ไท้หยูให้ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งควบคุมร่าง ดึงร่างของผู้ใช้มนต์ดำมาอยู่ด้านหน้า หลังจากค้นตัวทุกคนเสร็จสิ้นแล้ว ได้รับของวิเศษและโอสถล้ำค่าในระดับหนึ่ง พอทดแทนคลังที่ว่างเปล่า สามารถใช้เป็ทรัพยากรให้ศิษย์ทั้งสี่ฝึกตนได้
ทุกคนช่างร่ำรวยอย่างยิ่ง เหรียญทองและของวิเศษที่พก เมื่อนำมารวมกันแทบจะครึ่งหนึ่งที่สำนักพันปีติดหนี้อยู่ โดยเฉพาะของเ้าสำนักทั้งสอง นอกจากโอสถและสมุนไพรชั้นฟ้า ยังพกอาวุธวิเศษหลายชิ้น ตำราฝึกปรืออีกหลายเล่ม ทำให้ไท้หยูรู้สึกมีสุขอย่างยิ่ง
ต่อจากนั้นเขาจึงเริ่มดึงวงแหวนโลหิตของเผ่ามารออกจากร่าง เพราะเกรงว่าร่างของมันจะตายไปก่อนที่ฉงฉงจะยินยอมยกเืหนึ่งหยดให้ ดังนั้นได้แต่ดึงวงแหวนโลหิตออกมาแล้วผนึกเอาไว้ก่อน
ร่างของผู้ใช้มนต์ดำเป็ร่างพิษทั้งร่าง ดังนั้นยามปกติจึงมักพันเนื้อตัวเอาไว้ตลอดเวลา ไท้หยูแม้นเป็ผู้ฝึกยุทธที่เคยไปถึงระดับจิตไร้ขอบ ทว่าร่างของผู้ใช้มนต์ดำคนนี้ยังแข็งแกร่งกว่าเขาใน่เวลาสมบูรณ์ ดังนั้นเขา้าผู้เชี่ยวชาญอย่างปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งจัดการ ตาเฒ่าผู้นี้รอบรู้ทุกเื่
แขนขวาของไท้หยูแทงใส่หน้าอกของผู้ใช้มนต์ดำ ดึงเอาหัวใจของเขาออกมา หัวใจสีดำขนาดใหญ่เท่าหัวใจม้า ถูกกระชากออกมา หยาดเือุ่นแปดเปื้อนไปครึ่งแขน พอโดนอากาศเืสีแดงกลายเป็ดำ ลมปราณทะลักออกจากร่างของไท้หยู
หลังจากทำลายพยุหะคำสาปไป มหาพยุหะและพลังิญญาจากเส้นปฐีของเทือกเขาหยกก็ไม่อุดตันอีกต่อไป พลังของมหาพยุหะจึงกลับมาอยู่ในระดับสมบูรณ์อีกครั้ง
พลังธาตุทั้งห้าหลอมรวมกันกลางอากาศ จากนั้นสานกันเป็ตาข่ายผืนหนึ่งคลุมใส่หัวใจสีดำในมือของไท้หยู ผนึกพลังของมันเอาไว้ไม่ให้ดับสูญ
นอกจากร่างของเ้าสำนักทั้งสองที่ยังมีความสำคัญ ร่างของเหล่าผู้าุโถูกไท้หยู (สองตาเฒ่า) ดูดกลืนพลังชีวิตของพวกมันจนหมดสิ้น โยนศพใส่หุบเหวที่เกิดจากการโจมตีของฝ่ามือพินาศอย่างไม่แยแส แล้วหันหลังกลับเข้าสำนัก
รากฐานของสำนักเมฆัและสำนักพิรุณพายุพังทลายแล้ว ยามนี้คงเหลือแต่ลูกศิษย์และผู้าุโอ่อนแอไม่กี่คน อันที่จริงไท้หยูสมควรยกทัพออกไปกวาดล้างสองสำนักหากเป็ยามปกติ
ทว่าตอนนี้สำนักพันปีไหนเลยมีทัพผู้ฝึกตนอีก ตัวเขาคนเดียวก็เริ่มเฉื่อยชามากขึ้น อาจเพราะได้รับอิทธิพลความคิดจากสองตาเฒ่าประหลาด รอจัดการธุระเสร็จสิ้นแล้วค่อยบุกไปกวาดสมบัติและของวิเศษของสำนักใหญ่ทั้งสองมาใส่คลัง
จากนั้นครุ่นคิดเื่หนึ่ง
แม้นการต่อสู้เมื่อครู่จะยกกำลังของผู้ฝึกตนระดับสูงมาไม่น้อย ทว่าในความคิดของไท้หยูยังมองว่านี่มิใช่กำลังรบทั้งหมดของศัตรูที่อยู่เื้ัจริงๆ แต่เขาไม่เข้าใจ ไฉนจึงไม่ทุ่มเทกำลังทั้งหมดออกมาในคราเดียว เพื่อจะได้มั่นใจว่าสามารถฆ่าเขาได้จริงๆ
หรือว่าผู้อยู่เื้ัเข้าใจว่าเขาอ่อนแอถึงขีดสุดจึงนึกดูแคลนเขา ยอดฝีมือเท่านี้ก็เพียงพอจะสังหารแล้ว ..เื่นี้ สามารถคิดเช่นนี้ได้ ไม่ว่าผู้ใดหากรู้เบื้องลึกของไท้หยูว่าขั้นพลังฝึกตนถดถอยจนไม่อาจสำแดงพลังฝีมือเช่นเดิม การส่งยอดฝีมือระดับจิตไร้ขอบสมบูรณ์สามคน พร้อมกับขั้นรวมกายแปดคนย่อมมั่นใจว่าเพียงพอจะสังหารเขาได้
ทว่าไท้หยูยังคงตงิดอยู่ในใจ อีกฝ่ายเป็ถึงผู้ที่อาจทรงพลังเทียบเท่าระดับเซียนนิรันดร์ (คาดเดา) ความคิดความอ่านย่อมไม่ธรรมดา ดังนั้นไท้หยูยังหวาดระแวงผู้อยู่เื้ัคนนี้
ศิษย์ทั้งสี่หลั่งน้ำตาแห่งความปีติ แม้แต่ฮุ่ยเซี่ยนที่ไท้หยูมักชื่นชมว่าหนักแน่นมั่นคง ยังหลั่งน้ำตาออกมา เมื่อครู่ทุกคนสิ้นหวัง ยามนี้สามารถผ่านพ้นเหตุการณ์เลวร้ายได้ จิตใจกลับเป็สภาพปกติยิ่งเพิ่มความรู้สึกเทิดทูนนับถือในตัวอาจารย์ขึ้นมากมาย
“อาจารย์แข็งแกร่งยิ่งใหญ่กว่าบรรพตทั้งลูก” ซวี่ฉีกล่าว
ฮุ่ยเซี่ยนปาดเช็ดน้ำตาเชิดหน้ากล่าวอย่างเย่อหยิ่งว่า
“เ้าพวกลูกเต่าเ่าั้ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าบุกโจมตีสำนักพันปีของอาจารย์”
เห่ารานรอยยิ้มใสซื่อรอยยิ้มราวกับคนโง่เขลากล่าวว่า
“อาจารย์ รอบหน้าข้าจะเป็ผู้ปกป้องสำนักพันปี หากมีผู้ใดกล้าบุกรุก ข้าจะต่อยให้มันแหลกคาหมัดของข้า”
จากนั้นทำท่าต่อยหมัดออกมา เสียงลมหวืดหวือตามแรงต่อย
ไท้หยูถึงกลับขมวดคิ้วมุ่นถามว่า
“เ้าบรรลุขั้นกลางของรับแสงปราณแล้ว?” เขาเพิ่งรับเ้าพวกนี้เป็ศิษย์หนึ่งวันก่อน ยามนั้นเห่ารานเป็เพียงผู้เริ่มต้นฝึกตนอยู่รับแสงปราณขั้นต้น ทว่าเพียงผ่านมาคืนหนึ่งก็บรรลุขั้นกลางแล้ว?
ยามนั้นจื่อหยวนพลันแทรกตัวเล็กๆ ใบหน้าขาวเข้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจว่า
“อาจารย์ ข้าก็สามารถััระดับฝึกตนได้แล้ว ข้าเป็ผู้ฝึกตนแล้ว”
จื่อหยวนเข้าสู่มรรคายันต์ และพยุหะ รับแสงปราณขั้นต้น? สองตาไท้หยูเจิดจ้า ใบหน้าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง หรือเพราะว่าเ้าอยากดื่มสุราจึงเป็เชื้อเพลิงพลังใจอันดีเยี่ยม?
“ข้าก็เป็ผู้ฝึกตนแล้วเช่นกัน อาจารย์ ท่านดูข้าแข็งแกร่งหรือไม่”
ซวี่ฉีเกล่าวพลางกำหมัด หันไปทางเห่ารานแล้วยิ้มเรียกว่า “ศิษย์พี่” พลันต่อยใส่เห่ารานดังพลั่ก เห่ารานราวกับลูกหนังถูกเตะ ลอยละลิ่วออกไปหลายสิบจั้ง ร้องโอยอย่างเ็ปตะเกียกตะกายลุกขึ้นเดินกลับมา
ไท้หยูมองซวี่ฉีที่กำลังเบ่งกล้าม ในใจถามขึ้นมาว่า” ฉงฉงเ้าสอนสิ่งใดให้ฉีน้อยของข้า”
ฮุ่ยเซี่ยนแค่นเสียงเ็าในจมูกพลางกล่าวว่า
“อาจารย์ท่านดู” ฮุ่ยเซี่ยนประกบมือเป็สามเหลี่ยม สายลมหอบหนึ่งโชยพัดขึ้นมา ใบไม้ปลิดปลิวจากกิ่งก้านร่วงใส่เห่ารานที่กำลังหายใจด้วยความเ็ป ฉึก ใบไม้ร่วงบาดใส่ต้นแขนของเห่ารานจนเืออก เห่ารานกะพริบตาปริบๆ มองดูาแที่ต้นแขน เืไหล ใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายคนกำลังจะร่ำไห้
แม้แต่ฮุ่ยเซี่ยนก็เข้าสู่มรรคาฝึกตนแล้ว ฮุ่ยเซี่ยนฝึกสามมรรคา เต๋า อาวุธ ผู้สร้าง ซึ่งเส้นทางต้องยากลำบากที่สุด ทว่ากลับก้าวสู่มรรคาแล้ว? ง่ายดายเช่นนี้?
ไท้หยูได้แต่ยิ้มขมขื่นวันเดียวก็สามารถเข้าสู่มรรคา ล้วนแต่เป็ปีศาจกันทั้งสิ้น
ส่วนเ้าเห่าราน เ้าเป็ศิษย์พี่ ไฉนจึงเป็กระสอบป่านให้ศิษย์น้องแสดงฝีมือไปได้ เฮ้อ
ไท้หยูถูกจื่อหยวนทวงสุราหนึ่งไหตามคำสัญญา เขาไหนเลยจะคาดคิดว่าเด็กเหล่านี้จะใช้เวลาเพียงวันเดียวก็สามารถบรรลุก้าวแรกของการฝึกตนได้ เขาจึงได้แต่บ่ายเบี่ยงไล่ลูกศิษย์ทั้งหมดออกไปก่อน โดยเฉพาะจื่อหยวนที่ถูกฮุ่ยเซี่ยนลากออกไปอย่างไม่ยินยอม ปากะโว่าสุราหนึ่งไห
ลี่ซวนใบหน้าซีดเผือดทว่ามุมปากยกขึ้นประดับด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลูกศิษย์มองไม่ออก ทว่าเขาเห็นอย่างชัดเจน ทว่าลี่ซวนเป็ผู้ที่รู้ใจคนอื่นจริงๆ ไท้หยูไม่เอ่ยขึ้น เขาก็ไม่ถามไถ่ ทราบว่านั้นเป็ความลับของท่านประมุข ตนเองไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายสอบถาม
ลี่ซวนค้อมกายคารวะ
ไท้หยูยิ้มแย้มผงกศีรษะยกมือเป็ความหมายว่าไม่ต้องมากพิธีจากนั้นกล่าวว่า
“เ้าทำได้ดีมาก ใช้เวลาวันเดียวก็สามารถคุมพยุหะย่อยได้ คู่ควรให้ส่งเสริม”
ลี่ซวนคารวะกล่าวน้ำเสียงซาบซึ้งว่า
“ขอบคุณท่านประมุขที่ชี้แนะ”
หลังจากถามไถ่อาการอยู่สองสามประโยคก็ทราบว่าเพียงกระทบเส้นชีพจรเล็กน้อย ไม่มีอาการแฝงเลวร้าย เขาจึงล้วงเอาโอสถเพิ่มพลังที่ได้มาจากศัตรูให้ลี่ซวนไปหลายเม็ด นอกจากสามารถรักษาอาการาเ็ ยังสามารถยกระดับพลังฝึกตนได้
สำนักพันปีมีผู้าุโเพียงคนเดียว ผู้าุโมิอาจอ่อนแอจนเกินไป มิเช่นนั้นยามที่เขาออกไปท่องโลก ผู้ใดสามารถมั่นใจว่าเทือกเขาหยกจะไม่ถูกคนปองร้าย? เขาไม่สามารถแข็งแกร่งคนเดียว ยังต้องบ่มเพาะขุมกำลังขึ้นมา
ยามนั้นกระบี่สีแดงราวกับเหล็กร้อนพลันบินเหินมาจากทางเหนือ ไท้หยูจ้องมองเห็นบนกระบี่สีแดงยืนด้วยชายชราผมขาวโพลนผู้หนึ่ง สวมชุดขุนนางสีแดงปักลายอสรพิษ ผมเผ้าสยายไปด้านหลัง สองมือไพล่หลังยามยืนอยู่บนกระบี่สีแดงให้ความรู้สึกราวกับเทพเซียนผู้ปลึกวิเวก
ไท้หยูรู้จักชายชราผมขาวผู้นี้ ผู้ที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้มาตลอดร้อยปี ผู้รับใช้อันซื่อสัตย์และแข็งแกร่ง ขันทีขั้นสูงสุด หลินกงกง....
ไท้หยูคาดว่าฮ่องเต้คงจะรับรู้ถึงพลังที่ะเิออกของสองเฒ่าประหลาดแล้ว จึงส่งหลินกงกงมาสอบถามเื่ราวที่เกิดขึ้น เขาไม่กริ่งเกรงขันทีชราผู้นี้ ลึกๆ แล้วยังให้ความเคารพอยู่หลายส่วน
แต่ไหนแต่ไรมา สำนักพันปีและฮ่องเต้มีความสัมพันธ์อันดีมาโดยตลอด ไท้หยูจึงไม่ต้องกังวลว่าขันทีชราจะนำความยุ่งยากมาให้ เหมือนกับที่ฮ่องเต้ไม่เคยกังวลว่าสำนักพันปีจะทรยศ
ขันทีชราเป็ผู้ฝึกตนสายอาวุธระดับจิตไร้ขอบ กระบี่แดงเหินลงยังหน้าประตูห้องโถงร้อยปี หากมิใช่ศัตรูที่มีจิตคิดร้าย มหาพยุหะที่กางกั้นเอาไว้จะไร้ผล
หลินกงกงสาวเท้าเข้าใกล้ ไท้หยูเดินไปหาพร้อมกับค้อมกายคารวะทักทาย
“หลินกงกง”
ขันทีชราผงกศีรษะคารวะกลับกล่าวเสียงเป็กันเองว่า
“ท่านประมุข สบายดี”
ไท้หยูตอบอืม จากนั้นหันไปสำรวจกระบี่แดงที่ลอยอยู่ข้างกายขันทีชราผมเผ้าขาวโพลน กระบี่แดงแผ่ประกายคมกล้า ยามจ้องมองรู้สึกแสบตาจนน้ำตาแทบไหล ยังมีกลิ่นอายความตายหนาแน่นแฝงอยู่ภายใน
กระบี่เล่มนี้ไม่ต้องบอกก็พอทราบได้ว่าประหัตปะาชีวิตมานับไม่ถ้วน
“กระบี่ล้ำเลิศ สมคำร่ำลือ หลินกงกงแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นแล้ว”
ขันทีชรายิ้มแย้มหัวร่อในลำคอเบาๆ โบกมือว่า
“ท่านประมุขยกยอกันเกินไป ...” ประกายตาพลันเปลี่ยนเป็คมกล้า เอ่ยเข้าเื่ทันทีว่า
“ฝ่าาให้เรามาสอบถามท่านประมุข”
ไท้หยูผงกศีรษะคาดไว้ั้แ่แรก ฮ่องเต้ผู้เป็ราชันปกครองทุกชีวิต เกิดอะไรขึ้นในอาณาจักรของตนเอง ย่อมทราบแน่นอน
“เพียงมุสิกไม่รู้จักประมาณตนบุกโจมตีสำนัก ฝากหลินกงกงทูลต่อฝ่าาว่าไม่มีเื่ใดน่ากังวล”
ขันทีชรายิ้มแย้มด้วยความปลอดโปร่งกล่าวว่า
“เช่นนั้นก็ดี ถ้าท่านประมุข้าความช่วยเหลือ สามารถบอกกล่าวได้”
หลินกงกงสมกับอยู่ในวังมาเป็ร้อยปี ช่างรู้จักกล่าววาจาจริงๆ
ไท้หยูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอนแรกลังเลทว่าสุดท้ายยังคงบอกออกไป
“เื่นี้ไม่มีสิ่งใดให้ฝ่าาต้องกังวล ...เป็เื่เล็กๆ ของเราสอง....สองสำนักใหญ่ตอนนี้เป็ัไร้หัว เป็วัตถุในถุงย่าม เก็บเอาไว้ไม่สู้ล้วงมาใช้ประโยชน์ หลินกงกงมีความคิดต่อเื่นี้อย่างไร”
ขันทีชราดวงตาเป็ประกาย ร้องอืมอืมผงกศีรษะต่อเนื่อง
“ท่านประมุข ไว้เสร็จสิ้นเื่ จะส่งของกำนัลมา เช่นนั้นขอลาก่อน ท่านประมุขโปรดรักษาตัว”
ไท้หยูก้มคารวะกล่าวว่า
“หลินกงกงโปรดถนอมตัว”
เขาไม่จำเป็ต้องครุ่นคิดเื่จัดการกับสองสำนักใหญ่แล้ว เพราะขันทีชราผู้นี้จะไปจัดการให้ สำนักใหญ่ทั้งสองแม้ไม่มีอายุยาวนานเท่าสำนักพันปี ทว่าก็ก่อตั้งมานับร้อยปี สำนักเมฆัก่อตั้งมาสองร้อยกว่าปี สมบัติและของวิเศษย่อมมีไม่น้อย
ของเหล่านี้ฮ่องเต้ย่อมไม่เหลือบแล ทว่าสำหรับขันทีที่ลุ่มหลงในสมบัติ ยินยอมกระทำแทนไท้หยูเพื่อสมบัติครึ่งหนึ่ง ไท้หยูก็ยินดีรับเปล่าๆ โดยไม่ต้องเปลืองแรง