ธุรกิจร้านเครื่องหอมดำเนินไปตามปกติ ลูกค้าค่อนข้างคงที่ ส่วนใหญ่เป็คนรับใช้ของจวนตระกูลคนร่ำรวยและคนหน้าใหม่ๆ
ขณะนั้นเวินซีนั่งอยู่ที่โต๊ะบัญชี ในที่สุดก็มีเวลาว่างและมีโอกาสได้นั่งทำบัญชี ส่วนจ้าวต้านตัวติดนางมาก นั่งอยู่ข้างกายมิยอมห่างไปไกลเลย
“่นี้ไม่มีรายได้เพิ่มขึ้นเลย คงจะต้องออกสินค้าใหม่แล้วล่ะ”
หลังจากตรวจสอบว่าบัญชีถูกต้องแล้ว นางก็นำสมุนไพรออกมาจากลิ้นชักด้านหลัง แล้วนำมาบดช้าๆ ส่วนจ้าวต้านช่วยเหลืออันใดมิได้ จึงทำได้เพียงมองดู
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ทันใดนั้นจ่างกุ้ยที่ดูลูกค้าอยู่ก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างกระตือรือร้น
“คุณหนูเวินซี ข้าเห็นว่าทุกคนกำลังไปที่จวนตระกูลเวิน ดูเหมือนว่าจะมีเื่ใหญ่เกิดขึ้น เราจะไปดูหรือไม่ขอรับ?” เขามีสีหน้ารีบร้อน
เวินซีหันออกไปมองที่ด้านนอกประตูเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าเป็อย่างที่จ่างกุ้ยบอกจริงๆ ทุกคนพากันเดินไปทางจวนตระกูลเวิน
ตระกูลเวินทำเื่อันใดอีก?
นางขมวดคิ้ว วางโม่บดยาลงพลันเดินออกไปทางประตู
ผู้คนที่เดินไปจวนตระกูลเวินมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดที่ร้านค้าที่อยู่รอบๆ ร้านเครื่องหอมปิดร้านและเดินตามฝูงชน
เวินซีเอื้อมมือไปสกัดสตรีที่อุ้มเด็กคนหนึ่ง “ประทานโทษเ้าค่ะ มีเื่อันใดเกิดขึ้นหรือ? เหตุใดจึงได้เดินตามกันไปที่เดียวกันเ้าคะ?”
สตรีผู้นั้นเหลือบมองเวินซีพลางมองตามกลุ่มคนก็เอ่ยปากพูด
“เ้ามิรู้หรือ? คนตระกูลโจวนำศพฮูหยินใหญ่เวินไปถามความที่ตระกูลเวิน ยามนี้พวกเขาอาละวาดอยู่ที่หน้าประตูจวนนู้น น่าสนุกเชียวล่ะ”
“ร้านของเ้า...ปิดไปก่อนเถิด คนเกือบครึ่งเมืองก็ไปดูเหตุการณ์ที่หน้าประตูจวนกันหมด เปิดร้านไปก็ไม่มีผู้ใดซื้อของหรอก ไปดูด้วยกันดีกว่า”
“หากพลาดเื่ในวันนี้ต้องเสียใจภายหลังแน่ ข้าไปก่อนล่ะ เดี๋ยวข้าจะไม่มีที่ยืนดู”
หลังจากที่สตรีนางนั้นพูดจบก็กอดลูกของตนแน่น พลันรีบเดินไปทางจวนตระกูลเวิน
“จะไปหรือไม่?” คำพูดของสตรีผู้นั้นเข้าหูจ้าวต้าน เขาจึงเอ่ยปากถาม
ตระกูลโจวเป็ตระกูลเดิมของฮูหยินใหญ่เวิน นางเป็ที่รักใคร่เอ็นดูของพวกเขาจนกระทั่งแต่งงานออกไป แต่ยามนี้นางกลับต้องตายไปอย่างกะทันหัน ทั้งยังไม่มีคนมารับศพ เกรงว่าหากตระกูลโจวไม่อาละวาดจนฟ้าถล่มดินทลายก็คงจะไม่กลับไปง่ายๆ แน่
เื่สนุกครั้งนี้ เวินซีเองก็ตั้งตารออยู่เช่นกัน
“ไปสิ เหตุใดจะไม่ไปล่ะ ไปกันให้หมดนี่ล่ะ จ่างกุ้ย ปิดประตูร้านเถิด”
“ขอรับ” จ่างกุ้ยรีบปิดประตู
ทั้งสามคนจึงเข้าไปในฝูงชน และตรงไปที่จวน
ณ จวนตระกูลเวิน
เพราะว่าประตูยังปิดแน่น ศพของฮูหยินใหญ่เวินจึงถูกวางไว้ที่หน้าประตู เหล่าญาติที่เป็สตรีคุกเข่าอยู่ข้างศพ ร้องไห้ระงมเสียงดัง และเอาแต่พูดว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรมกับนาง
ส่วนผู้ที่เป็บุรุษก็เคาะประตูจวนอย่างต่อเนื่องจนมันโอนเอน แต่กลับไม่มีวี่แววว่าผู้ใดจะออกมาเปิด
จวนประตูเวินราวกับเป็บ้านร้าง ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
“ลูกข้า ข้าเคยบอกเ้าแล้วมิให้แต่งงานกับเวินอวิ๋นโป เ้าก็มิฟัง คิดดึงดันท่าเดียว ดูสิว่ายามนี้เ้าไม่มีคนมารับศพ ต้องกลายเป็ผีเร่ร่อน”
“ไอ้เต่าหดหัวเวินอวิ๋นโป หลบอยู่ในจวนมิยอมออกมา หากิญญาเ้าอยู่ที่นี่ก็ไปพาเขาออกมา ให้เขาไปชดใช้ให้เ้า ให้แม่ได้ระบายความโกรธเสียบ้าง”
“เวินอวิ๋นโป ออกมาเดี๋ยวนี้ บุตรสาวข้าทำผิดจริง แต่นางได้ชดใช้ด้วยชีวิตแล้ว เหตุใดเ้าจึงทิ้งนางไว้ที่ปากทางตลาด? บุตรสาวข้าแต่งงานกับเ้าหลายสิบปี เหตุใดเ้าถึงทำกับนางเช่นนี้?”
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวซึ่งเป็มารดาของฮูหยินใหญ่เวินนั้นมีผมหงอกเต็มหัว นางตัวสั่นขณะก้าวเดิน แต่เสียงร้องไห้ของนางมิได้เบาลงเลย กลับดังทะลุกำแพงไปหลายชั้น
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างพากันพูดไปต่างๆ นานาว่าคนตระกูลเวินโเี้ไร้จิตใจ พูดว่าฮูหยินใหญ่เวินน่าสงสาร ในขณะที่เวินซีที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาเพียงแย้มริมฝีปาก นางมองดูสถานการณ์อย่างมีความสุข
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวอาละวาดเช่นนี้ ชื่อเสียงของตระกูลเวินจะพังยับเยินก็ครานี้
“ร้อง ร้องออกมา ร้องให้ดังกว่านี้ ตอนที่นางอยู่ที่ตระกูลโจว บุตรสาวข้าดีต่อพวกเ้ามิน้อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวพูดเช่นนั้นกับเหล่าญาติที่เป็สตรี พวกนางจึงร้องไห้เสียงดังขึ้นอีก
ในจวนตระกูลเวิน เวินอวิ๋นโปที่แกล้งล้มป่วยคิดจะให้เื่นี้ผ่านไปเงียบๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ก็นอนไม่ติด เขาจึงรีบเดินออกมาจากห้อง
เขา้าตัดความสัมพันธ์กับฮูหยินใหญ่เวินเพื่อแสดงถึงความโกรธเคืองที่มีต่อเื่นี้ แต่ไม่คิดเลยว่าตระกูลโจวจะมาด้วยเหตุนี้ และอาละวาดที่หน้าประตูจวนอีก
เื่นี้ใช่ว่าเขาโเี้ แต่สิ่งที่ฮูหยินใหญ่เวินกระทำทำให้เขาไม่มีทางเลือก หากไปรับศพนางมา เช่นนั้นผู้คนจะต้องแสดงความเห็นเกี่ยวกับตระกูลเวิน เหยียบคนในตระกูลจนตาย แต่หากไม่รับศพนาง แม้จะถูกด่าบ้าง แต่หลังจากที่เขาแกล้งล้มป่วย ผู้คนก็เริ่มสงสารตระกูลเวินกันมากขึ้น
แต่การที่ฮูหยินผู้เฒ่าโจวทำเช่นนี้ ทำให้ตระกูลเวินกลับไปย่ำแย่อีกครา...
“ท่านพ่อ เราจะหลบอยู่แต่ในเรือนต่อไปมิได้นะเ้าคะ? ตระกูลโจวอาละวาดเช่นนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าข้างนอกพูดถึงเราเช่นไร?” เวินเยียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาของนางเ็า ทั้งร่างเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“นี่...”
“บุตรสาวของข้า เ้าดูพวกคนใจอำมหิตพวกนี้สิ จนถึงยามนี้ยังไม่มีผู้ใดออกมาเหลียวแลเ้า วันนี้แม่จะเอาหัวโขกให้ตายไป ดูสิว่าจิตใจพวกคนตระกูลเวินจะเหี้ยมโหดได้ถึงเพียงใด”
“อย่า อย่านะฮูหยินผู้เฒ่าโจว”
“หยุดนะ พวกเ้าเข้าไปหยุดนางสิ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าโจว!”
......
ที่หน้าประตูยังคงเต็มไปด้วยความโกลาหล เวินอวิ๋นโปได้ยินเสียงสาปแช่งจากผู้คน
“ไปกัน ออกไปดูเถิด”
หากเป็เช่นนี้ต่อไป เกรงว่าประชาชนจะพากันพังประตูจวนเข้ามาเป็แน่ เขาตั้งสติ แกล้งทำเป็ป่วยไร้เรี่ยวแรงและเอื้อมมือไปให้เวินเยียนช่วยพยุง
เวินเยียนเข้าใจความหมายก็รีบยื่นมือไปพยุงทันที ก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปที่ประตู
“คนตระกูลเวินชั่วร้ายไร้ศีลธรรมจริงๆ ยามนี้ยังไม่ออกมาอีก”
“คงมิได้แอบหนีออกไปตอนกลางคืนแล้วหรอกนะ?”
“ข้าก็คิดว่านายท่านเวินเป็คนเมตตาสัตย์ตรง ไม่คิดเลยว่าคนตระกูลเวินจะเสแสร้งเช่นนี้”
“เวินเยียนโหดร้ายยิ่งกว่า ฮูหยินใหญ่เวินเป็มารดาแท้ๆ ของนาง แต่นางกลับไม่สนใจไยดี อกตัญญูจริงๆ”
......
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวที่จะเอาหัวโขกกำแพง เมื่อถูกห้ามไว้ก็ร้องไห้แทบขาดใจ ทำให้ยามนี้เสียงวิจารณ์ของประชาชนที่มีต่อตระกูลเวินยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก
“หรือว่าเราจะพังเข้าไปกัน?”
“จริงสิ เช่นไรตระกูลเวินก็เป็ฝ่ายผิด”
......
มีคนเสนอขึ้นมาและพากันเห็นด้วย หลายๆ คนจึงเดินหน้าเข้าไปใกล้ประตูใหญ่จวนตระกูลเวิน
พวกเขาคุยกันและเตรียมจะชนประตูเข้าไปพร้อมกัน แต่ยังไม่ทันไร ประตูจวนก็เปิดออกในที่สุด
ทันใดนั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังขึ้นสนั่นอย่างไม่เคยเป็มาก่อน
“เวินอวิ๋นโป อธิบายมา เหตุใดเ้าถึงทิ้งศพของบุตรสาวข้าไว้ที่ปากทางตลาด?”
ฮูหยินผู้เฒ่าโจวหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ นางเอ่ยขึ้นทันทีพลางชี้ไปยังเวินอวิ๋นโปที่อยู่หน้าประตู ร่างกายของนางสั่นเทาด้วยความโกรธอย่างควบคุมมิได้
เวินอวิ๋นโปและเวินเยียนมองหน้ากัน ทั้งสองค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้น
“ท่าน...ท่านแม่ ใช่ว่าข้าจะไม่ไปรับศพฮูหยินนะขอรับ แต่ข้า แค่ก...แค่กแค่ก...แค่ก ข้าไปมิได้ขอรับ”
“ในวันที่ฮูหยินถูกจับไปข้าก็กังวลจนทานอันใดมิลง ข้าคิดจะไปหานาง แต่ไม่คิดเลยว่าคำสั่งปะานางจะออกมา ข้ารับมิได้ โรคหัวใจจึงกำเริบ แค่กๆ...แค่กๆๆ...หลายวันมานี้ข้านอนป่วยอยู่บนเตียง จะเดินเหินยังต้องให้คนพยุง”
เวินอวิ๋นโปพูดอย่างอ่อนแรง ร่างกายของเขาโซเซแทบยืนมิไหว คำพูดของเขาทำให้หลายคนเกิดความเห็นใจขึ้นมา
“แล้วคนรับใช้ล่ะ? เหตุใดมิให้คนรับใช้ไปรับนางกลับ” น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าโจวอ่อนลงมาก
“คนรับใช้ ก็เพราะต้องมีคนรับใช้น่ะสิขอรับ...”