ไม่กี่วันหลังจากนั้น เสนาบดีจางซวนหลงตัดสินใจส่งจางเหม่ยอิงกลับไปเรียนที่สำนักศึกษาในวังหลวงตามเดิม
“อิงเอ๋อร์ พ่อเห็นว่าเ้าหายดีแล้ว ควรกลับไปที่สำนักศึกษาเถอะ หากขาดเรียนนานเกินไป เกรงว่าผู้อื่นจะมองเ้าไม่ดี พ่อไม่อยากให้ใครว่าร้ายลูกของพ่ออย่างนั้นเลย”
“นั่นสิ ข้าเองก็เห็นด้วยกับพ่อของเ้า เกรงว่าหนูชิงเอ๋อร์และสหายคนอื่นๆ คงคิดถึงเ้าเต็มที” มารดาของนางเสริม
จางเหม่ยอิงยิ้มเล็กน้อยในใจ ‘ผิงชิงเสีย...ดีแล้ว ข้าจะใช้โอกาสนี้สืบเื่ยาพิษให้ได้’
“หากท่านพ่อและท่านแม่เห็นสมควร พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปเรียนเ้าค่ะ”
ในสำนักศึกษาแห่งนั้น เป็ที่รวมตัวของบุตรสาวบุตรชายขุนนาง รวมถึงองค์หญิงและองค์ชายที่ต้องมาเข้าร่วมเรียนเช่นกัน งั้นก็เป็ได้ว่าวันพรุ่งนี้นางอาจจะต้องพบคู่หมั้นแสนหยาบคายผู้นั้น
วันรุ่งขึ้น ระหว่างที่จางเหม่ยอิงกำลังเดินผ่านทางเดินใหญ่เพื่อจะเข้าสู่ห้องเรียนนั่นเอง
“เหม่ยอิง เ้าเป็อย่างไรบ้าง เห็นว่าอาการของเ้าไม่ค่อยสู้ดีนัก?”
ผิงชิงเสียเดินเขามาทักมายพร้อมกับสหายของนางสองคน แม้คำถามจะดูเหมือนว่าพวกนางห่วงใย แต่หน้าตาท่าทางของพวกนางกลับบ่งบอกได้ว่ามันไม่ได้เป็เช่นนั้น
“น่าสงสารเ้าเสียจริง ขนาดป่วยหนักแท้ๆ แต่ทำไมองค์ชายสามถึงไม่ไปเยี่ยมเ้าเลย เอาแต่เดินตามสหายของข้าทุกวัน” สหายอีกคนของผิงชิงเสียเสริม พร้อมรอยยิ้มที่ดูเหมือนยั่วเย้า
“ใช่แล้ว… เ้าสบายดีจริงหรือ ที่เห็นองค์ชายสามเอาแต่ตามติดชิงเอ๋อร์แทนที่จะสนใจคู่หมั้นอย่างเ้า” สหายอีกคนหนึ่งพูดขึ้น
จางเหม่ยอิงยิ้มเย็น นึกขบขันในใจว่าร่างเดิมทนให้คนอื่นเหยียดหยามแบบนี้มาตลอดได้อย่างไรทั้งๆ ที่ตนเองเป็ถึงบุตรสาวของเสนาบดีใหญ่
“ข้าไม่ถือสาหรอกที่องค์ชายไม่มาหาข้า เพราะจวนตระกูลจางของท่านพ่อไม่ค่อยถนัดต้อนรับเชื้อพระวงศ์เท่าไหร่” จางเหม่ยอิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ
“หากเป็แขกรากหญ้าหรือคนที่ต่ำต้อยกว่านั้นอาจจะพอได้ต้อนรับอยู่บ้าง เพราะบิดาของข้าเป็ถึงเสนาบดีกรมยุติธรรม… อ้อ! ข้าลืมไปเสียสนิทเลย ชิงเอ๋อร์ ผ้าแพรที่เ้านำมามอบให้ข้าที่จวนของท่านพ่อนั้น ข้าชอบมันมากนะ”
ผิงชิงเสียถึงกับหน้าเสียราวกับถูกตบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัว จางเหม่ยอิงพูดต่อโดยไม่สนใจท่าทีของนาง
“ข้าชอบผ้าแพรที่เ้ามอบให้ในวันนั้นยิ่งนัก ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์นึกถึงข้าอยู่เสมอ”
คำพูดนี้ทำให้ผิงชิงเสียถึงกับสะดุ้ง รู้สึกเหมือนจางเหม่ยอิงล่วงรู้ถึงเจตนาที่ซ่อนอยู่ในของขวัญชิ้นนั้น
ในขณะที่จางเหม่ยอิงกำลังสนทนากับผิงชิงเสียอย่างเผ็ดร้อน องค์ชายสามหวังกู้หย่งก็ปรากฏตัวขึ้น เขาก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดวงตาแข็งกร้าวและพูดเสียงเข้มใส่จางเหม่ยอิง
“บุตรสาวตระกูลจางผู้สูงส่งคิดจะพูดจาดูิ่ชิงเอ๋อร์ไปถึงไหนกัน? ใยเ้าถึงได้ละทิ้งเวลารักษาสุขภาพของตัวเองมาเที่ยวระรานชาวบ้านเช่นนี้”
จางเหม่ยอิงเงยหน้ามององค์ชายสามอย่างไม่สะทกสะท้าน แววตาเ็า นางยิ้มบางๆ ให้กับเขา
“องค์ชายพูดเช่นนี้ หมายความว่าท่านยอมรับแล้วหรือไม่ว่าชิงเอ๋อร์เป็เพียงชาวบ้านชนชั้นรากหญ้า? แต่ว่าข้าได้ยินเขาลือกันไปทั่วต่างบอกว่าองค์ชายชอบทำตัวติดพันสาวชนนั้นรากหญ้าผู้นี้อยู่ไม่ห่างเลยมิใช่หรือเพคะ”
คำพูดของจางเหม่ยอิงทำให้ทั้งหวังกู้หย่งและผิงชิงเสียถึงกับนิ่งอึ้ง ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่องค์ชายสามเพื่อรอคอยปฏิกิริยาของเขา
จางเหม่ยอิงเพียงมองด้วยรอยยิ้มบาง นางเพียงกล่าวเื่ที่เป็ความจริง หากพวกเขาอยากหาเื่นางก็เข้ามาเลย จางเหม่ยอิงคนนี้ไม่กลัวหรอก
“อิงเอ๋อร์ เ้าจะว่าอะไรข้าไม่เป็ไร แต่องค์ชายเป็ถึงคู่หมั้นของเ้า เ้าจะพูดจาดูิ่คู่หมั้นตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะ อีกไม่กี่เดือนเ้ากับองค์ชายก็จะเข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว”
ผิงชิงเสียพูดเสียงอ่อนแสร้งทำเป็แม่นางแสนดี หวังจะเรียกความสงสารจากองค์ชายสามที่ยืนเคียงข้างนาง
“องค์ชายสามยังไม่พูดเลยว่าเขาไม่พอใจข้า แล้วเ้าจะเดือดร้อนอะไรล่ะ ชิงเอ๋อร์ แต่ถ้าเกิดองค์ชายไม่พอใจนัก ก็ไปขอฝ่าายกเลิกการแต่งงานเสียสิ พวกท่านอยากจะพลอดรักกันให้ชื่นใจก็เชิญ ข้าจะพูดตรงนี้แค่ครั้งเดียว ให้ฟ้าดินเป็พยานว่าข้าไม่ได้มีความคิดที่อยากจะแต่งงานกับคนอย่างองค์ชายสาม”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนโดยรอบตกตะลึง ใครๆ ก็รู้ดีว่าจางเหม่ยอิงเคยรักองค์ชายหวังกู้หย่งอย่างหมดใจ แต่วันนี้นางกลับพูดอย่างไร้เยื่อใยแบบนี้ได้อย่างไรกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของจางเหม่ยอิง องค์ชายสามหวังกู้หย่งถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความประหลาดใจปนความโกรธที่ไม่สามารถซ่อนไว้ได้
เขาไม่เคยคาดคิดว่าจางเหม่ยอิงผู้ที่เคยรักและหลงใหลในตัวเขาอย่างหมดหัวใจ จะพูดออกมาอย่างไม่แยแสเช่นนี้ ราวกับการหมั้นหมายของพวกเขาไม่มีความหมายใดๆ
ความรู้สึกในใจของเขาสับสนไปหมด จากความเชื่อมั่นว่าจางเหม่ยอิงจะไม่มีวันกล้าต่อต้าน กลับกลายเป็ความรู้สึกเสียหน้าและถูกท้าทาย เขาขบกรามแน่น มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเ็า ทั้งโกรธและสงสัยว่าเหตุใดนางถึงเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้
“ใครกันที่ทำเสียงเอะอะโวยวายในเขตพระราชวัง” เสียงทุ้มลึกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ทำให้ทุกคนตรงนั้นเงียบสงบทันที
องค์ชายใหญ่ “หวังหลิวหย่ง” ก้าวเท้าเข้ามากลางวงสนทนาอย่างองอาจ เขามีร่างกายสูงโปร่ง บุคลิกสุขุมและสงบเสงี่ยมบ่งบอกถึงการเป็ผู้ใหญ่ เสื้อคลุมยาวสีทองแซมดำปักลวดลายัสามเล็บอันประณีต บ่งบอกถึงฐานะอันสูงส่งขององค์ชายรัชทายาท
เขาเดินมาหยุดตรงหน้าหวังกู้หย่งอย่างสง่างาม ก่อนจะพูดกับน้องชายโดยที่สายตาจับจ้องไปที่จางเหม่ยอิง ความอ่อนไหวบางอย่างสะท้อนออกมาจากสายตาคู่นั้น...
“กู้หย่ง เหตุใดจึงเอาแต่กล่าวโทษคู่หมั้นของเ้าเช่นนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่าเ้าต้องให้เกียรติกับสตรีอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็ใครก็ตาม”
หวังกู้หย่งหรี่ตา มองพี่ชายอย่างไม่พอใจ
“เสด็จพี่ เกรงว่านี่เป็เื่ระหว่างข้ากับคู่หมั้นของข้า ข้าเห็นว่าไม่จำเป็ต้องให้ท่านมาแทรกแซงแต่อย่างใด”
หวังหลิวหย่งยิ้มบางๆ ราวกับไม่ใส่ใจคำพูดของน้องชายแต่อย่างใด
“ข้าเพียงเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ไม่สมกับการเป็เชื้อพระวงศ์เลยสักนิด และข้าก็เห็นว่าจางเหม่ยอิงยังไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เ้าควรจะให้เกียรตินางซึ่งเป็คู่หมั้นมากกว่านี้”
จางเหม่ยอิงที่ยืนฟังอยู่ ยิ้มบางๆ และมองหวังกู้หย่งด้วยสายตาเย้ยหยัน
“องค์ชายใหญ่กล่าวได้ถูกต้องเพคะ ข้าก็แค่หลีกทางให้คนรักกันทำไมต้องมาเหยียดหยามข้าด้วย”
คำพูดนี้ทำให้หวังกู้หย่งโกรธจัด แต่ก็ถูกความสงบนิ่งขององค์ชายใหญ่ทำให้เขาไม่กล้าโต้ตอบตรงๆ หวังหลิวหย่งหันมาหาจางเหม่ยอิงและพูดอย่างอ่อนโยน
“อิงเอ๋อร์ อย่าได้กังวลไป หากมีสิ่งใดที่ข้าช่วยเ้าได้ ข้ายินดีเสมอ”
จางเหม่ยอิงโค้งศีรษะเล็กน้อยและกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่เพคะ”
“เหม่ยอิง ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว ให้ข้าเดินไปส่งเ้าเถิด” องค์ชายใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หากองค์รัชทายาทไม่รังเกียจหม่อมฉัน ก็ย่อมได้เพคะ”
พูดจบทั้งสองเดินเข้าไปด้านในด้วยกันโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้าง ราวกับมีเพียงพวกเขาสองคนอยู่ในโลกใบนี้
หวังกู้หย่งเห็นดังนั้นจึงรู้สึกไม่พอใจทันที แม้ว่าเขาเองจะไม่เคยรักจางเหม่ยอิง แต่ในเมื่อนางเป็คู่หมั้นของเขา เขาก็ไม่ยอมให้ใครโดยเฉพาะพระอนุชาของเขามาแย่งนางไป
เขารู้มาตลอดว่าพระอนุชาของเขามีใจให้จางเหม่ยอิง แต่ตระกูลจางปฏิเสธอย่างหนักแน่น เพราะองค์ชายใหญ่มีพระชายาเอกอยู่แล้ว ตระกูลจางไม่้าให้บุตรสาวต้องเป็เพียงชายารองจึงกีดกันองค์องค์ชายใหญ่ถึงแม้ว่าเขาจะมียศศักดิ์เป็ถึงรัชทายาท มองผิวเผินดูเหมือนว่าตระกูลจางจะให้ความสำคัญกับบุตรสาวคนนี้มากเสียเหลือเกิน
ผิงชิงเสียที่เห็นหวังกู้หย่งมองตามคู่หมั้นไปรู้สึกหวั่นใจนางจึงแสร้งทำเป็อ่อนแอล้มพับลงกับพื้น หวังเรียกร้องความสนใจจากหวังกู้หย่ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังกู้หย่งก็แสดงความเป็ห่วงออกนอกหน้า แม้จะไม่ยอมแตะต้องตัวนางแต่ก็รีบสั่งให้นางกำนัลช่วยพยุงผิงชิงเสียขึ้นและพาไปหาหมอหลวงในวังทันที
“อิงเอ๋อร์! เกิดอะไรขึ้นกับเ้า...พานางไปหาหมอหลวงโดยด่วน!”
หวังกู้หย่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม ใบหน้าของเขาแสดงความกังวลอย่างชัดเจน ขณะที่ผิงชิงเสียนั้นกลับลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้