เมื่อถึงตอนเที่ยงหวังไห่ก็มาอีกครั้ง คราวนี้ได้พบกับหลี่ซานแล้วจึงเล่าเื่ที่เจิ้งโหย่วเลี่ยงหลอกเอาวิธีการก่อเตียงเตาไปขายในแต่ละเมืองของภาคเหนือให้ฟังอย่างรวบรัด จากนั้นก็กล่าวขอโทษอย่างจริงใจและมอบที่ดินให้สี่หมู่
“ผู้ใดจะคาดเดาได้ว่า ผู้ดูแลเจิ้งเป็พวกชั่วที่กินคนจนไม่เหลือกระดูกเช่นนี้ เพื่อจะหลอกเอาวิธีการก่อเตียงเตาของพวกเราถึงกับไม่เลือกวิธีการเชียว” หลี่ซานได้รับที่ดินสี่หมูมาแล้ว แต่อารมณ์กลับยังไม่ดีขึ้น นี่เป็ที่ดินที่เขาอยากใช้เงินซื้อมาตลอด แต่ก็ไม่อาจเทียบกับเงินพันตำลึงได้
จ้าวซื่อยกมือขึ้นนวดขมับ กล่าวด้วยท่าทางทอดถอนใจสุดเปรียบ “เงินพันตำลึงมากพอที่จะส่งคนสิบคนไปเรียนหนังสือและร่วมสอบเคอจวี่ได้เลย”
หลี่หรูอี้ทอดถอนใจยาวๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าครอบครัวเราจะคิดวิธีก่อเตียงเตาออกมาได้ ตอนนี้ไม่มีแล้ว เงินพันตำลึงก็เป็ของผู้อื่นไปแล้ว แต่กลับทำอะไรไม่ได้”
ผู้ใดใช้ให้ครอบครัวตนไม่มีอิทธิพลไม่มีอำนาจเล่า ตอนนั้นจึงทำได้เพียงร่วมมือกับตระกูลหวัง ส่วนตระกูลหวังก็ไม่มีซิ่วไฉแม้แต่คนเดียว ล้วนเป็สามัญชนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็ฝั่งใดก็ล้วนแต่ไร้ซึ่งอำนาจ
เจิ้งโหย่วเลี่ยงจะต้องสืบมาจนรู้ชัดแล้วเป็แน่ จึงกล้าลงมือกล้าหลอกเอาวิธีการก่อเตียงเตาไปขายในเมืองทางเหนืออย่างเปิดเผยเช่นนี้
หวังไห่เห็นคนบ้านหลี่ยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าพูดเื่ขายเต้าหู้อีก เขานั่งคุยกันอยู่พักใหญ่สุดท้ายก็กลับไปที่บ้าน ได้แต่พูดขอร้องเฟิงซื่อว่า “ภรรยาข้า เ้ากับจ้าวซื่อมีความสัมพันธ์กันดุจพี่น้อง เ้าช่วยส่งต่อคำพูดของข้าด้วยเถิด ลองถามดูหน่อยว่า บ้านหลี่จะขายเต้าหู้ให้ตระกูลเราได้หรือไม่”
“ท่านไม่มีหน้าไปพูด แล้วข้าจะมีหน้าไปพูดหรือ” เฟิงซื่อขมวดคิ้ว
หวังไห่ขอร้องอยู่พักใหญ่ เฟิงซื่อก็ไม่ได้รับปาก บอกเพียงว่าจะลองถามดู ทว่าคงต้องรออีกสองวันเพื่อให้เื่นี้ซาลงก่อน และรอให้บ้านหลี่อารมณ์เย็นลงสักหน่อย
หวังไห่ไปนอนสงบอารมณ์ กระทั่งข้าวเที่ยงก็ไม่ได้กิน กินไปไม่กี่คำก็ออกไปคุยกับผู้าุโในตระกูล เื่นี้ผิดต่อบ้านหลี่มากจริงๆ บ้านหลี่ไม่ได้คิดเอาความตระกูลหวังก็นับว่าเป็บุญแล้ว ตระกูลหวังยังจะกล้าขอร้องบ้านหลี่เื่ซื้อขายเต้าหู้ได้อีกหรือ รอให้ผ่านไปอีกหลายวันค่อยว่ากันเถิด
หวังไห่นึกถึงเื่ที่นายอำเภอห่าว้าให้พวกตนไปก่อเตียงเตาให้ตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งขึ้นมาได้ จึงรีบไปบอกผู้าุโในตระกูล พวกเขาบอกเื่นี้กับคนในตระกูล ทุกคนต่างมองในแง่ดี จึงบอกให้คนในตระกูลรอไปก่อน
เมื่อสายฝนประจำฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้นไป อากาศก็ยิ่งหนาวเย็น
ตระกูลหวังก่อเตียงเตาให้จวนเจียงไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เตียงเตาที่มีในจวนถูกจุดทุกเตียงทำให้อบอุ่นในยามค่ำคืน ไม่ต้องจุดถ่านไร้ควันที่มีราคาแพง
คนตระกูลหวังห้าคนทำงานทั้งวันจนเนื้อตัวเปื้อนดินโคลนเต็มไปหมด เหนื่อยราวกับสุนัขจนต้องนั่งพักอยู่ตรงขั้นบันไดบริเวณลานด้านหลัง ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็คนพูดเื่ร้านยาของตำบลจินจีขึ้นมาก่อน สุดท้ายก็มีคนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “หมอที่ร้านยาในตำบลจินจีปฏิเสธพวกเรา ไม่ยอมรักษาคนหมู่บ้านหลี่ของพวกเรา แต่ข้าไม่กลัว ที่หมู่บ้านหลี่ของพวกเรามีหมอเทวดาน้อยอยู่ วิชาแพทย์สูงส่งกว่าหมอในร้านยาเสียอีก”
“หมอเทวดาน้อยตรวจโรคให้พวกเราโดยไม่เก็บเงินด้วยซ้ำ”
“ไม่เพียงแต่จะตรวจโรคให้พวกเรา ทั้งยังปรุงยาให้พวกเราด้วย ไม่ว่าจะเป็อาการป่วยชนิดใดก็ปรุงยารักษาได้ทั้งสิ้น”
บ่าวไพร่ที่รับหน้าที่ประจำลานด้านหลังได้ยินบทสนทนาของคนทั้งห้า ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา “หมอเทวดาน้อยที่พวกเ้าว่ารักษาโรคอะไรไปแล้วบ้าง?”
“แผลจากพิษของแตน หลานชายข้าอายุสามขวบ ถูกแตนต่อยที่ท้องจนบวมเป่ง หมอเทวดาน้อยจับชีพจรให้เขาแล้วทายาให้ เพียงครึ่งวันอาการบวมก็ลดลงแล้ว”
“น้องสะใภ้ข้าหูไม่ดี ได้ยินเสียงวิ้งๆ ในหู หมอเทวดาน้อยมาตรวจนางแล้วออกยาให้ น้องสะใภ้ข้ากินยาไปสองวันก็ดีขึ้นแล้ว”
“หลานชายข้าตกลงไปในแม่น้ำ พอถูกดึงขึ้นมาก็ไม่มีลมหายใจแล้ว หมอเทวดาน้อยกดหัวใจให้เขาจนสำลักน้ำออกมา แล้วกลับมามีชีวิต”
คนทั้งห้าผลัดกันเล่าและยกตัวอย่าง ทั้งหมดล้วนเป็คนจริงเื่จริง ทั้งยังมีบางคนเห็นกับตาเจอกับตัว บ่าวไพร่ที่ได้ยินดังนั้นก็ตะลึงพรึงเพริด ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “หมอเทวดาน้อยของหมู่บ้านเ้ามีวิชาแพทย์เก่งกาจเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ไปเปิดร้านยาที่เมืองเยี่ยนเพื่อช่วยเหลือผู้คนเล่า?”
“คือ…” คนทั้งห้ามองหน้าสบตากัน ไม่รู้ว่าควรจะเปิดเผยตัวตนของหมอเทวดาน้อยออกไปหรือไม่
บ่าวผู้นั้นเอ่ยถาม “ทำไม หมอเทวดาน้อยไม่เต็มใจไปอยู่ที่เมืองเยี่ยนหรือ”
“มิใช่เช่นนั้น เพียงแต่มีเหตุผลอื่น”
บ่าวผู้นั้นถามยิ้มๆ “สาเหตุอันใดเล่า”
“หมอเทวดาน้อยของหมู่บ้านเราเป็เด็กหญิงอายุไม่ถึงสิบขวบ”
บ่าวผู้นั้นมีสีหน้าสงสัย “ที่แท้หมอเทวดาน้อยที่พวกเ้าอวดอ้างก็เป็เพียงเด็กน้อยที่ยังไม่โต”
“ท่านคงไม่เชื่อกระมัง หมอเทวดาน้อยของหมู่บ้านเราไม่เพียงแต่จะมีวิชาแพทย์สูงส่ง นางยังฉลาดมากด้วย”
“วิธีก่อเตียงเตาก็มาจากหมอเทวดาน้อย”
“เต้าหู้ เต้าฮวย ก็เป็ของที่หมอเทวดาน้อยคิดออกมา”
“ใช่แล้ว หมอเทวดาน้อยยังทำหมวกนิรภัยให้บิดาและท่านอาของนางด้วย ได้รับรางวัลจากจวนขุนนางของเมืองเยี่ยนด้วย”
คนทั้งห้ากลัวว่าบ่าวผู้นั้นจะไม่เชื่อ จึงเล่าเื่ต่างๆ ของหมอเทวดาน้อยออกมาอีก
คนผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องที่ลานด้านหลัง
คนผู้นี้สวมอาภรณ์สีขาวคลุมด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำ งดงามยิ่งกว่าสตรี หล่อเหลายิ่งกว่าบุรุษ เพียงแต่ใบหน้าดูขาวซีดท่าทางอ่อนแอเป็อย่างยิ่ง
บ่าวผู้นั้นกำลังจะนั่งลงตรงบันไดเพื่อพูดคุยกับคนตระกูลหวังทั้งห้า เมื่อเห็นคนผู้นี้ก็รีบลุกขึ้นยืน ก้มหน้าลงต่ำ พูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมว่า “นายท่าน”
คนตระกูลหวังทั้งห้าไหนเลยจะเคยเห็นเด็กหนุ่มที่งดงามปานนี้ ทำเอาดวงตาพร่าเลือน มองจนตาค้างไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อตั้งสติได้ก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วโค้งตัวคารวะ “ข้าน้อยน้อมพบนายท่านขอรับ” พลางคิดในใจว่า มีเด็กหนุ่มที่ดูดีเช่นนี้เป็นายท่านด้วยหรือ
ในหมู่ห้องที่เรียงรายกันอยู่ที่ลานด้านหลัง มีห้องห้องหนึ่งเป็ห้องหนังสือ ใช้เก็บตำราที่จวนอ๋องส่งมาให้ เจียงชิง อวิ๋น้าหาตำราโบราณเล่มหนึ่งจึงมาที่นี่ ผลกลับกลายเป็ว่าได้ยินคนตระกูลหวังพูดถึงหมอเทวดาน้อยอายุเก้าขวบอันใดนั่น เมื่อได้ฟังเื่หมวกนิรภัย ในสมองพลันปรากฏภาพหมวกที่ทำจากหวายใบนั้นขึ้นมา ยิ่งทำให้เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นอีกครั้ง จึงคิดว่าจะออกมาถามสักหน่อย
“หมอเทวดาน้อยที่พวกเ้าพูดถึงอยู่ที่หมู่บ้านใดแซ่อะไร”
“หมู่บ้านหลี่ แซ่หลี่ขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นถามต่อไป “เต้าหู้นางก็เป็คนทำหรือ”
“ขอรับ อ้อ... จริงสิ ยังมีขนมไหว้พระจันทร์รสหวานด้วย ได้ยินว่านางก็เป็คนทำขอรับ”
“มีฝีมือครัวสูงส่ง ทั้งยังมีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมเพียงนี้ หากนางบรรลุนิติภาวะแล้วข้ายังพอเชื่อได้บ้าง แต่นางเป็เพียงเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบ จะให้เชื่อได้อย่างไร”
“นายท่านเจียง เื่เหล่านี้เป็เื่จริงขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวอย่างเนิบช้า “เพื่อทำให้นางมีชื่อเสียง คนตระกูลหลี่จึงนำเื่ที่คนทั้งครอบครัวทำไปแอบอ้างว่านางเป็คนทำกระมัง ช่างฉลาดเฉลียวและเ้าเล่ห์จริงๆ ทำเช่นนี้มีแผนอันใดกันแน่?”
หลังจากที่เขานึกถึงเื่หมวกนิรภัยขึ้นมาได้ ก็คิดต่อไปว่าขนมไหว้พระจันทร์รสหวานและเต้าหู้ก็เริ่มเข้าสู่จวนเยี่ยน อ๋องมาอย่างต่อเนื่อง การก่อเตียงเตาก็เกือบเข้าสู่จวนเยี่ยนอ๋องแล้ว หรือตระกูลหลี่อยากจะส่งบุตรสาวเข้าจวนเยี่ยนอ๋อง แต่นี่เป็เพียงเด็กหญิงที่เพิ่งจะอายุเก้าขวบเท่านั้น ยังอายุน้อยเกินไป
คนตระกูลหวังรีบร้อนอธิบาย “คนตระกูลหลี่ล้วนเป็คนจิตใจดี เป็คนดีทุกคนขอรับ”
“ตระกูลพวกเราก็ได้รับวิธีการก่อเตียงเตามาจากตระกูลหลี่ จึงมาก่อเตียงเตาให้แต่ละบ้านเพื่อหาเงินได้”
เจียงชิงอวิ๋นมองไปยังคนทั้งห้า พบว่าแต่ละคนมีแววตาซื่อสัตย์จริงใจ จึงกล่าวไปว่า “หวังว่าจะเป็ข้าที่ใช้ความคิดต่ำต้อยไปตัดสินสุภาพชน เข้าใจตระกูลหลี่ผิดไป”
คนตระกูลหวังทั้งห้าไม่ทราบว่าจะต้องใช้คำพูดใดมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ จึงทำได้เพียงมองดูเจียงชิงอวิ๋นเดินจากไปด้วยใจอันหดหู่
บ่าวผู้นั้นเห็นคนตระกูลหวังทั้งห้ามองไปด้วยท่าทีโง่งม จึงกล่าวอย่างลำพองใจว่า “นายท่านของพวกเราเป็จวี่เหริน มีความรู้และประสบการณ์สูง เรียกได้ว่ามีความรู้มากมายจนไม่มีเื่ใดที่ไม่รู้”
คนทั้งห้าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “นายท่านเจียงอายุน้อยเพียงนี้ก็สอบได้จวี่เหรินแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว หนังสือที่นายท่านเจียงของพวกเราอ่านยังมากกว่าสตรีที่พวกเ้าเห็นเสียอีก” บ่าวผู้นั้นยิ้มด้วยท่าทางลามก
“พวกเราไม่เคยออกจากอำเภอฉางผิงด้วยซ้ำ สตรีที่พบเจอย่อมน้อยเป็ธรรมดา”
“สตรีที่พวกเราพบเจอต้องมากกว่าเ้าแน่นอน”
“เ้าอยู่ในจวนทั้งวันไม่ออกไปไหน ไหนเลยจะพบเห็นสตรีมากมายเพียงนั้นได้”
คนทั้งห้าและบ่าวไพร่ผู้นั้นพูดเื่ลามกกันโดยไม่รู้ตัว ลบเื่หมอเทวดาน้อยและนายท่านจวี่เหรินออกไปจากสมองอย่างสิ้นเชิง
ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แสงแดดเจิดจ้า หมู่เมฆพัดผ่าน สายลมแ่เบา อากาศดีย่อมทำให้อารมณ์ของผู้คนดีตาม เฟิงซื่อเดินกะเผลกมาที่บ้านหลี่ นั่งลงข้างกายจ้าวซื่อ
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้