้องนิ้วถูััไปมาไม่ยอมหยุด กระทั่งช่องทางภายในบีบตอดรัดแน่น ถูกความรู้สึกทั้งสุขสมและทรมานเข้าเล่นงานจนแข้งขาสั่นเทาแทบจะทรุดฮวบลงไป พยายามดิ้นหนีหวังให้รู้สึกเสียดเสียวน้อยลง ทว่าบั้นเอวเล็กกลับถูกจับไว้แน่นแล้วกระชากเข้าไปหากระทั่งเรียวนิ้วยาวถูกสอดเข้าไปลึกกว่าเดิม
“อย่าดิ้นสิ...หนูเสร็จพี่อยู่แล้ว ไม่ต้องหนีหรอก”
.
.
.
“ทำไมถึงนานนักล่ะ ทุกคนรออยู่ รีบไปประชุมทีมกันก่อน”
ทันทีที่เปิดประตูออกมา เพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งที่เดินวนไปวนมาเพื่อรออยู่ก่อนแล้วก็รีบเอ่ยพูดทันที พลางกึ่งดึงกึ่งลากชาวินไปยังโต๊ะประชุมซึ่งมีทุกคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ตั้งโอ๋เดินตามออกมา ก่อนจะชะงักไปเมื่อพบกับหญิงสาวคนเดิมยืนยิ้มแป้นให้กันอยู่
“ขอบคุณที่ช่วยนะคะพี่”
สงสัยเธอจะกลัวคุณเชาส์จริง ๆ เพียงแค่เขาอาสาเอาน้ำไปให้แทนก็มายืนรอเพื่อขอบคุณกันเสียยกใหญ่ ชายหนุ่มส่งยิ้มบางให้แล้วเอ่ยตอบรับอย่างยินดี
“อื้อ ไม่เป็ไรครับ”
“ว่าแต่...ทำไมถึงขาสั่นนักล่ะคะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
“...”
สิ้นประโยคเอ่ยทัก ตั้งโอ๋ก็ชะงักนิ่งไปทันทีทั้งใบหน้าแดงก่ำ และดูเหมือนว่าเสียงของผู้ถามจะดังชัดเจนมากพอให้คนที่เดินนำไปก่อนได้ยิน ใบหน้าหล่อเหลาเอี้ยวหันกลับมามองกันเพียงเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันเสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับไป แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนต่อ
พร้อมกับความลับของพวกเขาทั้งสองคนที่ถูกปกปิดไว้อย่างถาวรในห้องนั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้