ฝ่ายในคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างต่างทำสีหน้าไม่แยแสการถูกส่งเข้าตำหนักเย็นย่อมเหมือนกับการถูกกักขังชั่วชีวิตชาตินี้ไม่มีทางได้พบหน้าฝ่าาอีกแล้วถึงพวกเขาจะดูิ่หรือรังแกเ้านายเหล่านี้มากเพียงใดแล้วมีใครรับรู้เื่เหล่านี้บ้าง?
“องค์หญิงมาอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว แต่น่าเสียดายแม่นมไม่ได้เป็คนขี้ใ เมื่อสักครู่ท่านถีบประตูเรือนพังท่านคิดว่าควรคิดบัญชีนี้เช่นไร?” แม่นมสวี่ส่งยิ้มเ็ายิ่งกว่าเดิมนางจ้องเขม็งไปที่ร่างเล็กๆ ของกงอี่โม่ ั์ตาสะท้อนประกายเย็นเฉียบดุดัน
หากเป็เพียงเด็กน้อยคนหนึ่งเมื่อเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดดุดันเช่นนี้ เวลานี้คงใจนถอยหนีกลับไปแล้วทว่ากงอี่โม่เป็ใครกัน? นางคลี่ยิ้มหวานยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่เกรงกลัวแม้ว่าอีกฝ่ายจะส่งสายตาดุจใบมีดก็ตาม
“แม่นม เ้าทำเช่นนี้ ไม่กลัวว่าสักวันข้ากงอี่โม่จะมีโอกาสกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งจริงๆหรือ?”
เด็กน้อยตัวเล็กๆน้ำเสียงยังคงมีร่องรอยความไร้เดียงสาอย่างเห็นได้ชัดทว่าการกระทำของนางกลับหนักแน่นมีพลัง มีลักษณะขององค์หญิงเต็มตัวแล้ว
แม่นมสวี่ยังคงไม่เอ่ยอะไร กงอี่โม่คลี่ยิ้มอีกครั้ง“ราชวงศ์ต้าอวี้ที่แสนยิ่งใหญ่ทรงเกียรตินี้ มีแคว้นเล็กแคว้นน้อยนับไม่ถ้วนเสด็จพ่อยังไม่ได้ถอดตำแหน่งองค์หญิงของข้าบางทีต่อไปมีแคว้นต่างแดนมาขอพระราชทานอภิเษก หากเสด็จพ่อ้าแสดงความพระทัยกว้างพระราชทานข้าให้ไปอภิเษกล่ะ?”
ขณะที่กล่าวนั้น นางคลี่ยิ้มหวานยิ่งกว่าเดิม “ถึงตอนนั้นหากเสด็จพ่อทรงทราบว่า ตอนที่ข้าถูกส่งตัวอยู่ในตำหนักเย็นถูกจำกัดแม้กระทั่งเื่อาหารการกินไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะช่วยออกหน้าแทนข้าหรือเปล่า?”
คำพูดของนางทำให้สีหน้าของฝ่ายในที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้พลันเปลี่ยนไปั้แ่อดีตจนปัจจุบันผู้ที่ถูกส่งตัวมาที่ตำหนักเย็นเพิ่งมีองค์หญิงพระองค์นี้พระองค์เดียวพวกเขาจึงปฏิบัติตัวกับนางด้วยวิธีเดียวกันกับพระชายาและพระโอรสอย่างไม่รู้ตัวพวกเขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายอาจมีโอกาสกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งจริงๆ
เพราะหากมีการขอพระราชทานอภิเษกขึ้นมาพระสนมชายาในวังหลังต่างไม่ยินยอมอย่างแน่นอนเมื่อลองคิดดูแล้วจึงมีเพียงองค์หญิงพระองค์นี้ที่เหมาะสมกับการทำหน้าที่นี้ที่สุดแล้ว
สีหน้าของแม่นมสวี่เปลี่ยนไปอยู่หลายครั้ง นางแอบด่าทออยู่เงียบๆจากนั้นบนใบหน้าจึงมีรอยยิ้มประจบปรากฏขึ้น
“องค์หญิงกล่าวอะไรเช่นนั้นบ่าวอย่างพวกเราจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร? เพียงแต่ก่อนหน้านี้องค์หญิงทรงประชวรหนักพวกเราไม่มีใครกล้าเข้าใกล้จึงได้ละเลยท่านไป ในเมื่อวันนี้องค์หญิงทรงหายดีแล้วแม่นมย่อมต้องสั่งให้พวกเขาดูแลองค์หญิงอย่างดี ไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาแอบี้เีหรอกเพคะ”
เมื่อกล่าวจบ พวกนางสองคนต่างสบตากันเป็การบรรลุข้อตกลงระหว่างกันอย่างเงียบๆ กงอี่โม่กะพริบตาปริบๆ ใส่อีกฝ่ายนางกล่าวอย่างอ่อนหวานพร้อมรอยยิ้ม
“เช่นนี้เองหรือ? ข้าเข้าใจแม่นมผิดไปแล้วแม่นมช่วยลงมือเร็วหน่อย ข้าหิวแล้ว ข้าอายุยังน้อย ทนหิวไม่ค่อยได้”
เมื่อกล่าวจบนางจึงพาซินเอ๋อร์ที่ขาไร้เรี่ยวแรงเดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผยแม่นมสวี่มองเื้ัของนางด้วยใบหน้าเคร่งเครียดในใจมีแต่ความโกรธจัดและความไม่เต็มใจ
“เป็ความหายนะพันปีจริงๆ คาดไม่ถึงว่าป่วยหนักมาถึงสี่ปีก็ยังหายเป็ปกติได้เช่นนี้ไหลฝู เ้าไปรายงานเบื้องบนถึงความผิดปกติของเด็กคนนี้ต่อไปสำรับอาภรณ์ของนางต้องห้ามขาดตกบกพร่องอย่างเด็ดขาดแล้วต้องส่งไปตามเวลาด้วย”
คำพูดของนางทำให้ฝ่ายในทั้งหลายต่างพยักหน้าส่วนคนที่ชื่อไหลฝูนั้นก็รีบออกไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที
กงอี่โม่กลับมาได้ไม่นานก็มีนางกำนัลมาส่งสำรับเป็อาหารสามอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง แม้ว่าจะเย็นชืดแล้วแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าอาหารเหลือทิ้งก่อนหน้านี้ยิ่งนัก ดังนั้นนางจึงปีนกำแพงพากงเจวี๋ยมาที่นี่ พร้อมทั้งให้ซินเอ๋อร์เล่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ให้เขาฟัง
กงเจวี๋ยใช้ตะเกียบจิ้มข้าวสวยเบื้องหน้าสีหน้าของเขาดูเ็าขึ้นเล็กน้อย เขาสบถออกมา“ไปเจรจาด้วยเหตุผลกับคนเหล่านี้เพื่ออะไร ทำไมไม่ลงมือโดยตรงไปเลยต้องทำให้พวกเขารู้สำนึก หากไม่สำนึกก็เล่นงานจนกว่าคนพวกนี้จะสำนึกก็พอแล้ว”
กงอี่โม่ที่กำลังทานน้ำแกงได้ยินแล้วก็แทบพ่นน้ำแกงออกมาที่แท้เ้าเด็กน้อยคนนี้ก็มีความคิดเช่นนี้มาั้แ่เด็กนางกลับตะเกียบอีกด้านเคาะลงบนศีรษะของอีกฝ่าย ถลึงตาโตใส่เขา
“ฝืนทำเก่งเพียงชั่วครู่ชั่วยามจะมีประโยชน์อันใด ตอนนี้พวกเรามีอำนาจอยู่น้อยนิดพวกเราต้องอยู่เงียบๆ เข้าใจไหม? อยู่เงียบๆ”นางกล่าวคำว่าอยู่เงียบๆ เสียงดัง
“การเปิดไพ่ลับเร็วเกินไปไม่มีข้อดีเลยสิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือ ตอนยังไม่ลงมือก็นั่งนิ่งอย่างมั่นคง พอลงมือต้องจัดการแบบตัดรากถอนโคนเข้าใจหรือยัง?” นางกลอกตาจากนั้นจึงกล่าวเสียงเบาอย่างเ้าเล่ห์
“เข้าใจแล้ว” กงเจวี๋ยลูบศีรษะของตน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเลื่อมใส เสด็จพี่ยอดเยี่ยมที่สุดใช่ การคิดเล็กคิดน้อยกับคนเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อันใดเลย รอให้เขาโตขึ้นเขาจะต้องจัดการผู้บงการเื้ัเหล่านี้ให้สิ้นซาก
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองช่างอ่อนแอไร้ความสามารถกงเจวี๋ยจึงกล่าวอย่างมุ่งมั่น “เสด็จพี่ ข้าอยากฝึกวรยุทธ์”
ตรงจุดนี้กลับทำให้กงอี่โม่เริ่มเกิดอาการลังเล
ชาติก่อนเป็เพราะกงเจวี๋ยมีวรยุทธ์เหนือกว่านางมากนางจึงมีจุดจบเช่นนั้น ดังนั้น กงอี่โม่จึงเริ่มรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจเพราะกงเจวี๋ยเป็คนที่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ์โดยกำเนิดทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ
ทว่าเสี่ยวกงเจวี๋ยไม่รู้ในจุดนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเป็ไปได้เขาจึงจับแขนเสื้อของกงอี่โม่ กล่าวออดอ้อนเสียงอ่อน “เสด็จพี่รับปากข้านะข้าไม่กลัวความลำบาก พอข้าฝึกวรยุทธ์สำเร็จแล้วข้าไม่มีทางปล่อยให้ใครมาทำร้ายเสด็จพี่แม้แต่นิดเดียว”
ความมุ่งมั่นในดวงตาของเขาทำให้กงอี่โม่เริ่มใจอ่อนนางลูบศีรษะของอีกฝ่ายเด็กน้อยเบื้องหน้ามองว่านางเป็ที่พึ่งหนึ่งเดียวของเขาอย่างเห็นได้ชัดหากความผูกพันเช่นนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ข้า กงอี่โม่คงต้องยอมรับมัน
“ได้ ข้าสอนเ้าเอง”
กงเจวี๋ยส่งเสียงดีใจตอนนี้เขาเริ่มมีความร่าเริงเหมือนเด็กน้อยอายุหกขวบคนหนึ่งแล้วกงอี่โม่คลี่ยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าของนางอ่อนเยาว์เช่นเดียวกันแต่กลับเต็มไปด้วยความมั่นใจที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
“นอกจากข้าจะทำให้เ้ากลายเป็ยอดฝีมือในยุทธภพแล้วข้าจะทำให้เ้าอ่านดวงดาว เข้าใจแผ่นดิน กุมอำนาจราชสำนักไว้ในมือ” คำกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำของนาง นอกจากทำให้ซินเอ๋อร์ตกตะลึงแล้ว แม้กระทั่งใบหน้าเล็กๆ ของกงเจวี๋ยก็เคร่งเครียดขึ้นด้วยเช่นกัน
“สิ่งที่เ้า้า เสด็จพี่อย่างข้าจะมอบให้เ้าทั้งหมดวันนี้ข้าขอถามเ้าเพียงประโยคเดียว” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างช้าๆ กงอี่โม่เอามือเท้าคางกวาดตามองเด็กน้อยเบื้องหน้าแม้ว่านางจะกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่ากงเจวี๋ยฟังออกทันทีว่าน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความจริงจังอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
“ภายภาคหน้าเ้าจะทรยศข้าไหม?” กงอี่โม่กะพริบตาด้วยท่าทางซุกซนขี้เล่นนางรู้สึกว่าการขอคำมั่นสัญญาจากเด็กน้อยอายุเพียงหกขวบช่างเป็เื่ไร้สาระเสียจริง
ไม่มีใครคาดคิดว่ากงเจวี๋ยกลับแสดงสีหน้าเคร่งขรึมเขามองกงอี่โม่อย่างจริงจัง ดวงตาสะท้อนประกายแวววาวผ่านไปชั่วครู่เขาจึงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“บรรพชนตระกูลกงเป็พยานกงเจวี๋ยบุตรลำดับที่เก้ารุ่นที่สามขอสาบานไว้ ณ ที่นี้ว่าชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางทำร้ายกงอี่โม่อย่างเด็ดขาด หากตระบัดสัตย์ ์ไม่ให้อภัย ฟ้าดินจงลงโทษตายไปิญญาไม่ได้เข้าสู่ศาลบรรพชน”
เสียงเด็กน้อยดังกังวานอยู่ในเรือนเหลิ่งชิวอันกว้างใหญ่และว่างเปล่าเมื่อลอยขึ้นฟ้าเผอิญปะทะกับท้องฟ้ามืดครึ้มจนกลายเป็ความสดใสประกายสีทองสาดส่องลงมาผ่านหน้าต่างทอดลงบนตัวกงเจวี๋ย เกิดประกายแสงเป็ชั้นๆรัดรึงเขาไว้ ทำให้ร่างของเขาเปล่งประกายออกมา
กงอี่โม่เบิ่งตาโตอย่างในางคาดไม่ถึงว่ากงเจวี๋ยที่อายุน้อยเพียงนี้จะสามารถกล่าวคำเช่นนี้ออกมา ความตกตะลึงในใจของนางมีเหลือคณานับ
นางตบบ่าอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงกึกก้อง “ดีต่อไปมีส่วนของข้ากงอี่โม่ ก็ต้องมีส่วนของเ้ากงเจวี๋ยด้วยเช่นกันต่อไปนี้พวกเราก็คือพี่น้องกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน”
เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ของเสด็จพี่เต็มไปด้วยสีแดงระเรื่อเสี่ยวกงเจวี๋ยจึงรู้สึกดีใจยิ่งนัก ในตำหนักเย็นอันว่างเปล่าแห่งนี้เด็กน้อยทั้งสองต่างให้คำสัตย์ซึ่งกันและกันราวกับผู้ใหญ่พวกเขาต่างมองอนาคตร่วมกัน
ภาพเหตุการณ์นี้กลายเป็ความทรงจำประทับอยู่ในสมองของซินเอ๋อร์อย่างลึกซึ้งที่สุดนางพลันรู้สึกว่าการติดตามเ้านายทั้งสองพระองค์นี้ถือเป็ความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้กงอี่โม่อายุสิบขวบกงเจวี๋ยอายุเก้าขวบ