จ้าวซีเหอเห็นคนรับใช้ของตัวเองถือคบเพลิงวิ่งเข้ามา เขายกมือเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมลงมาตามหน้าผาก เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เป็อย่างไรบ้าง เจอเบาะแสของแม่นางหนิงบ้างหรือไม่”
คนรับใช้ก้มหน้า จากนั้นส่ายหน้าด้วยสีหน้าสลด เขาเห็นดังนั้นสีหน้าก็อึมครึมยิ่งกว่าเดิม “หาต่อ!”
บางคนมีสีหน้าเป็ห่วงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำสั่ง หนึ่งในนั้นถือคบเพลิงเดินขึ้นหน้ามาหาเขา “ข้าน้อยเห็นท่านมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว ไม่สะดวกที่จะตามหาต่อ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน พวกเรากลับตำหนักก่อนดีกว่าหรือไม่ขอรับ”
เขาถอนหายใจออกมา สะบัดมือไล่คนรับใช้ “ก็ได้ พวกเ้ากลับไปก่อน ข้าจะหาต่อเอง”
จ้าวซีเหอเดินไปทางเนินเขาอย่างดื้อรั้น คนรับใช้ที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนั้นก็มองหน้ากันแล้วถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเดินตามไป
จ้าวซีเหอกลัวว่าหนิงมู่ฉือจะถูกคนไม่ดีหลอกพาตัวไป เขาตามหาไปทั่วทั้งเนินเขา ทว่าก็ไม่เจอแม้แต่เงา จึงทำได้เพียงพาคนรับใช้กลับตำหนักไปด้วยความพะว้าพะวงระคนขุ่นเคือง
ท่านอ๋องเห็นขอบตาดำคล้ำของบุตรชายก็รู้สึกปวดใจยิ่ง ทว่าก็นึกเป็ห่วงหนิงมู่ฉือเช่นกัน “เป็อย่างไรบ้าง หาเจอหรือไม่”
จ้าวซีเหอส่ายหน้า ไม่สนใจท้องที่ส่งเสียงร้องด้วยความหิวของตัวเอง เขาล้มตัวนอนบนเตียงพักผ่อนเอาแรง เพื่อที่หลังจากนี้จะได้ไปตามหาต่อได้ ทว่าหลับตาอย่างไรก็นอนไม่หลับ ในใจเอาแต่พะวงเป็ห่วงหนิงมู่ฉือ
หนิงมู่ฉือในตอนนี้ใช้ชีวิตราวกับปลาที่เพิ่งได้น้ำ สุขกายสบายอุรายิ่ง
นางนั่งไขว่ห้างมองหญิงรับใช้ยกอาหารเข้ามาให้ โดยมีไซพานอันเดินตามหลังเข้ามา อีกฝ่ายยิ้มประจบเอาใจพร้อมกับเอ่ยถาม “เทพแม่ครัว ท่านพิจารณาไปถึงไหนแล้ว”
นางหันหน้าไปอีกทางอย่างถือดี “ยังไม่ถึงไหนเลย รอให้ท่านดูแลข้าให้สุขสบายกว่านี้ก่อน ข้าถึงจะคิดได้”
ไซพานอันรู้สึกหนักใจ แต่เพื่อที่ต่อไปจะได้ทานอาหารรสเลิศทุกวัน จึงต้องทำตามที่หนิงมู่ฉือบอก เขาตักเกี๊ยวน้ำขึ้นมา ตักชิมเข้าไปหนึ่งคำก่อนจะคายทิ้งออกมาอย่างฉับไว “นี่มันคือสิ่งใดเนี่ย รสชาติแย่มากจนข้าทานไม่ลง!”
หนิงมู่ฉือเหลือบตามองไซพานอันครู่หนึ่ง เห็นเขากำลังเขี่ยเท้าไปมา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานหยด จนนางแทบขนลุก “เทพแม่ครัวหนิง ท่านดูข้าสิ ผอมจนจะเหลือแต่กระดูกอยู่แล้ว ท่านช่วยทำอาหารให้ข้าสักจานได้หรือไม่”
หนิงมู่ฉือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ถ้าอยากจะให้เทพแม่ครัวอย่างข้าทำอาหารให้ท่านทาน ท่านต้องรับปากข้าเื่หนึ่งก่อน” นางรู้ว่าไซพานอันรู้จักคุณชายที่มีนิสัยเสเพลไม่น้อย นางจึงคิดว่าเขาอาจจะช่วยนางตามสืบเื่สกุลหนิงของนางได้ น่าจะพานางไปรู้จักคุณชายเสเพลเ่าั้ได้
ไซพานอันมองหนิงมู่ฉืออย่างสงสัย ก่อนจะพยักหน้ารัวติดต่อกันปานไก่กำลังจิกข้าวเปลือก “เทพแม่ครัวหนิง ท่านบอกมาได้เลย ไม่ว่าเป็เื่ใด ข้ายินยอมช่วยทั้งนั้น”
“ข้ารู้มาว่าคุณชายไซติดหนี้พนันด้านนอกมากมาย หากท่านพาข้าไปรู้จักผู้มีเงินเ่าั้ ข้าจะทำอาหารให้ท่านทานเยอะๆ เลย” หนิงมู่ฉือกล่าวอย่างมีเลศนัย
ไซพานอันได้ฟังก็รู้สึกสงสัยยิ่ง เอ่ยถามออกมา “ข้ายังมีเงินไม่พออีกหรือ เหตุใดท่านถึงอยากไปรู้จักผู้มีเงินเ่าั้อีก”
นางตบศีรษะไซพานอันหนึ่งที เอ่ยด้วยน้ำเสียงหน่ายใจกับความไม่เอาไหนของเขา “ท่านโง่หรือเปล่าเนี่ย อาหารของข้าจะช่วยทำให้ท่านกู้หน้ากลับมาได้มากโขเชียวนะ!”
ไซพานอันได้ยินก็แย้มยิ้มออกมา สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็ลำพองใจ “ความคิดนี้ของเทพแม่ครัวเข้าท่าดีเหลือเกิน ข้ามีของดีอยู่ในมือ จะไม่เอาออกมาอวดคนอื่นได้อย่างไร!”
หนิงมู่ฉือพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ลูบศีรษะไซพานอันอย่างชมเชย
นางมองไปนอกหน้าต่าง จู่ๆ ก็แกล้งทำหน้าตาให้เศร้าสลด ถอนหายใจออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า “ชีวิตของข้าช่างรันทดนัก”
ประโยคนี้ทำให้ไซพานอันรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “แม่นางหนิงเป็อันใดไปหรือ เหตุใดถึงได้รู้สึกเศร้าใจ”
นางบีบน้ำตาเม็ดโตให้ไหลออกมา เอ่ยเล่าด้วยน้ำเสียงทุกข์ใจเหลือประมาณ “คุณชายไซ หากท่านอยากทานอาหารฝีมือสตรีตัวเล็กๆ อย่างข้า ขอแค่บอกมาก็ใช้ได้แล้ว ข้ายอมเป็สหายของท่าน แต่เหตุใดท่านต้องอยากให้ข้าเป็ชายาเอกด้วย ข้าไม่ใช่หญิงในดวงใจของท่าน และท่านเองก็ไม่ใช่ชายในดวงใจของข้า ข้ามีชายในดวงใจอยู่แล้ว เหตุใดท่านต้องรบเร้าให้ข้าลำบากใจเช่นนี้ด้วย”
ไซพานอันเห็นหนิงมู่ฉือร้องไห้สะอึกสะอื้นก็ทำตัวไม่ถูก ยกมือลูบด้านหลังศีรษะอย่างรู้สึกผิด “เฮ้อ ชายในดวงใจ หวังว่าคงไม่ใช่ซื่อจื่อหรอกกระมัง” ไซพานอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกตะลึง
“ใช่แล้วเ้าค่ะ” ครั้นหนิงมู่ฉือได้ยินชื่อจ้าวซีเหอออกมาจากปากไซพานอันก็รู้สึกใยิ่ง หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระดอนออกมา ทว่านางยังคงพูดโกหกออกไปด้วยสีหน้าที่ยังคงเศร้าสลดไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้ารู้ว่าคุณชายเป็คนดี ข้าถึงได้พูดเช่นนี้กับคุณชาย แต่หากท่านยืนยันว่าอย่างไรก็จะรับข้าเข้าจวนให้ได้ ข้าเป็คนของตำหนักอ๋อง เช่นนั้นข้าก็ต้องฟังคำของท่านอ๋อง” นางยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้น ท่าทางแลดูน่าสงสารเป็ที่สุด
ไซพานอันได้ฟังที่หนิงมู่ฉือกล่าว ในใจเริ่มใจอ่อนขึ้นมาบ้างแล้ว “แต่ถ้าเ้าอยู่ที่จวนเสนาบดีของข้า เ้าก็จะสุขกายเช่นกัน”
“ข้าไม่สามารถตอบตกลงท่านได้ ซื่อจื่อกล่าวว่า อยากรับข้าเข้าเรือน ตอนข้าออกมาก็มิได้บอกซื่อจื่อ ป่านนี้ซื่อจื่อน่าร้อนใจดั่งถูกไฟลนเพราะเป็ห่วงข้าแล้วเป็แน่!” น้ำตาหนิงมู่ฉือไหลลงมาอาบใบหน้าประหนึ่งน้ำฝนที่ร่วงลงจากฟ้า นางแอบใช้แขนเสื้อของไซพานอันเช็ดน้ำตาน้ำมูกของตัวเอง
ไซพานอันมองอย่างรังเกียจ เขาจมอยู่กับความคิดของตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างตัดสินใจได้แล้ว เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว “ก็ได้ ท่านไปที่โรงพนันกับข้า ไปแสดงความร้ายกาจให้คนเ่าั้ดู ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะคบท่านเป็สหาย และจะทำตามที่ท่าน้า!”
หนิงมู่ฉือได้ยินพลันยิ้มดีใจ ขณะที่ในใจคิดว่า ไซพานอันชอบให้ใช้ไม้อ่อน ไม่ชอบให้ใช้ไม้แข็งจริงๆ ด้วย ขณะที่ปากกล่าวขอบคุณไม่หยุด “คุณชายไซ ท่านช่างเป็คนดีเหลือเกิน บุญคุณของท่านครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลย”
ไซพานอันพยักหน้ากับหนิงมู่ฉือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่จริงจัง “ข้าจะไปปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้กับท่านพ่อเอง เพื่อคืนอิสรภาพให้แก่ท่าน เพราะข้าเองก็ไม่กล้าล่วงเกินซื่อจื่อเช่นกัน มิเช่นนั้นข้าต้องถูกถลกหนังเป็แน่” ไซพานอันกล่าวพลางนึกถึงความกดดันเวลาที่ได้เจอจ้าวซีเหอ นึกแล้วก็ส่ายหน้ารัวๆ ติดต่อกัน
ไซพานอันยกมือลูบหน้าอกปลอบโยนตัวเอง ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเดินออกไปหาเสนาบดีกรมพิธีการที่ห้อง
หนิงมู่ฉือมองตามแผ่นหลังของไซพานอันที่พ่ายแพ้ให้แก่นางขณะเดินจากไป นางชูมือขึ้นอย่างผู้ชนะ