จ้าวซื่อรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน กล่าวด้วยใบหน้าเ็าว่า “หลี่ซาน ท่านอย่าให้เกินไปนัก”
หลี่ซานรีบร้อนกล่าวขึ้นว่า “ซู่เหมย เ้าอย่าได้โกรธไปเลย”
“ตอนที่ท่านยังไม่กลับมาบ้านพวกเราใช้ชีวิตกันอย่างสงบดี พอท่านกลับมาบ้านก็เอาแต่ทำเื่ค้านพวกเรา เดี๋ยวก็จะเอาเงินทั้งหมดไปซื้อที่ เดี๋ยวก็จะให้น้องรองแต่งงาน เดี๋ยวก็จะเอาบุตรข้าไปเป็ลูกบุญธรรมของน้องรอง…”
“ข้า…”
“หากท่านไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วก็กล่าวมาตามตรงเถิด ข้าจะพาลูกชายลูกสาวออกไปอยู่ลำพัง” จ้าวซื่อหายใจแรงขึ้นด้วยความโกรธ ไม่อยากจะมองหน้าหลี่สืออีกแม้เพียงนิดเดียว
หลี่ซานถึงกับตกตะลึง “ข้าผิดไปแล้ว เ้าอย่าโกรธข้าเลย”
จ้าวซื่อถลึงตาใส่ “ต่อไปท่านอย่าได้พูดเื่ลูกบุญธรรมอีก และอย่าพูดเื่ที่จะให้น้องรองแต่งงานอีก ครอบครัวพวกเราอยู่ด้วยกันเช่นนี้ก็มีชีวิตที่ดียิ่งแล้ว”
“ได้ ข้าจะทำตามเ้า ทำตามเ้าทั้งหมด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้จ้าวซื่อจึงค่อยคลายความโกรธลงได้บ้าง “เช่นนั้นท่านก็ไปบอกน้องรองว่า จะไม่ให้เขาแต่งงานแล้ว ต่อไปก็ให้เขาอยู่กับพวกเราเหมือนเดิม”
หลี่ซานทำตามคำพูด เขารีบไปบอกหลี่สือทันที ทั้งยังให้หลี่หรูอี้มาปลอบจ้าวซื่อด้วย
“ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็โน้มน้าวท่านพ่อได้แล้ว” หลี่หรูอี้ยิ้มจนตาหยีพลางเดินไปเกาะแขนจ้าวซื่อ
“เขาบีบบังคับจนข้าต้องกล่าววาจาไม่น่าฟังออกมา” จ้าวซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงกล่าวโทษ “ครอบครัวกลมเกลียวนับเป็ความสุขล้นพ้น ไม่ง่ายเลยกว่าครอบครัวเราจะมีเงิน แต่บิดาเ้ากลับเริ่มทำตัวแย่ ทำตรงข้ามกับพวกเราทั้งหมด วันนี้พี่ชายสี่คนของเ้าไม่อาจสงบใจทั้งวันจนมิได้อ่านตำราแล้ว”
หลี่หรูอี้อยู่ปลอบใจนางอีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นหลี่ซานกลับมาแล้วจึงออกไปดูหลี่สือ
เด็กชายบ้านหลี่ยังไม่ได้นอน พวกเขาต่างรอฟังเื่ราวอยู่ด้านนอก ตอนนี้กำลังล้อมวงอยู่ข้างกายหลี่สือเพื่อปลอบใจเขา
หลี่สือไม่ร้องไห้แล้ว เขากำลังกินหมั่นโถวอย่างตะกละตะกลาม เมื่อเห็นหลี่หรูอี้ก็เบะปากอย่างน้อยเนื้อต่ำใจคล้ายจะร้องไห้อีกครั้ง
หลี่หรูอี้รีบพูดขึ้นว่า “ท่านอารอง ท่านนวดแป้งได้ดีมาก พรุ่งนี้เช้าพวกเราก็ช่วยกันทำขนมแป้งทอดกรอบนะเ้าคะ”
“ได้” หลี่สือพยักหน้าอย่างหนักแน่น ดวงตาทั้งสองบวมราวกับลูกท้อ เมื่อกินอิ่มแล้วก็ลืมเื่ที่ไม่สบายใจไปจนหมดสิ้น ถึงกับเผยรอยยิ้มโง่งมออกมา
ไม่ทราบว่าลูกสุนัขสองตัววิ่งเข้ามาั้แ่เมื่อใด ตอนนี้มันกำลังยืนกระดิกหางอยู่ข้างเท้าหลี่สือ
“เจาไฉ จิ้นเป่า วันนี้พวกเ้าก็นอนเป็เพื่อนท่านอารองเถิด” ห้าพี่น้องแห่งตระกูลหลี่ทิ้งลูกสุนัขเอาไว้ให้
ตอนนี้หลี่ซานไม่พูดเื่ที่จะให้หลี่สือแต่งงานแล้ว หลี่หรูอี้ยังคงให้เงินเขาทุกวัน เขาก็รับเอาไว้ ชีวิตของคนบ้านหลี่กลับมาเป็ปกติสุขอีกครั้ง
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบวัน มาถึงวันพักผ่อนของเด็กชายบ้านหลี่อีกครั้ง วันนี้เป็วันที่พวกเขาไม่ต้องไปสำนักศึกษาในตำบล
หลี่หรูอี้นำกระดาษร่างภาพเครื่องโม่หินที่เพิ่งวาดเสร็จเมื่อเช้ามาให้หลี่เจี้ยนอันและหลี่อิงฮว๋า เพื่อให้พวกเขานำไปปรึกษากับช่างตีเหล็กหลิวที่หมู่บ้านหลิว
เครื่องโม่หินที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งชุ่นกว่าเครื่องหนึ่งราคาร้อยยี่สิบทองแดง บ้านหลี่เคยมีเครื่องโม่หินอยู่เครื่องหนึ่ง แต่พังไปเมื่อปีก่อน ข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวในปีนี้จึงต้องนำไปโม่ที่บ้านสวี่เจิ้ง
หลี่หรูอี้้าทำเครื่องโม่หินขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสองชุ่น ทั้งยังเป็เครื่องโม่หินที่ต้องใช้เทคนิคยอดเยี่ยมและล้ำหน้ากว่าเครื่องโม่หินที่มีในแคว้นต้าโจวด้วย
หลี่เจี้ยนอันนำกระดาษร่างภาพมาพินิจพิเคราะห์ก่อนถามไปอย่างแปลกใจ “น้องห้า เ้าจะทำเครื่องโม่หินสองเครื่องเชียวหรือ”
หลี่อิงฮว๋ากล่าวเตือน “น้องห้า เครื่องโม่หินที่เ้าร่างออกมามีขนาดใหญ่มาก เพียงเครื่องเดียวก็พอให้บ้านเราใช้แล้ว”
“ข้า้าสร้างเครื่องโม่หินมาทำอาหารชนิดใหม่เ้าค่ะ เครื่องเดียวไม่พอ” หลี่หรูอี้มอบเงินให้พี่ชายทั้งสอง บอกให้พวกเขารีบไป
หลังจากหลี่เจี้ยนอันและหลี่อิงฮว๋าออกไปไม่นาน เฟิงซื่อและบุตรสาว รวมไปถึงสตรีตระกูลหวังอีกสองคนก็นำเสื้อผ้า ผ้าห่ม และรองเท้า ที่ทำเสร็จแล้วมาส่ง
เสื้อผ้าแบ่งออกเป็เสื้อตัวนอกและเสื้อหนาที่ทำจากผ้าฝ้าย เสื้อคลุมธรรมดาสามารถสวมใส่ได้ทั้งสี่ฤดู ส่วนเสื้อตัวหนาจะสวมไว้ด้านในของเสื้อคลุมเพื่อกันหนาวใน่ฤดูหนาว
ผ้าห่มก็แบ่งออกเป็ผ้านวมและปลอกผ้าห่ม ซึ่งปลอกผ้าห่มสามารถถอดมาซักได้
ส่วนรองเท้าก็เป็รองเท้าพื้นหนา พื้นรองเท้าหนามากจนต้องใช้เข็มค่อยๆ เย็บให้ติดกัน
สิ่งที่ทำให้คนทำต้องเหนื่อยล้าที่สุดก็คือ ผ้านวม เนื่องจากจะต้องดึงปุยฝ้ายให้คลายตัว หากไม่มีแรงมากพอจะทำไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้นงานนี้จะต้องมีทักษะฝีมือที่ดี ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้
ในตอนที่หลี่หรูอี้นำเสื้อผ้าและรองเท้ากลับไปลองสวมในห้องนอน ก็สังเกตฝีเข็มอย่างละเอียด ในใจรู้สึกชื่นชมสตรีทั้งสามที่ทำงานเย็บปักได้อย่างละเอียดประณีตเพียงนี้
์ยุติธรรมเสมอ แม้หลี่หรูอี้จะมีพร์ด้านอาหารและการแพทย์สูงส่ง แต่ในด้านการเย็บปักถักร้อยกลับไม่ได้เื่ ส่วนสตรีทั้งสามและจ้าวซื่อก็ตรงข้ามกับหลี่หรูอี้
เมื่อคนเรามีความสุขสุขภาพจิตก็ย่อมดีตามไปด้วย จ้าวซื่อเห็นบุตรธิดาและอารองลองเสื้อผ้าชุดใหม่ก็พานให้นางแย้มยิ้มตามไปด้วย
เฟิงซื่อเห็นหลี่ฝูคังกำลังให้อาหารไก่อยู่ที่ลานบ้าน แต่กลับไม่เห็นหลี่เจี้ยนอัน จึงปรายตามองหวังเยี่ยนครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวถามว่า “เหตุใดไม่เห็นเจี้ยนอันเล่า”
จ้าวซื่อตอบ “เขาและอิงฮว๋าไปสั่งทำเครื่องโม่หินกับช่างตีเหล็กหลิวที่หมู่บ้านหลิว”
เฟิงซื่อกล่าวต่อไป “บ้านข้าก็มีเครื่องโม่หิน ต่อไปหากเ้า้าโม่ข้าวก็มาทำที่บ้านข้าได้ จะเสียเงินทำเครื่องโม่หินไปทำไมเล่า”
สตรีตระกูลหวังอีกสองคนรีบกล่าวเสริม “ใช่แล้ว บ้านข้าก็มีเครื่องโม่หิน”
ก่อนหน้านี้จ้าวซื่อถูกหลี่หรูอี้กำชับมาแล้วจึงจงใจกล่าวไปว่า “ขอบอกพวกท่านโดยไม่ปิดบัง ครอบครัวเราจะทำอาหารชนิดใหม่เ้าคะ ต้องใช้เครื่องโม่หินทุกวัน”
ตอนนี้ไม่เพียงแต่สตรีทั้งสามคน กระทั่งหวังเยี่ยนก็ยังมีสีหน้าแปลกใจไปด้วย
เฟิงซื่อเอ่ยถามอย่างสงสัย “เอ๋ ครอบครัวพวกเ้าจะทำอาหารชนิดใหม่อีกแล้วหรือ ยังเป็อาหารจำพวกแป้งย่างอีกหรือไม่”
จ้าวซื่อยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ไม่ใช่แป้งย่างแล้ว คราวนี้เป็อาหารชนิดอื่น”
“คนในครอบครัวเ้ามีความสามารถมากจริงๆ ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือนก็คิดอาหารชนิดใหม่ออกมาได้มากมายเช่นนี้แล้ว”
“อย่างไรก็เป็ครอบครัวที่มีคนเรียนหนังสืออยู่มาก มีความคิดดีๆ ออกมาต่อเนื่อง คิดสูตรอาหารออกมาได้ต่อเนื่อง”
ในน้ำเสียงของคนทั้งสี่เต็มไปด้วยความอิจฉา จากนั้นจึงนั่งคุยกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยกลับไป
หลี่ซานบังคับเกวียนลากลับมาจากการขายแป้งย่างในตัวเมืองแล้ว เขาเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าอึมครึม นำเกวียนลาไปเก็บที่ลานด้านหลังแล้วค่อยเดินมาที่ห้องโถง เมื่อพบหน้าคนในครอบครัวก็ยิ่งมีสีหน้ากังวล แต่เมื่อพบจ้าวซื่อสีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป “ขายของหมดแล้ว”
จ้าวซื่อเอ่ยถาม “เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงอารมณ์ไม่ดีเล่า?”
“อย่าพูดถึงเลย” หลี่ซานโบกมือไปมา รับน้ำหวานที่บุตรีสุดที่รักส่งมาให้แล้วยกขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง จากนั้นจึงยื่นมือไปตบไหล่จ้าวซื่อก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เื่นี้ไม่ใช่เื่ดี เ้าตั้งครรภ์อยู่ก็อย่าไปฟังเลย”
จ้าวซื่อไม่ใช่คนเื่มาก ในเมื่อสามีบอกว่าไม่ใช่เื่ดีก็ไม่ฟังให้ส่งผลกระทบกับอารมณ์
จนกระทั่งตกบ่าย หม่าซื่อก็นำเสื้อผ้า รองเท้า และผ้าห่ม ที่ซื่อโก่วจื่อและอู่โก่วจื่อทำมาส่งที่บ้านหลี่ นางเพิ่งนั่งลงไม่ทันไรก็กล่าวกับจ้าวซื่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังว่า “บ้านหลิวเป่าเกิดเื่ใหญ่แล้ว”
จ้าวซื่อชะงัก คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ข้าไม่เจอจางซื่อหลายวันแล้ว นางเกิดปัญหาตอนคลอดหรือ”
จางซื่อก็คือภรรยาของหลิวเป่าที่เป็เพื่อนบ้านกัน นางท้องก่อนจ้าวซื่อ ควรจะคลอดเดือนนี้แล้ว แต่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้ยินข่าวและไม่ได้พบจางซื่อด้วย
จางซื่อคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไร นางมีจิตใจอิจฉาริษยาสูงมาก ชอบพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับจ้าวซื่อไปทั่ว
พอหลี่หรูอี้และเด็กบ้านหลี่ทะเลาะกับชวีหง จางซื่อก็รีบวิ่งไปสานสัมพันธ์กับชวีหงทันที และสตรีทั้งสองพากันกล่าววาจาว่าร้ายคนบ้านหลี่
คนในหมู่บ้านนำเื่ของจางซื่อและชวีหงมาบอกแล้ว จากเดิมที่จ้าวซื่อเกลียดชังจางซื่ออยู่แล้วก็ยิ่งกลายเป็เคียดแค้น
ไม่กี่วันก่อน หลิวเป่านำไข่ไก่ฟองหนึ่งมาขอร้องถึงบ้าน บอกว่าจางซื่อป่วย อยากให้หลี่หรูอี้ไปรักษานางที่บ้านหลิว แต่กลับถูกจ้าวซื่อปฏิเสธ
หลิวเป่าเรียกหมอไม่ได้ก็ด่ากราดใหญ่ หลี่ซานถือไม้กระบองออกมาด้วยท่าทางดุดันคิดจะไล่ตีเขา เขาใจนหนีกลับไป
หม่าซื่อเห็นจ้าวซื่อมีท่าทางไม่รู้เื่จึงกระซิบว่า “เื่นี้กล่าวไปแล้วก็ยาว”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้