เมื่อเทียบเพลงกระบี่บุปผาเหมันต์ฝ่าสายลมล้อมจันทราของตระกูลหลงกับเพลงกระบี่สุริยคราสของตระกูลเย่ มันเป็สองรูปแบบที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อแสดงเพลงกระบี่บุปผาเหมันต์ฝ่าสายลมล้อมจันทรา บริเวณโดยรอบจะถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งเย็นะเื อุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เพลงกระบี่สุริยคราสตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เมื่อแสดงพลังออกมา อุณหภูมิรอบๆ จะพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลันราวกับถูกไฟแผดเผา แต่เพลงกระบี่สุริยคราสจะมีความลึกซึ้งและเข้าใจได้ยากกว่า และหลังจากสำเร็จวิชาอย่างแท้จริงจะมีพลังยิ่งใหญ่กว่ามาก จึงเป็เหตุผลว่าทำไมตระกูลเย่สามารถเป็หนึ่งในสามมหาอำนาจของยุทธจักรได้
เพียงแต่ตอนนี้ ผู้เก่งกาจในตระกูลเย่ต่างตายจากไปหมดแล้ว เหลือเย่เวิ่นเทียนคนเดียวที่มีความเชี่ยวชาญวิชาฝ่ามืออสูรคลั่ง
เทียบกับวิชาฝ่ามืออสูรคลั่งแล้ว เย่เฟิงสนใจเพลงกระบี่สุริยคราสมากกว่า น่าเสียดายที่เย่เวิ่นเทียนไม่เคยเรียนรู้เพลงกระบี่กระบวนนี้เลย ชายหนุ่มจึงต้องศึกษาวิชานี้ด้วยตัวเองทั้งหมด
ว่ากันว่าตระกูลเย่มีผู้เปี่ยมพร์อันยอดเยี่ยมซึ่งสามารถบรรลุเพลงกระบี่สุริยคราสได้ถึงขั้นที่สาม ซึ่งสามารถทำให้เกิดเปลวไฟเมื่อตวัดปราณกระบี่ได้ และทุกครั้งที่ฟาดฟันกระบี่ก็สามารถหลอมทองและเหล็กให้ละลายได้ อุณหภูมิที่สูงสุดขีดสามารถเผาผู้คนที่อยู่ห่างออกไปและกำจัดศัตรูที่แข็งแกร่งให้ไหม้เป็จุณ
หลังจากเย่เฟิงพยายามฝึกฝนเพลงกระบี่สุริยคราสด้วยความยากลำบากก็พบว่าหลักการเพลงกระบี่กระบวนนี้แตกต่างจากวิชาเซียน หากเป็วิชากระบี่เซียนตระกูลไฟ เปลวไฟที่ถูกกระตุ้นออกมาล้วนเป็ธาตุไฟในธรรมชาติ มันจะร้อนจัดเมื่ออยู่ภายนอก แต่เพลงกระบี่สุริยคราสเป็ความร้อนจากภายในสู่ภายนอก เมื่อใช้เพลงกระบี่กระบวนนี้พลังภายในทั่วร่างกายของผู้ฝึกวรยุทธ์จะเดือดพล่าน ทำให้กระบี่เล่มยาวในมือร้อนผ่าวไปด้วย
ทั้งสองรูปแบบนี้ เย่เฟิงเองก็ไม่รู้ว่าอันไหนดีกว่ากัน
วิชาเซียนค่อนข้างใช้งานสะดวกกว่า แต่มีข้อเสียมากเกินไป เช่น ไม่สามารถใช้วิชากระบี่เซียนตระกูลไฟได้ในสถานที่ที่อากาศหนาวจัด เนื่องจากมีธาตุไฟอยู่ในอากาศโดยรอบน้อยมาก แม้จะดึงดันใช้ก็ไร้อานุภาพ แต่ไม่ใช่กับเพลงกระบี่สุริยคราส เพราะไม่ว่าตัวผู้ใช้จะอยู่ที่ไหนก็สามารถใช้มันได้โดยอาศัยพลังภายในที่เดือดพล่านในร่างกายของตัวเอง
อย่างนั้นนำทั้งสองอย่างมารวมกันได้ไหม?
เย่เฟิงตกอยู่ในห้วงความคิดและศึกษาเื่นี้เป็ระยะเวลานาน การนำผสมผสานวิทยายุทธ์กับวิชาเซียนนั้น ในความคิดของเขา มันก็พอเป็ไปได้ การนำส่วนดีเสริมส่วนที่บกพร่อง เมื่อผนวกเข้ากันแล้วจะต้องเพิ่มขีดจำกัดความสามารถในการต่อสู้อย่างแน่นอน
ในที่สุดเวลานี้ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ออกมาแล้ว โอวบี หลินซือฉิง เซียวฉี่ และนักเรียนคนอื่นในโรงเรียนมัธยมสังกัดมหาวิทยาลัยเยี่ยนต่างคิดว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่เย่เฟิงโหมเตรียมตัวสอบคงไม่มีประโยชน์อะไร และอันที่จริงก็มีซูเมิ่งหานรวมอยู่ในนั้นด้วย แต่เมื่อผลการสอบออกมาแล้ว พวกเขากลับต้องตกตะลึง เย่เฟิงได้คะแนนต่ำกว่าซูเมิ่งหานเพียงสองคะแนนเท่านั้น!
เื่นี้ทำให้บางคนข้องใจว่าเย่เฟิงทุจริตในการสอบหรือไม่? มันดูเหมือนเป็การคัดลอกเลย! แต่เมื่อตรวจสอบก็พบว่าในวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย เย่เฟิงไม่ได้สอบห้องเดียวกับซูเมิ่งหาน
ต่อมาก็สงสัยกันอีกว่า หรือเย่เฟิงใช้อำนาจของคนหนุนหลังสั่งให้แก้ไขผลการสอบ? นี่เป็เื่ไร้สาระยิ่งกว่า ในไม่ช้าก็มีคนออกมาโต้กลับว่าหากเย่เฟิงมีเส้นสายจริงก็คงไม่ต้องแก้ไขคะแนนสอบให้เสียเวลา ถ้าอยากเข้ามหาวิทยาลัยไหนก็สามารถเข้าได้เลย แล้วยังจำเป็ต้องแก้ไขผลการสอบให้คนสงสัยทำไม หรือเขาอยากยั่วยุให้คนสงสัยเฉยๆ เหรอ?
ในไม่ช้าทุกคนก็ได้ข้อสรุปว่า ผลการสอบของเย่เฟิงเป็ไปตามความสามารถที่แท้จริงของเขานั่นแหละ! ด้วยคะแนนสอบนี้ เย่เฟิงอยากเข้ามหาวิทยาลัยเยี่ยนก็ไม่เป็ปัญหา นอกจากนี้เขายังสามารถเลือกสาขาวิชาที่ดีกว่าได้ด้วย แน่นอนว่าสำหรับเย่เฟิงไม่ว่าจะเรียนที่ไหนสาขาวิชาอะไรก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือคนที่อยู่ด้วยกันคือใครต่างหาก
จะไปที่ไหนก็ไม่สำคัญ ขอแค่ได้อยู่กับซูเมิ่งหานก็พอ แต่แน่นอนว่าตอนนี้เขายังไม่สามารถเข้าเรียนได้ เพราะทะเลทรายยังรอเขาอยู่
ส่วนหลงหว่านเอ๋อร์ แน่นอนว่าเธอไม่อยากไปเรียนต่ออีกแล้ว เพราะขณะหญิงสาวอยู่ที่ตระกูลหลงก็ผ่านการเรียนหลักสูตรปกติของปริญญาตรีจนถึงปริญญาโทมาเกือบทั้งหมดแล้ว สำหรับเธออยู่บ้านฝึกฝนวิชาเซียนให้มากขึ้นจะได้ประโยชน์กว่า ตอนนี้หญิงสาวสนใจวิชาเซียนมาก เธอจะฝึกฝนและทำความเข้าใจคนเดียวบ่อยๆ วิชาเซียนเปิดโลกอีกใบในใจของเธอและยังเปิดประตูอีกบานให้กับโลกของเธอด้วย เธอยังขอให้เย่เฟิงช่วยสอนทักษะผสานิญญาและการฝึกิญญา เพราะสนใจด้านนี้ และคิดว่าการที่คนเรามีจิติญญาหลังความตายจริงๆ เป็เื่มหัศจรรย์มาก
ต่างจากจื่อเจี้ยนหลาน แม้ตอนอยู่ที่สำนักอิ่นเซียนจะได้เรียนอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงโหยหาการใช้ชีวิตเด็กมหาวิทยาลัยข้างนอกมาก เย่เฟิงจึงขอให้เย่เวิ่นเทียนช่วยหาเส้นสายแล้วจัดการให้เธอได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเยี่ยนและไปเรียนหนังสือพร้อมกับซูเมิ่งหาน
ด้วยความสามารถของตาเฒ่าเย่เวิ่นเทียนก็น่าจะทำเื่แบบนี้ได้ นอกจากนี้เย่เวิ่นเทียนก็คิดว่าจื่อเจี้ยนหลานเป็หลานสะใภ้คนหนึ่งเช่นกัน จึงเต็มใจที่จะช่วยเหลือเธอในเื่นี้
ส่วนพวกหนานฟาง เตาปา จ้าวอี้เปยและหลิงเฉินก็ทุ่มเทกับการฝึกฝนมากขึ้น ไม่มีใครลดละความพยายามเลย ในบรรดาคนข้างกายเย่เฟิงมีเพียงชูชูเท่านั้นที่ไม่กระตือรือร้นในการฝึกฝน
หลังจากสังเกตมาระยะหนึ่ง เย่เฟิงพบว่าระดับความรู้ด้านสมุนไพรของชูชูมีมากกว่าคนทั่วไป จึงให้เธอรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคนิคของเตาเฟิงฟาร์มาซี หากโอวบีมีปัญหาอะไรจะได้ขอคำแนะนำจากชูชูได้ ด้วยการช่วยเหลือของชูชูทำให้เย่เฟิงรวบรวมสมุนไพรที่มีประโยชน์กองโตได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเขาจ่ายเงินเหมือนสายน้ำเลย
สมุนไพรทุกชนิดที่ซื้อมา เย่เฟิงจะใช้เวลาว่างนำมากลั่นเป็เม็ดยาสองอย่างที่สำคัญที่สุด คือยาฟื้นคืนพลังชี่และยารักษาอาการาเ็ภายใน ไม่ใช่ว่าเคล็ดแสงศักดิ์สิทธิ์จะใช้เมื่อใดก็ได้ เพราะว่าบางครั้งก็จำเป็ต้องปิดบังร่องรอย แสงสีทองของเคล็ดแสงศักดิ์สิทธิ์สะดุดตาเกินไป และเวลาที่ใช้ทักษะล่องหนจะไม่สามารถใช้วิชาเซียนอื่นๆ ได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็การเปิดเผยร่องรอย
เพื่อความปลอดภัยเย่เฟิงจึงกลั่นเม็ดยารักษาอาการาเ็ภายในออกมาบางส่วนอย่างหยาบๆ เพื่อเตรียมไว้ใช้ในยามคับขัน หากกลืนยามูลค่าหลายล้านนี้ลงไปแล้วผสานรวมกับพลังชี่ในนั้น ผลการรักษาก็ไม่ได้ด้อยกว่าพลังของเคล็ดแสงศักดิ์สิทธิ์เลย
วิชาเซียนการหลอมของสำนักสุสานดวงดาวจะสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีระดับพลังการบ่มเพาะยี่สิบปี แต่วิชาเซียนหลอมโอสถจะต้องมีระดับพลังบ่มเพาะสามสิบปี ซึ่งถูกเรียกไม่เหมือนกันคือเคล็ดหลอมดวงดาวกับเคล็ดโอสถดวงดาว หากมีพลังบ่มเพาะขั้นสามสิบปีแล้ว เย่เฟิงจะสามารถรวบรัดขั้นตอนการกลั่นยา ลดต้นทุน และปรับปรุงประสิทธิภาพของยาพวกนี้ได้ น่าเสียดายที่ตอนนี้ทำได้แต่แบบหยาบๆ เท่านั้น
หากจะบอกว่าตอนนี้การกลั่นยาหนึ่งเม็ดมีต้นทุนห้าล้านหยวน หากเย่เฟิงมีระดับพลังบ่มเพาะสามสิบปีเมื่อไร เขา้าแค่หนึ่งล้านหยวนก็เพียงพอแล้ว ซึ่งความต่างนี้มันมากเกินไป
อีกด้านหนึ่ง เย่เฟิงศึกษาค้นคว้าทีละเล็กทีละน้อยจนวิชากระบี่ไร้ตัวตน เพลงกระบี่สุริยคราส และเพลงกระบี่บุปผาเหมันต์ฝ่าสายลมล้อมจันทราล้วนมีความก้าวหน้าไปไกลมาก
แน่นอนว่าวิทยายุทธ์ประจำตระกูลหลงอย่างเพลงกระบี่บุปผาเหมันต์ฝ่าสายลมล้อมจันทราเป็หลงหว่านเอ๋อร์ที่สอนให้เขา หากเย่เฟิงมีกระบี่สองเล่ม ชายหนุ่มจะสามารถใช้ทั้งเพลงกระบี่สุริยคราสและเพลงกระบี่บุปผาเหมันต์ฝ่าสายลมล้อมจันทราในเวลาเดียวกันได้ เมื่อสองสิ่งที่ต่างกันสุดขั้วอย่างน้ำแข็งและเปลวไฟมารวมกัน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะะเิพลังแบบไหนออกมา?
การฝึกฝนกระบี่ไร้ตัวตนอย่างไม่หยุดยั้งทำให้ปฏิกิริยาของเย่เฟิงว่องไวมากขึ้น
เมื่อเย่เฟิงเริ่มร่ายรำกระบี่ไร้ตัวตน ขณะเดียวกันก็สามารถปลดปล่อยปราณกระบี่เก้าสายออกมาได้ด้วย แต่เมื่อไรที่ระดับพลังของเขาเลื่อนขึ้นตลอดจนบรรลุขั้นเพลงกระบี่กระบวนนี้ได้ ชายหนุ่มจะสามารถปล่อยปราณกระบี่ออกมาสิบสาย สิบเอ็ดสาย... และมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ในคราเดียว
ยิ่งปราณกระบี่มากเท่าไร พลังทำลายล้างก็ยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น หากมีปราณกระบี่สิบแปดสายล่ะก็ อานุภาพจะแข็งแกร่งเป็สองเท่าเมื่อเทียบกับตอนสังหารฉีหลินจือในเวลานั้น ไม่เพียงแต่ในโลกนี้ แม้จะกลับไปที่โลกเทวะ ล้วนสามารถสังหารคนระดับพลังบ่มเพาะเดียวกันได้อย่างง่ายดาย!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใน่ปิดเทอมฤดูร้อนสองเดือนที่นักเรียนเตรียมสอบคนอื่นๆ กำลังผ่อนคลายกัน แต่เย่เฟิงกลับเพิ่มความพยายามมากขึ้นหลายเท่าตัวสองเดือนต่อมา ความเปลี่ยนแปลงของการเคี่ยวกรำวิทยายุทธ์จนเก่งกล้าของเย่เฟิงก็ปรากฏขึ้น!