เถ้าแก่หลิวเดินขึ้นบันไดกลับมาในขณะที่หลินฟู่อินและต้ายากำลังกินขนมถั่วแดงอย่างเอร็ดอร่อย
ไม่รอคำตอบของอีกฝ่าย เถ้าแก่หลิวก็พูดต่ออย่างมีความสุขว่า “เหล่าเถี่ยหยุดหัวเราะไม่ได้เลยตอนเห็นถั่วปากอ้าที่เ้านำมา ช่างถูกเวลาเสียจริง! ซ้ำยังทำมาจากถั่วตากแห้ง เพียงเท่านี้ถั่วปากอ้าสดก็จะมีไม่ขาด และมีขายตลอดฤดูหนาวนี้!”
หลินฟู่อินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม นางคำนวณไว้แล้วว่าการค้าขายนี้จะไม่จบลงในเวลาอันสั้น
“ลุงหลิวกล่าวถูกต้องแล้วเ้าค่ะ ราคาของถั่วปากอ้าตากแห้งทั้งต่ำทั้งไร้ค่า ข้าจึงไม่ได้กำไรจากมันเท่าไร แน่นอนว่าราคาของถั่วปากอ้าสดเช่นนี้ย่อมดีกว่าถั่วปากอ้าตากแห้งหลายเท่าตัว” หลินฟู่อินกล่าวอย่างใจกว้าง
เถ้าแก่หลิวเป็คนมีเหตุมีผล ไมตรีที่สกุลหลิวมีให้กับหลินฟู่อินอย่างแน่นแฟ้นก็ไม่เคยทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจ
“เอาละ! ข้าจะพูดแบบไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน ข้าจะซื้อถั่วปากอ้าสดจากเ้า ปกติข้าก็ทำอาหารจากผักสดขายอยู่แล้ว ราคาของมันจึงไม่ค่อยสูงเท่าไร ข่าวดีก็คือเ้าสามารถขึ้นราคาตามใจได้เลย!”
หลินฟู่อินหัวเราะตาม นี่สินะพ่อค้าหัวธุรกิจที่แท้จริง พวกเขาพร้อมเข้าอกเข้าใจคนอื่น แถมหัวใจของพวกเขายังเปิดกว้างมาก
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวยังไม่ยอมเอ่ยปากเสนอราคา เถ้าแก่หลิวก็กรอกตาเล็กน้อยก่อนตบหน้าอกตัวเองอย่างขึงขัง “เสนอราคามาเถิดฟู่อิน! เถ้าแก่หลิวคนนี้สามารถเจรจาให้เ้าอื่นลดราคาลงได้ ขนาดที่พวกเขาต้องร้องขอชีวิตได้ก็จริง แต่เ้าคือใครล่ะ? เ้าเป็ถึงดาวนำโชคแห่งภัตตาคารหลิวจี้ของเรา ไม่ว่าเ้าจะเสนอมาเท่าไร ข้าก็ขอสู้ราคาสุดใจ!”
“ดูท่านพูดเข้าสิ” หลินฟู่อินยิ้มกว้าง ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาสี่นิ้วขณะจ้องไปยังลุงหลิวของนาง “หนึ่งจินห้าอีแปะเ้าค่ะ"
ชายชราแอบใเล็กน้อย เขาคิดเอาไว้ว่าหลินฟู่อินจะเสนอมาสักสิบอีแปะ ไม่คิดเลยว่าเด็กสาวจะเสนอราคาน้อยกว่าครึ่งเช่นนี้
คิ้วหนาขมวดแน่นก่อนกล่าวอย่างลังเลเล็กน้อย “ฟู่อิน เ้าไม่เสนอราคาต่ำเกินไปหรือ?”
แม้ว่าเขาจะเป็พ่อค้าหัวธุรกิจที่มักจะเสียน้อยได้มาก แต่เมื่อตั้งใจที่จะขายเมนูถั่วปากอ้านี้แล้ว แค่นำมาผัดกับผักธรรมดาก็คงขายได้กำไรมากกว่าสองอีแปะ!
แถมอาหารยังทำให้อิ่มท้องทั้งๆ ที่ใช้ถั่วปากอ้าแค่หนึ่งจินเท่านั้น!
เห็นมีคนดีใจเพราะได้ของถูก หลินฟู่อินก็มีความสุข ต้ายาเองก็เช่นกัน
เด็กสาวทั้งสองหัวเราะร่า
“ไม่เอาน่า” ชายชราเห็นสองสาวหัวเราะ ก็รู้ตัวว่าตนคงดีใจเกินหน้าเกินตาไปหน่อยเลยอดหัวเราะด้วยไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ฟู่อิน ข้าจะไม่ปิดบังเ้าก็แล้วกัน หากข้าใช้ถั่วปากอ้ามาทำอาหาร ข้าจะมีรายได้อย่างน้อยๆ เท่านี้ต่อหนึ่งจาน”
เถ้าแก่หลิวยกนิ้วขึ้นมาบอกจำนวน
หลินฟู่อินเข้าใจว่าเขาจะได้กำไรอย่างน้อยหนึ่งหรือสองอีแปะ หากคงกำไรไว้ได้เท่านี้ แล้วยังขายดีเป็เทน้ำเทท่า เถ้าแก่หลิวย่อมมีรายได้มหาศาลอย่างแน่นอน
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดคราวก่อนที่นางแนะนำรายการอาหารให้เถ้าแก่หลิว เขาจึงมอบซองแดงใส่เงินกว่าหนึ่งตำลึงเงินให้
หากถั่วปากอ้าสดเริ่มกระจายไปยังภัตตาคารอื่นผ่านมือของหลิวฉิน พวกเขาก็จะทำรายได้ได้มหาศาลด้วยเช่นกัน
และนี่คือราคาที่หลินฟู่อินคำนวณไว้
นางใช้เวลาคิดมานานมากสำหรับฤดูกาลนี้ และนางก็ไม่จำเป็ต้องกังวลเกี่ยวกับการส่งขายถั่วปากอ้าอีกต่อไป
เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวปีหน้าชาวบ้านก็จะขึ้นราคาผลผลิตของพวกเขาได้เช่นกัน
หลินฟู่อินคิดได้เช่นนั้นจึงถามลองเชิงเถ้าแก่หลิว “ลุงหลิวเ้าคะ ท่านว่าข้าควรเสนอราคาเท่าไรถึงจะดี”
เถ้าแก่หลิวคิดให้กับหลินฟู่อินอย่างจริงจัง “ตามความคิดของข้า ถั่วปากอ้าของเ้าจะขายได้ดีในฤดูกาลนี้ แถมยังเป็เ้าแรกที่เร่ขาย ข้าแนะนำให้เ้าขึ้นราคาสูงขึ้นไปอีก สักสามสิบอีแปะ”
“เดี๋ยว…!” หลินฟู่อินสำลักชาในมือทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นางถามเถ้าแก่หลิวให้แน่ใจอีกทีว่า “สามสิบอีแปะ?”
เมื่อเห็นเด็กสาวตะลึง เถ้าแก่หลิวก็เลิกคิ้วอย่างภูมิใจ “ใช่แล้ว สามสิบอีแปะ เ้าลองคิดดู ตอนนี้เ้าคือคนแรกที่ขาย ราคาก็ย่อมสูงเป็ธรรมดา แต่หากมีคนรู้วิธีการทำถั่วปากอ้าสดเช่นนี้ขึ้นมา ถั่วปากอ้าสดก็จะมีขายอย่างแพร่หลายมากขึ้น และตอนนั้นราคาในตลาดก็จะถูกลง เ้าเองก็สามารถปรับราคาขายของเ้าได้เช่นกัน”
ฟังดูสมเหตุสมผลยิ่งนัก หลินฟู่อินคิดตามอย่างละเอียด นางเองก็อยากเข้าใจกลยุทธ์การค้าขายเช่นกัน
จิ้งจอกเฒ่าหลิวแอบกลัวเช่นกันว่าลูกค้าบางคนจะโวยวายเื่ราคาถั่วปากอ้าที่สูงเกินไป เขาจึงจงใจตั้งราคาซื้อวัตถุดิบจากหลินฟู่อินให้สูงไว้ก่อน
หากมีลูกค้าหน้าเก่าหน้าใหม่คนใดบ่น เขาก็จะอ้างว่าเป็เพราะแม่ค้าขายวัตุดิบต้นทุนสูงมาให้
นอกจากนี้ การให้ราคาที่สูงยังทำให้หลินฟู่อินชื่นชมเขามากยิ่งขึ้น
แม้ว่าหลังจากนี้จะมีคนขายถั่วปากอ้าสดมากขึ้น ราคาอาจต่ำลงตามกลไลตลาด ยอดขายแต่ละภัตตาคารก็คงลดลงเช่นกัน แต่กว่าจะถึงตอนนั้นเม็ดเงินที่ได้มาก็มหาศาลแล้ว
นี่สิ ปาหินก้อนเดียวก็ได้นกสามตัว
“แต่ไม่ต้องกังวลไป ฟู่อิน ต่อให้ราคาถั่วปากอ้าจะตกลงแค่ไหนในวันหน้า ข้าว่าก็ไม่น้อยกว่าสิบอีแปะแน่นอน เพราะอย่างไรในฤดูหนาวเช่นนี้ก็ยังหาผักสดๆ ได้ยากอยู่ดี” เถ้าแก่หลิวรู้สึกอับจนหนทาง
หลิวฟู่อินพยักหน้าเห็นด้วย “ลุงหลิวเ้าคะ อีกสองสามวันข้าจะนำผักมาให้ท่านอีก ข้าว่าลุงหลิวต้องถูกใจอย่างแน่นอน”
ชายชราอารมณ์ดียิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เขารู้ดีว่าทุกครั้งที่หลินฟู่อินเอ่ยปาก นางไม่เคยผิดคำพูดสักครั้ง เขาไม่ต้องกังวลเลยว่าจะไม่ได้เห็นผักสดๆ อีก
“เอาละ สามสิบอีแปะต่อถั่วปากอ้าหนึ่งจิน” เถ้าแก่หลิวพูดพลางหยิบลูกคิดขึ้นมาดีดอย่างคล่องแคล่ว “ทั้งหมดสี่สิบสามจินรวมเป็หนึ่งพันสองร้อยเก้าสิบอีแปะ คิดเป็สิบสามตำลึงเงิน ถูกหรือไม่ฟู่อิน?”
“ข้าเอาเปรียบลุงหลิวเกินไปแล้ว” หลินฟู่อินยิ้มขอบคุณ เถ้าแก่หลิวมีน้ำใจเพิ่มเงินให้นาง จากสี่อีแปะต่อหนึ่งจินเป็สามสิบอีแปะ จากหนึ่งพันสองร้อยเก้าสิบอีแปะเป็หนึ่งพันสามร้อยอีแปะ เท่านี้ก็นับว่าเป็การเอาเปรียบอีกฝ่ายแล้ว
เถ้าแก่หลิวหัวเราะ “ยังพูดเช่นนี้อยู่อีก เงินแค่นี้เองฟู่อิน”
จากนั้นมือหนาก็หยิบซองแดงจากแขนเสื้อมอบให้นาง “เมื่อครู่เ้ายังแนะนำอาหารที่สามารถใช้ถั่วปากอ้าสดปรุงให้กับพ่อครัวของข้าอีก เ้ารับน้ำใจนี่ไว้เถิด อาจไม่มากเท่าไรนัก”
หลินฟู่อินรับไว้ด้วยรอยยิ้ม นางเข้าใจกฎของกิจการร้านอาหารดี ตราบใดที่ผู้คนยังยอมซื้อ พวกเขาย่อมยินดีจ่าย
เมื่อรับซองแดงมาไว้ในมือ นั่นหมายความว่าไม่ว่าภัตตาคารจะขายดีขนาดไหนในอนาคตก็ไม่ใช่ธุระอะไรของนางแล้ว
หลินฟู่อินย่อมไม่สนเื่นั้น
สิ่งที่เถ้าแก่หลิวพูด ใช่ว่านางจะรู้อะไรมากมาย นางเพียงแนะนำชื่อตำรับอาหาร ไม่ได้ลงมือสอนปรมาจารย์เถี่ยด้วยซ้ำ
ความจริงนางยังมีอีกหลายรายการที่เก็บเงียบไว้ แต่ต่อให้มีคนมาขอร้องให้สอน นางก็ขอปฏิเสธ
ปล่อยให้ปรมาจารย์เถี่ยคิดค้นด้วยตัวเองแล้วกัน
อยู่ๆ หลินฟู่อินก็นึกถึงคนส่งอาหารขึ้นมา “ลุงหลิว เื่คนส่งอาหารเป็อย่างไรบ้างเ้าคะ?”
เมื่อได้ยินคำถามเื่นี้ เถ้าแก่หลิวก็ยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วพูดว่า “ข้าเพิ่งเริ่มส่งอาหารได้พักหนึ่ง มีลูกค้าสามเ้าสั่งอาหารมื้อเย็นพร้อมกันในวันเดียว ข้าจึงจัดคนไปส่งตามนั้น แน่นอนว่าอาหารทั้งหมดยังร้อนอยู่ แม้ว่าผักบางชนิดจะออกสีเหลืองไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนดูดี ลูกค้าค่อนข้างพอใจ ส่วนกำไรนั้น แม้จะได้น้อยแต่ถือว่าไม่ขาดทุน”
“ดีจังเลยเ้าค่ะ ยังไม่ทันเข้าฤดูหนาว แต่กลับขายได้สามมื้อต่อวันแล้ว” หลินฟู่อินกล่าว
เถ้าแก่หลิวยิ้มรับ “อ้อ เมื่อวานนี้มีลูกค้าสั่งอาหารเข้ามาอีกสิบคนด้วยกัน บางคนก็สั่งทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ส่วนวันนี้ก็มีสั่งเข้ามาอีกแปด แถมแต่ละคนยังสั่งหลากหลายรายการทั้งนั้น ข้าว่ากลยุทธ์นี้ถือว่าสำเร็จแล้ว!”
เถ้าแก่หลิวยกนิ้วโป้งแสดงถึงความพึงพอใจ
หลินฟู่อินโล่งใจก่อนจะถามถึงคนส่งอาหารทั้งสามที่นางแนะนำ
เถ้าแก่หลิวหัวเราะ “ไม่ต้องห่วงไปฟู่อิน พวกเขาทั้งเก่งทั้งสู้งาน ติดตรงที่พวกเขาดูไม่สะอาดสะอ้านเท่าไร” พูดแล้วก็กลัวอีกฝ่ายจะกังวล ชายชราจึงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “ไว้ข้าจะให้คนไปซื้อเสื้อผ้ามาให้พวกเขาใหม่ แค่นั้นก็คงดูดีแล้ว”
หลินฟู่อินโล่งใจขึ้นกว่าเดิม “รบกวนลุงหลิวมากแล้ว”
“ไม่ต้องพูดเื่นี้แล้ว” เถ้าแก่หลิวมอบรอยยิ้มแทนคำตอบ ก่อนพูดคุยกับหลินฟู่อินอีกสองสามคำ เด็กสาวก็บอกลา
เถ้าแก่หลิวเองก็มีธุระต้องจัดการอีกมากเช่นกัน ชายชราไม่คิดรั้งและลุกขึ้นส่งเด็กสาวแต่โดยดี
ก่อนหลินฟู่อินและต้ายาเดินทางกลับ เถ้าแก่หลิวไม่ลืมห่อขนมของปรมาจารย์เถี่ยให้เด็กสาวนำติดตัวกลับไปเช่นเคย
เด็กสาวหยิบเงินตำลึงออกมาจากถุงเงิน ใบหน้าสวยเผยรอยยิ้มพลางครุ่นคิด ก่อนใส่เงินลงไปในถุงเพิ่มสิบสองอีแปะกับสามตำลึงเงิน
อย่าลืมว่ายังมีซองอั่งเปาอีก
แม้แต่นางเองก็ไม่คาดคิดว่าถั่วปากอ้าสดจะราคาดีเช่นนี้ นึกย้อนไปถึงตอนที่ต้องตากถั่ว ปอกเปลือกในห้องเครื่องวันนี้ หลินฟู่อินรู้สึกว่าคุ้มค่าเหนื่อยจริงๆ
ต้ายาที่อยู่ข้างกายหลินฟู่อินเองก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน ั้แ่ได้ยินเถ้าแก่หลิวพูดถึงเงินสามสิบอีแปะต่อหนึ่งจิน นางก็ได้แต่เงียบกริบพูดอะไรไม่ออกสักคำเดียว
ต้ายานิ่งอึ้งไปแล้ว
ใครจะไปรู้ว่าถั่วปากอ้าสดจะมีค่ามากขนาดนี้
นางจำได้ว่าตอนที่หลินฟู่อินริเริ่มทำถั่วปากอ้าสดนี้ครั้งแรก นางแบ่งบางส่วนให้ที่บ้านลองชิม แถมบอกวิธีการทำไปแล้วเช่นกัน
แม่ของต้ายาอยากร่วมกิจการกับหลินฟู่อิน ทว่าท่านย่ากลับค้านหัวชนฝา
หากท่านย่ายอมเชื่อท่านแม่ตอนนั้น พวกเขาก็คงขายถั่วปากอ้าได้กำไรสูงกว่าสามสิบอีแปะเช่นวันนี้ใช่หรือไม่?
แถมมิตรไมตรีระหว่างหลินฟู่อินและภัตตาคารหลิวจี้ยังแน่นแฟ้น ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะทำมาค้าขายไม่ได้
หากพวกเขาขายถั่วปากอ้าสดตามหลินฟู่อิน ที่บ้านก็คงได้แบกกระสอบถั่วกันสบายๆ แต่ได้เงินตอบแทนกลับหลายสิบตำลึงเงิน
หากเป็เช่นนั้น ครอบครัวของนางก็คงได้ออมแรงออมเงินตลอดทั้งปี
ยิ่งต้ายาคิดมากเท่าไร นางก็รู้สึกเวทนาตัวเองมากขึ้นเท่านั้น แต่นางทำอะไรไม่ได้นอกจากกรีดร้องออกมาดังๆ
หลินฟู่อินไม่ได้สังเกตสีหน้าท่าทางของสหายข้างกาย ตอนนี้นางคิดแค่ว่าหากถั่วปากอ้าสดสามารถทำราคาได้สูงถึงสามสิบอีแปะ ถั่วเขียวถั่วงอกของนางย่อมทำกำไรได้ดีไม่ต่างกัน
กล่าวว่าฤดูหนาวนี้ นางสามารถหาเงินได้มากเกินกว่าที่คาดไว้
หรือนางจะลงทุนซื้อร้านค้าในเมืองชิงหยางเพิ่มดี?
หรือนางจะซื้อที่ดิน แล้วกลายเป็เ้าของที่ดินั้แ่อายุยังน้อย?
แต่เมื่อคิดให้รอบคอบอีกครั้ง ซื้อที่ในเมืองชิงหยางอาจฟังดูดี แต่นางมีทั้งบ้าน ทั้งร้านค้าอีกสองแห่ง จำเป็จะต้องซื้อเพิ่มอีกหรือ?
อาจดีกว่าหากนางเก็บเงินไว้เพื่อซื้อร้านค้าในเมืองชิงเหลียนที่ทำเลดีกว่ามาก
หลังจากแวะชิงหยางครั้งนี้ นางตระหนักว่าเศรษฐกิจในชิงหยางค่อนข้างรุ่งเรือง เห็นแววพัฒนาใหญ่โตเป็มณฑลหนึ่งก็ย่อมได้
แต่หากนางคิดอยู่ชิงหยางไปตลอดชีวิต นางจะสืบหาสาเหตุการตายของผู้เป็มารดาได้อย่างไร?
อยู่ๆ ดวงตาของหลินฟู่อินก็หม่นหมอง ทำเอาต้ายาที่สังเกตเห็นใ
“ฟู่อิน เกิดอะไรขึ้น? ได้เงินมามากขนาดนี้เ้ายังไม่มีความสุขอีกงั้นหรือ?” ต้ายาถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่คิดเื่น่าปวดหัวเล็กน้อย” หลินฟู่อินปากไม่ตรงกับใจ ก่อนยื่นเงินตำลึงให้อีกฝ่าย “เอ้า นี่ค่าเหนื่อยของเ้าในวันนี้ แต่เ้าต้องเก็บไว้ให้ดี อย่าบอกใครเด็ดขาด”
เด็กสาวก้มมองเงินในมือด้วยความงุนงง หากจำไม่ผิดที่คือเงินที่หลินฟู่อินได้รับมาจากเถ้าแก่หลิวใช่หรือไม่?
ว่าแต่… นี่หลินฟู่อินให้นางมากถึงหนึ่งตำลึงเงินเชียวหรือ?
โอ ์…
ต้ายาแทบเป็ลมล้มพับขณะจ้องเข้าไปในดวงตากลมโตของเด็กสาวตรงหน้า
“เก็บไว้เถิด ข้าเคยบอกเ้าแล้วว่าบ้านของสตรีจะไม่เป็บ้านหากไร้เงินทอง เ้าจะมั่นใจได้ก็ต่อเมื่อมีเงินเท่านั้น” หลินฟู่อินยัดเงินใส่มือต้ายาพลางหัวเราะ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่บอกบ้านเ้าเื่เงินส่วนนี้ แสร้งว่าเ้าได้ค่าแรงตามเดิมก็แล้วกัน”
ไม่ใช่แค่เพราะต้ายาช่วยหามกระสอบถั่วปากอ้าไปยังภัตตาคารหลิวจี้ แต่เป็เพราะนางทำงานหนัก และพูดถึงภูมิหลังของเ้าของร่างเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ
แม้ว่าต้ายาจะมีนิสัยไม่ค่อยระมัดระวังเท่าไรนัก แต่หลินฟู่อินก็สบายใจที่จะอยู่ด้วย อีกทั้งนางยังเป็เพื่อนที่ไว้ใจได้ที่สุดของเ้าของร่าง นางจึงพร้อมตอบแทนให้อย่างเต็มใจ
หลังกลับจากภัตตาคาร ต้ายายังคงดึงดันจะกลับไปทำงานปอกเปลือกถั่วปากอ้าเช่นเคย หลินฟู่อินมองไปเห็นเหล่าครอบครัวอาสาทำงานอย่างขยันขันแข็ง นางก็พยักหน้าแล้วยิ้มด้วยความพึงพอใจ
หลินฟู่อินวางขนมสองห่อที่เหลือจากภัตตาคารหลิวจี้เอาไว้ให้ทุกคนได้กิน ส่วนอีกสองห่อนางตั้งใจเก็บกลับไปที่บ้านหลังใหม่ในเมือง
กลับมาครั้งนี้นางไม่ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับหวงฝู่จินแม้แต่น้อย นางรู้ว่าพวกเขาไม่จำเป็ต้องกังวลเื่ของนาง แต่เป็ตัวนางเองนี่แหละที่อยากรู้เกี่ยวกับเขา
ที่กลับมาบ้านฝั่งนี้ ก็เพราะอยากรู้ว่าหวงฝู่จินกลับมาแล้วหรือยัง
มือสวยหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูแล้วพบว่าลานหน้าบ้านนั้นว่างเปล่า
ก้าวเข้าไปในห้องก็เงียบเหงาไม่ต่างกัน ครั้นความผิดหวังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีลูกท้อของนางเล็กน้อย
หลินฟู่อินเดินออกจากบ้านก่อนลงกลอนประตูให้เรียบร้อยเช่นเดิม แล้วเตรียมกลับหมู่บ้านหูลู่ด้วยเกวียนเทียมลา
“ฟู่อิน เ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย” หลี่อี้ก้าวเท้าเข้ามาหาอย่างเร่งรีบ ชายหนุ่มสวมชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนดูหรูหรา
เมื่อเห็นว่าเป็ใคร หลินฟู่อินจึงรีบก้มศีรษะทักทาย “พี่หลี่อี้ เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่? มีเื่อะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ?”
หลี่อี้มองเด็กสาวอย่างจริงจังก่อนจะฉีกยิ้ม “ข้ามาที่นี่เพื่อขอบคุณ! ท่านลุงแปดบอกข้ากับท่านอาเล็กว่าวันนั้นที่ชิงเหลียนเกิดเื่อันตรายกับท่านอาหญิง หากไม่ใช่เพราะเ้ากับอาสะใภ้เล็กร่วมมือกัน ท่านอาเล็กกับน้องชายข้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น”
ขณะหลี่อี้พูด หลินฟู่อินััได้ว่ามีความกลัวแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น
ลุงแปด อาเล็ก อาสะใภ้เล็ก อาหญิง และน้องชาย
ดูเหมือนว่าหลี่อี้จะยอมรับกลายๆ แล้วว่าเขาคือลูกหลานตระกูลหลี่
แม้ว่าหลินฟู่อินจะคาดเดาเอาไว้แล้ว แต่หลี่อี้ก็ไม่เคยแนะนำตัวอย่างเป็ทางการกับนางสักครั้ง นี่จึงเป็สาเหตุที่นางไม่เคยรู้มาก่อน
แต่อยู่ๆ อีกฝ่ายกลับมาบอกเช่นนี้ นับเป็เื่ที่หลินฟู่อินไม่คาดคิดและไม่เคยคาดหวังมาก่อน
“ฟู่อิน เ้ายุ่งอยู่หรือไม่?” ใบหน้าของชายหนุ่มแดงระเรื่อ
หลินฟู่อินสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าแดงจนแปลกไป แต่ก็พยักหน้ารับเพราะไม่คิดอะไรมาก “ข้าไม่มีธุระอะไรที่นี่แล้ว ข้าว่าจะกลับหมู่บ้านหูลู่”
หลี่อี้อุทานตอบรับ “โอ้” ชายหนุ่มเงยหน้ามองฟ้าแล้วพูดว่า “นี่ก็ยังไม่ค่ำมืด ข้าจะขอเชิญเ้าไปหอพระจันทร์เพื่อดื่มน้ำชาและอ่านหนังสือกันสักหน่อย”
หอพระจันทร์คือสถานที่ที่สามารถอ่านหนังสือและดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรีได้
สถานรื่นเริงของต้าเว่ย ผู้คนมักรู้จักในชื่อโรงงิ้ว
ไม่ว่าจะเป็บุรุษ สตรี หรือเด็กก็สามารถมาเที่ยวเล่นได้ มันเป็สถานที่สำหรับใช้เวลาว่าง ราคาค้าขายก็จับต้องได้ เรียกได้ว่าเป็ที่ที่มีคนจนและคนรวยมารวมตัวกัน ไม่แปลกที่จะเป็ที่นิยมของผู้ที่มีงบน้อยแต่เพรียกหาความบันเทิง
หนุ่มสาวทั่วหล้านิยมมาเที่ยวเล่นที่นี่เช่นกัน เพราะไม่จำกัดว่าจะเป็บุรุษหรือสตรี ทุกคนสามารถเข้าออกได้ตามใจ เพราะการอ่านหนังสือและฟังดนตรีไม่ใช่เื่ผิดขนบธรรมเนียมประเพณี
นอกจากนี้ยังเป็สถานที่เปิดโล่ง นอกจากผู้คนจะมารวมตัวกันเพื่อจิบชา ดื่มด่ำดนตรี และอ่านหนังสือแล้วนั้น ยังมีผู้แสดงความสามารถหลากหลาย
ปัญหาก็คือ ณ ที่แห่งนี้มีผู้ใดมีความกล้าจะแสดงออกมาหรือไม่?
หลี่อี้แสร้งชวนหลินฟู่อินไปเพื่อดื่มชาและอ่านหนังสือ แต่แท้จริงแล้วเขาไปเพื่อปรับความเข้าใจ เพราะกลัวว่าหลินฟู่อินจะเข้าใจเขาผิดใหญ่หลวง เขา้าคุยกับหลินฟู่อินอย่างตรงไปตรงมา และไม่มีที่ไหนเหมาะไปมากกว่าที่นี่อีกแล้ว
ต่างกับหลินฟู่อินที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของหอพระจันทร์แห่งนี้มาก่อน
แค่ได้ยินชื่อก็รู้สึกว่าเป็สถานที่ที่หรูหราอยู่พอสมควร “คือโรงน้ำชาหรือ?”
คุณชายหลี่ได้ยินดังนั้นก็รู้ทันทีว่าเด็กสาวไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหอพระจันทร์เลยสักนิดเดียว เขายกมือหนาแตะริมฝีปากและกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มิใช่โรงน้ำชา หากแต่เป็โรงมหรสพ”
“มหรสพ?” หลินฟู่อินทวนคำเสียงสูง บ่งบอกได้ชัดเจนว่านางไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง
เหตุใดถึงเรียกว่าโรงมหรสพ? แต่ยังฟังดูเป็สถานที่ที่สวยงามเช่นนั้น?
“แค่ไปดื่มชาและอ่านหนังสือเช่นนั้นหรือ?” หลินฟู่อินมองหลี่อี้อย่างสงบ นางรู้สึกว่าชื่อเรียกทั้งสองไม่ใช่ชื่อที่ดี คลับคล้ายว่านางเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง
แต่ไม่ว่าจะพยายามคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกสักที
“ย่อมมีทั้งคนดื่มด่ำดนตรี ทั้งคนชมงิ้ว ที่นั่นมีคณะงิ้วแสดงด้วยนะ” หลี่อี้ตั้งใจอธิบาย “ถึงอย่างนั้นก็แล้วแต่ดวงของเ้าว่าจะได้เจอคณะงิ้วที่ว่าหรือไม่”
คณะงิ้ว?
หลินฟู่อินนึกออกทันทีที่ได้ยินคำนี้
โรงงิ้ว…
ต้าเว่ยแห่งนี้มีโรงงิ้วอย่างนั้นหรือ?
ชาติที่แล้วนางหลงใหลในการดูงิ้ว! โดยเฉพาะงิ้วเยว่และงิ้วคุนฉวี่
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าโรงงิ้วคือแหล่งรื่นรมย์ในเมืองใหญ่โบราณ กลายเป็เกิดคำด่าหยาบคายขึ้นมาจากความเข้าใจผิด
ยกตัวอย่างเช่น การถูกด่าว่าเป็หญิงโรงงิ้ว ซึ่งหลินฟู่อินเองก็รู้สึกรังเกียจเช่นเดียวกัน
หลังจากเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าหอพระจันทร์ที่ว่านั้นคืออะไร หลินฟู่อินก็หยักหน้าตกลง นางไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆ ว่าในเมืองชิงหยางจะมีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย
เท่าที่นางรู้ โรงงิ้วจะตั้งอยู่ในเมืองใหญ่เท่านั้น
ทีนี้ก็จะได้เห็นกับตาตัวเองสักที
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้