“เสี่ยวหลาน เธอไม่เป็ไรใช่ไหม?”
พอฟังเื่นี้แล้ว ทำไมเซี่ยเสี่ยวหลานถึงดูว้าวุ่นไปเล่า ทำเอาจั๋วเว่ยผิงกระวนกระวาย คิดว่าตนเองยุ่งเื่ของผู้อื่นอยู่หรือเปล่า
เซี่ยเสี่ยวหลานได้สติกลับมา “ฉันไม่เป็ไร ขอบคุณที่บอกฉันนะคะ อันที่จริงเื่นี้สำคัญสำหรับฉันมากทีเดียว แต่ก็ไม่มีอะไรที่บอกไม่ได้หรอกค่ะ ที่จางเสเพลพูดถึงชื่อฉัน เป็เพราะมีคนปล่อยข่าวลือว่าความสัมพันธ์ของฉันกับจางเสเพลคลุมเครือ กดดันจนฉันอยู่บ้านเกิดต่อไปไม่ได้ เื่หลังจากนั้นคุณก็ทราบดี ฉันออกจากหมู่บ้านมาค้าขายอยู่ในเขตก่อนที่ตอนนี้จะย้ายมาถึงเมืองมณฑลแทน... สหายคังเหว่ยไม่ใช่คนรักของฉันหรอกค่ะ ฉันซาบซึ้งในความช่วยเหลือจากเขามาก แต่เื่ราวมันประจวบเหมาะแบบนั้นจริงๆนะคะ จางเสเพลทำตัวไม่ดีจนไปเจอพวกคังเหว่ยเข้าเอง เดิมทีเขาก็เป็นักเลงหัวไม้อยู่แล้วด้วย!”
ไม่ว่าพิจารณาจากมุมมองส่วนรวมหรือส่วนตน เซี่ยเสี่ยวหลานก็ยืนข้างโจวเฉิง
จะปล่อยให้เื่นี้หลุดเผยจุดบอดอะไรออกไปไม่ได้ อนาคตอาจถูกคนอื่นพลิกมาใช้เป็อาวุธโจมตีโจวเฉิงและคังเหว่ย เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ไม่คิดว่าจางเสเพลเป็คนที่ไร้มลทิน จางเสเพลแค่โดนตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเท่านั้น แต่เ้าของร่างเดิมสูญเสียไปทั้งชีวิต
เ้าของร่างเดิมเสียไปหนึ่งชีวิต ต้นเหตุมากจากจางเสเพลที่คิดลามกต่ำทรามก่อน และโดนเซี่ยจื่ออวี้ใช้ประโยชน์ทีหลัง แน่นอนว่าสองคนนี้ต่างต้องรับผิดชอบด้วยกันครึ่งหนึ่ง!
จางเสเพลถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ได้รับโทษทัณฑ์แล้ว
ส่วนเซี่ยจื่ออวี้ยังคงเป็บุตรสาวแห่งความภาคภูมิใจอย่างสุขสบายอยู่เลย ล้มร้านอาหารว่างของครอบครัวเซี่ยจื่ออวี้ได้แล้วอย่างไร ตัวเซี่ยจื่ออวี้เองไม่ทุกข์ร้อนด้วยเสียหน่อย
เซี่ยเสี่ยวหลานขบคิด ทุกอย่างยังไม่สาย สิ่งที่เธอมีคือเวลาสำหรับคิดบัญชีกับเซี่ยจื่ออวี้
เวลานี้เซี่ยเสี่ยวหลานจิตใจปั่นป่วนยิ่งนัก ทว่ามิอาจแสดงออกต่อหน้าจั๋วเว่ยผิงได้ น้ำเสียงที่เธอกล่าวถึง ‘จางเสเพล’ นั้นเดือดดาลมาก จั๋วเว่ยผิงคิดว่าหากสนทนาต่อไปจะเป็การซ้ำรอยแผลของเซี่ยเสี่ยวหลาน
บางทีผู้กำกับเหลียงอาจพูดถูก ปล่อยให้จางเสเพลถูกตัดสินโทษด้วยข้อหาลักขโมยดีกว่าความผิดฐาน ‘อันธพาล’
นักเลงนั้นก็ไม่ได้ใสซื่อมือสะอาดนัก ทำไมจะต้องตามหาหญิงที่จางเสเพลเคยทำร้ายออกมาแบกรับแรงกดดันจากสาธารณชนด้วย? เื่แบบนี้ผู้หญิงมักจะเป็ฝ่ายเสียหายมากกว่าเสมอ ฝอยน้ำลายทำให้คนจมน้ำตายได้ [1] !
“ฉันแค่บอกไว้เฉยๆ น่ะ เธออย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะ”
ไม่ได้้าความงามของเซี่ยเสี่ยวหลาน เช่นนั้นก็คงเป็ผู้ใฝ่ใจในยุติธรรมจริงๆ จั๋วเว่ยผิงไม่วิพากษ์วิจารณ์เื่ส่วนตัวของผู้อื่นมากเกินควร เธอเพียงบอกกล่าวเป็พิธีแล้วหยุดไว้ตรงนี้
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าเ้าหน้าที่จั๋วหวังดี เธอช่างเป็ตำรวจที่มีน้ำใจยิ่งนัก
“พี่จั๋ว อันที่จริงฉันไม่ได้มาหาพี่เพราะเื่ของติงอ้ายเจินหรอกค่ะ แต่้าขอความช่วยเหลือจากพี่ ช่วยดูว่าสามารถทำบัตรผ่านเข้าออกห้องสมุดมหาวิทยาลัยซางตูสักใบได้หรือไม่”
ขอให้จั๋วเว่ยผิงช่วยก็คือการขอให้จั๋วน่าน้องสาวเธอช่วย เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สนิทกับจั๋วน่า ถึงได้อ้อมมาขนาดนี้
จั๋วเว่ยผิงมองเซี่ยเสี่ยวหลาน “คิดไม่ถึงว่าเธอที่ทำธุรกิจของตัวเองยังรักการเรียนเสียด้วยนะ?”
หลานเฟิ่งหวงตั้งอยู่ในเขตที่สถานีตำรวจของจั๋วเว่ยผิงดูแลอยู่ สถานการณ์ธุรกิจเป็อย่างไร จั๋วเว่ยผิงย่อมรับรู้บ้างแน่นอน หากคนอื่นสามารถทำธุรกิจจนมีขนาดใหญ่โตเช่นนี้ได้ ยังจะมีกะจิตกะใจไปห้องสมุดที่ไหนกัน! หลังฟื้นฟูการสอบเกาเข่า ธรรมเนียมโดยรวมของยุค 80 ยังคงเทิดทูนปัญญาชนมากทีเดียว มีความรู้และมีอารยะ ถึงจะสร้างแิสังคมนิยมได้ดีกว่าเดิม และยิ่งไม่มีสิ่งบันเทิงมากมายแบบในอนาคตคอยเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน ไม่ใช่แค่นักเรียนที่ต้องศึกษาเล่าเรียน คนทำงานก็ไม่ละทิ้งการเรียนเพื่อพัฒนาตนเหมือนกัน... จั๋วเว่ยผิงชอบคนใฝ่หาความรู้ ต่อให้เป็เพียงคนทำงานอิสระก็สามารถเรียนรู้ก้าวหน้าได้ไม่ต่างกันหรอก!
เ้าหน้าที่จั๋วผู้มีน้ำใจรับปากทันที
“เื่นี้ฉันจะช่วยแน่นอน ฉันอาสารับหน้าที่นี้เอง!”
“ขอบคุณพี่มากนะคะ นี่ก็จะเที่ยงแล้ว พวกเราไปกินข้าวกันดีไหม?”
ใกล้เที่ยงวันแล้ว จั๋วเว่ยผิงดูเวลา “เธอขี่จักรยานมาสินะ? ไปกันเถอะ ฉันจะพาเธอไปมหาวิทยาลัยซางตูตอนนี้เลย จะได้ขอให้จั๋วน่าจัดการเื่นี้ให้เรียบร้อย”
จั๋วเว่ยผิงเป็พวกลงมือทำมากกว่ารับปากเฉยๆ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงถูกเธอคว้าตัวไปยังมหาวิทยาลัยซางตู
นักศึกษาศิลปกรรมศาสตร์มีเวลาที่อิสระเสรีกว่าสาขาวิชาอื่น จั๋วน่ากำลังนอนหลับสบายอยู่ในห้องก่อนจะโดนพี่สาวของเธอจับได้คาหนังคาเขา
จั๋วน่าใส่เสื้อผ้าพลางบ่นอุบอิบ
“ถ้าอยากยืมหนังสือ ใช้บัตรยืมหนังสือของฉันก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ทำบัตรผ่านยุ่งยากจะตายไป”
จั๋วเว่ยผิงตำหนิเธอ “ทำไมเธอพูดมากขนาดนี้กัน? เที่ยงวันแล้วยังนอนหลับอยู่อีก กล่องข้าวบนโต๊ะนั่นเป็ของเธอสินะ กินเสร็จแล้วก็ไม่ล้าง!”
คงไม่ดีเท่าไรถ้าทำให้สองพี่น้องทะเลาะกันเพราะธุระของตนเอง เซี่ยเสี่ยวหลานจึงอธิบายเพิ่มเติม
“ฉันไม่ได้จะยืมหนังสือค่ะ ฉันอยากหาสถานที่เรียนหนังสือเอง ในห้องสมุดมีบรรยากาศการเรียนที่เข้มข้น แถมค้นคว้าข้อมูลได้ทุกเมื่ออีกด้วย”
จั๋วน่าหวีผมเผ้ากระเซอะกระเซิงเข้าด้วยกัน เธอประหลาดใจทีเดียว “เธอไม่ได้ทำธุรกิจหรอกหรือ ยังจะต้องเรียนหนังสือด้วยตัวเองอีก?”
เป็เ้าของธุรกิจก็ควรคิดว่าจะสร้างผลกำไรอย่างไรสิ จั๋วน่าไม่เข้าใจ จั๋วเว่ยผิงเกิดความสงสัยเช่นกัน เื่นี้ไม่มีอะไรต้องปกปิดอยู่แล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานตอบกลับอย่างปกติธรรมดา “ทำธุรกิจค้าขายคืองานพิเศษของฉัน อันที่จริงฉันเป็นักเรียนของอันชิ่งเซี่ยนอีจงน่ะค่ะ เดือนกรกฎาคมปีนี้ฉันจะเข้าร่วมสอบเกาเข่าแล้ว ไปกลับซางตูกับอันชิ่งนั้นไกลเหลือเกิน ฉันจึงหาห้องสมุดเรียนเองดีกว่า”
นักเรียน?!
หวีในมือจั๋วน่าร่วงทันทีที่ได้ยินคำตอบจากเซี่ยเสี่ยวหลาน
ผู้หญิงส่วนใหญ่ย่อมมีความจองหองถือดีในตนเองบ้างทั้งนั้น อายุมากก็เปรียบเทียบสามีและลูก อายุน้อยก็เปรียบเทียบรูปลักษณ์ การเรียน หรือการงาน เซี่ยเสี่ยวหลานหน้าตาสะสวยเกินต้านทาน เพียงเท่านี้จั๋วน่าก็เก็บมาใส่ใจทีเดียว ถึงกระนั้นพอนึกได้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็เพียงคนทำธุรกิจอิสระ จั๋วน่าคิดว่าพวกเธอทั้งสองไม่ได้อยู่ชนชั้นทางสังคมเดียวกัน อย่างน้อยเธอก็เป็ถึงนักศึกษาเชียวนะ จะเปรียบเทียบอะไรกับพวกค้าขาย!
แต่เซี่ยเสี่ยวหลานพูดว่าธุรกิจนั้นแค่ทำตามเื่ตามราวเท่านั้น สถานะที่แท้จริงของเธอคือนักเรียนมัธยมปลายเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ปีนี้จะเข้าร่วมการสอบเกาเข่า... จั๋วน่าถึงกับขวัญเสียไปเล็กน้อย
จั๋วเว่ยผิงก็ไม่รู้เื่นี้เช่นเดียวกัน
เธอมองเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยความสงสัย ตอนอยู่เขตอันชิ่งก็ไม่เคยได้ยิน ครั้งแรกที่พบเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอยังขายไข่ไก่อยู่นี่นา
“ตอนที่พวกเราสองคนเพิ่งรู้จักกัน ฉันยังไม่ได้ไปเข้าเรียนน่ะ ตอนนั้นฐานะไม่อำนวยเท่าไร ภายหลังทำธุรกิจจนได้เงินมาส่วนหนึ่ง ฉันถึงไปเข้าเรียนกลางคันที่อันชิ่งเซี่ยนอีจงค่ะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานอธิบายเื่ราวอย่างกระชับรวบรัด
จั๋วน่ายังคงไม่เข้าใจ “แล้วโรงเรียนพวกเธอยินยอมให้เธอไม่ไปเข้าเรียนได้หรือ?”
นี่มันโรงเรียนประสาอะไร ดูแลนักเรียนหละหลวมเสียจริง แต่ถูกต้องแล้ว ในสถานที่เล็กๆ อย่างเขตอันชิ่งนั้น โรงเรียนหนึ่งแห่งอาจมีนักเรียนสอบติดมหาวิทยาลัยจำนวนไม่กี่คนเท่านั้น จั๋วน่าคิดในใจ เป็นักเรียนก็ไม่ได้เลิศเลออะไร เข้าเรียนระดับอุดมศึกษาได้หรือไม่ยังไม่แน่นอนนี่นะ
วิชาชีพคืออุดมศึกษา ปริญญาตรีก็คืออุดมศึกษาเหมือนกัน ส่วนมหาวิทยาลัยหลักแห่งชาติเช่นมหาวิทยาลัยซางตูนี้คืออีกระดับชั้นหนึ่ง
เซี่ยเสี่ยวหลานแค่ขวนขวายเล่าเรียนในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยซางตู ก็สามารถสอบติดมหาวิทยาลัยซางตูได้แน่นอนอย่างนั้นหรือ?
อย่างไรเสียเื่ที่เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าจะเรียนเองก็หยุดยั้งการพึมพำของจั๋วน่าจนได้ จั๋วเว่ยผิงคิดว่าการเรียนรู้พัฒนาตนเป็เื่ดี รวมทั้งมุมมองของจั๋วน่าสอดคล้องกับกระแสหลักของสังคมเช่นเดียวกัน
ธุระประเภทนี้ เธอจำเป็ต้องให้ความช่วยเหลือ
การได้ศึกษาเล่าเรียนเป็เื่ง่ายดายสำหรับจั๋วน่า แต่เธอก็มิใช่พวกขาดสามัญสำนึก แน่นอนว่าเธอย่อมมองเห็นสภาพการณ์ของเพื่อนนักศึกษารอบกาย อย่างเช่นรุ่นพี่กงหยางที่มีพร์มากคนนั้น กลับไม่อาจทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการวาดภาพ การที่กงหยางรับงานที่จั๋วน่าดูแคลนทั้งหมด ไม่ใช่เพราะฐานะครอบครัวไม่อำนวยหรือ? ต้องพึ่งพาตนเองหาเงินมาอุดหนุนค่าใช้จ่ายของสาขาวิชาหลักที่เลือกเรียน
พอนึกถึงกงหยาง จั๋วน่าก็ขยับเข้ามาใกล้
“นี่ เธอหลอกรุ่นพี่ฉันไปไหนแล้วเล่า? เขาพูดกันว่ารุ่นพี่กงหยางไปร่างภาพถึงปักกิ่ง ฉันไม่เชื่อหรอกนะ”
ไปปักกิ่งไม่ใช้เงินหรือไร จั๋วน่าไม่เชื่อเด็ดขาดว่ากงหยางจะไปร่างภาพที่นั่น เพราะกงหยางออกค่าใช้จ่ายเดินทางไปปักกิ่งเองไม่ไหวแน่นอน ทว่ากงหยางขอให้ทางคณะออกจดหมายแนะนำเพื่อไปปักกิ่งจริงๆ ... รุ่นพี่กงรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว นับวงสังคมของกงหยางจนครบถ้วนแล้ว ผู้ที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไหว มิใช่คนทำมาค้าขายอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานหรอกหรือ!
เชิงอรรถ
[1]唾沫星子能淹死人 ฝอยน้ำลายทำให้คนจมน้ำตายได้ หมายถึง คำพูดของคนทำร้ายคนอื่นได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้