“กินอะไรเล่า!” หวังชุนเฟินสะบัดมือตบโต๊ะอย่างแรง ถลึงตาโตดุจวัว ะโใส่ชวีฮวา “เ้าลูกกระต่ายสี่ตัวที่เ้าคลอดมา แต่ละคนรู้จักแต่กินๆๆ กินของในหม้อนั่นไปหมดแล้ว จะเหลือให้ข้ากินที่ไหนกัน!”
ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ได้แยกบ้านจะกินอาหารด้วยกันทั้งครอบครัวใหญ่ หวังชุนเฟินและภรรยาจะให้บุตรชายทั้งสี่ไปกินที่นั่น
เขาบอกให้บุตรชายทั้งสี่กินมากๆ จนแต่ละคนกลายเป็ตัวตะกละตะกลาม กระทั่งหวังซื่อหู่ที่อายุเพียงสี่ขวบ ซึ่งเป็บุตรชายคนสุดท้อง ก็ยังกินมากกว่าสตรีวัยผู้ใหญ่คนหนึ่งเสียอีก
ตอนนี้เมื่อแยกบ้านก็ต้องหากินกันเองในครอบครัวเล็ก หวังชุนเฟินและภรรยาจึงเพิ่งรู้ว่าบุตรทั้งสี่ของตนกินจุมากเพียงใด
โจ๊กแป้งใส่ฟักทองถ้วยใหญ่ในครัว ไม่ทันไรบุตรทั้งสี่คนก็กินไปหมดแล้ว
นี่คือสาเหตุที่หวังชุนเฟินโกรธจนเขวี้ยงถ้วยทิ้ง ชวีฮวามีความสามารถยิ่งนัก ถึงกับคลอดบุตรตะกละมาได้ถึงสี่คน ความรับผิดชอบในครอบครัวมีมากขึ้น จึงทำให้เขาเกิดความกดดันอย่างหนัก ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาโกรธยิ่งกว่าก็คือ หากรู้ว่าจะเป็เช่นนี้คงไม่ยอมแยกบ้าน
ในตอนที่ชวีหงเดินเข้ามา นางได้ยินหวังชุนเฟินกำลังด่าภรรยาและลูกเข้าพอดี จึงเชิดคางขึ้น มือทั้งสองเท้าสะเอวกล่าวอย่างดูแคลนว่า “น้องรอง หากเ้าไม่มีเงิน ก็เอาลูกมาให้ข้ากับพี่ใหญ่เ้าเลี้ยงเอง!”
ชวีหงตรงข้ามกับชวีฮวา เมื่อแต่งเข้าบ้านหวังมาก็คลอดแต่บุตรสาวสี่คน
สิ่งที่ชวีหงเสียใจที่สุดในชีวิตก็คือ ไม่สามารถคลอดบุตรชายได้
ตามประเพณีและความเชื่อของคนในเมืองเยี่ยน รวมทั้งกฎเกณฑ์ของราชวงศ์ หากสามีภรรยาไม่มีบุตรชายจะไม่มีใครมาดูใจก่อนตาย หลังจากตายไปแล้วทรัพย์สมบัติก็ต้องถูกส่งกลับคืนสู่ตระกูล
ชวีหงและสามีอยากจะรับบุตรคนหนึ่งของหวังชุนเฟินมาเลี้ยงเพื่อสืบทอดตระกูล
“คิดจะรับเลี้ยงหรือ” หวังชุนเฟินจ้องเขม็งด้วยดวงตาที่ปูดโปนราวกับตาวัวไปที่ชวีหงผู้มีหน้าตาอัปลักษณ์ ทั้งยังรูปร่างอ้วนเตี้ย แต่จะอย่างไรก็ตัดใจมอบบุตรชายให้คนอื่นไม่ลง จึงได้แต่แค่นเสียงเย็น พูดตอบไปว่า “ก็มิใช่ว่าไม่ได้ เ้าก็ให้พี่ใหญ่เขียนสัญญาไว้ว่า จะให้ข้าสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านของท่านพ่อสิ!”
ชวีฮวายืนอยู่ด้านหลังหวังชุนเฟินด้วยใบหน้าอัดอั้นตันใจ ส่วนบุตรทั้งสามของนางยืนอยู่ที่ลานบ้าน ฟังเสียงทะเลาะที่ดังออกมาจากในห้องด้วยอาการเคร่งเครียด
ชวีหงกระทืบเท้า ะโว่า “หึ! พี่ชายเ้าเป็บุตรคนโต สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านของท่านพ่อก็เป็เื่สมเหตุสมผลแล้ว เ้าคิดว่าเ้าเป็ใครกันจึงกล้ามาแย่งชิงกับพี่ชายเ้า!”
หวังชุนเฟินไม่ใช่หวังลี่ตง เขาไม่กลัวชวีหงะเิโทสะ ทั้งยังด่ากลับไปว่า “พวกเ้าสองคนจะเพ้อฝันเกินไปแล้ว อยากจะเป็ทั้งหัวหน้าตระกูล ทั้งอยากเอาลูกชายข้าไปเลี้ยงเป็ลูกของตนเอง เื่ดีๆ เอาใส่บ้านเ้า ส่วนข้าก็ต้องยอมเสียเปรียบหรือ!”
ชวีหงพูดขึ้นว่า “ใครให้เ้าเป็ลูกชายคนรองเล่า พี่ชายเ้าเป็ลูกชายคนโตของครอบครัว สมควรแล้ว... นี่คือชะตาชีวิตของเ้า เ้าไม่อยากรับก็ต้องรับ”
หวังชุนเฟินกล่าวอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “พี่ใหญ่กับเ้ามีลูกชายไม่ได้เอง นั่นก็เป็ชะตาชีวิตของพวกเ้าเช่นกัน ไม่อยากรับก็ต้องรับ”
“เ้า!” ชวีหงโกรธจนไขมันบนใบหน้ากระเพื่อม ความโกรธอัดแน่นเต็มอก รีบสะบัดก้นอ้วนๆ เดินกลับไปทันที ลืมไปแล้วว่ามาบ้านชวีฮวาเพราะ้านินทาเื่ของบ้านหลี่ที่จะสร้างเตียงดิน
หวังซานนิว บุตรสาวคนที่สามของชวีหงเดินออกมาจากห้องครัว พูดเสียงค่อยๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อไปหาท่านปู่ที่ลานด้านโน้นแล้วเ้าค่ะ”
ชวีหงบ่นพึมพำ “เขาจะไปหาไอ้แก่ไม่รู้จักตายนั่นทำไม”
หวังลี่ตงที่มีกลิ่นเหล้าเต็มกายนั่งรออยู่ในบ้านหวังไห่ ไม่นานหวังไห่ก็กลับมาจากบ้านหลี่
หวังไห่เห็นบุตรชายคนโตก็กล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “มาแล้วหรือ”
หวังลี่ตงลุกขึ้นยืนพูดว่า “ท่านพ่อ เื่ที่บ้านหลี่ปรับปรุงบ้านท่านไม่ยอมมาหาข้า ดูเถิด บ้านหลี่จะสร้างเตียงดินแล้ว หากเื่นี้แพร่ออกไป จะต้องถูกคนเมืองเยี่ยนหัวเราะเยาะเอาแน่ ต่อไปคงไม่มีใครกล้าใช้คนของหมู่บ้านเราทำบ้านอีก”
“เตียงเตาไม่ใช่เตียงดิน” หวังไห่เพิ่งนั่งลง หวังเยี่ยนก็ยกชาเก๊กฮวยสองถ้วยเข้ามาวางลงเบื้องหน้าคนทั้งสอง
“พี่ใหญ่ ท่านดื่มชาเก๊กฮวยก่อนเถิด มันช่วยคลายร้อนได้ ข้าเพิ่งต้มเมื่อครู่ ยังร้อนอยู่ ค่อยๆ ดื่มเ้าค่ะ”
หวังลี่ตงไม่แม้แต่จะมองหวังเยี่ยน และไม่ยอมดื่มชาเก๊กฮวยด้วย เอาแต่มองไปที่หวังไห่ แล้วพูดต่อไปว่า “เตียงเตาไม่ใช่เตียงที่ใช้ดินทำหรือ ดินเป็ของสำหรับฝังคนตาย เตียงดินมันอัปมงคล!”
หวังไห่กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “พูดจาเหลวไหล เ้าไม่รู้เื่ก็อย่าพูดมั่วๆ”
หวังลี่ตงยังคงพูดต่อไป แต่ใช้น้ำเสียงอ่อนลง “ใครบอกว่าข้าไม่รู้เื่ ข้าก็เคยสร้างบ้านมาเหมือนกัน”
หวังไห่ตำหนิด้วยสีหน้าที่แสนจะอดกลั้น “เ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ ตอนที่เ้าไปสร้างบ้านที่ในตำบลและที่อำเภอกับคนในตระกูล แต่ละครั้งก็แอบไปอู้งานอยู่ข้างๆ จะรู้เื่ทำบ้านได้อย่างไร!”
หวังลี่ตงหน้าแดงที่มิใช่การแดงเพราะฤทธิ์สุราหรือความเขินอาย รีบร้อนพูดขึ้นว่า “ใครมันพูด? ข้าจะไปอัดมัน!”
“ใครพูดหรือ เฮอะ... เขาก็พูดกันทุกคนนั่นแหละ เ้าจะไปอัดทุกคนเลยหรือไร!” ไม่ใช่แค่หวังลี่ตง หวังชุนเฟินก็ด้วย ขอเพียงหวังไห่ไม่อยู่เฝ้า เวลาทำงานพวกเขามักจะแอบอู้ คนในตระกูลไม่อยากไปทำงานกับพวกเขาแล้ว นี่เป็สาเหตุที่ว่าทำไมหวังไห่จึงไม่เรียกพวกเขาไปทำงานปรับปรุงบ้านหลี่ด้วยกัน
เฟิงซื่อนั่งอยู่ในห้องนอนที่อยู่ติดกัน เมื่อได้ยินบทสนทนาของสองพ่อลูกในห้องโถงก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
หวังจื้อเกาเดินมาจากห้องหนังสือ ถามอย่างแปลกใจว่า “ท่านแม่ ท่านรู้หรือว่าเตียงเตาคืออะไร?”
เฟิงซื่อเพิ่งได้ยินเื่เตียงเตา ในใจก็นึกฉงนเช่นกัน “หากเ้าอยากรู้ก็ไม่ยาก เ้าไปถามพวกพี่น้องหลี่เจี้ยนอันที่บ้านหลี่ดูสิ”
หวังจื้อเกาเดินออกไปจากบ้านด้วยความสงสัย
หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังออกไปขายแป้งย่างที่ตัวอำเภอ ในบ้านจึงมีแค่หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานที่อยู่ดูการปรับปรุงบ้าน
“พี่จื้อเกา เตียงเตาเป็ของที่น้องสาวข้าคิดออกมา นี่คือแปลนที่นางวาด ท่านดูสิ”
“เมื่อครู่ท่านลุงหวังก็มาถามแล้ว ถามละเอียดเชียว แล้วยังดูดินที่จะใช้ทำเตียงเตาด้วย”
สองพี่น้องบ้านหลี่พาหวังจื้อเกาไปดูดินแดงที่กองไว้คล้ายูเาลูกย่อมๆ บริเวณสวนด้านหลัง
หวังจื้อเกาก้มตัวลงดู ถามว่า “ดินนี่ไปขุดมาจากูเาหรือ”
หลี่อิงฮว๋าชี้ไปทีู่เาลูกใหญ่ที่ถูกแสงอาทิตย์ยามเย็นปกคลุม “ใช่ ดินแดงอยู่บนูเาของหมู่บ้านพวกเรานี่เอง”
หวังจื้อเกาลุกขึ้นยืน พูดว่า “ฤดูหนาวที่หมู่บ้านพวกเราจะหนาวมาก แล้วยังหนาวนานด้วย หากเตียงเตาใช้ดี ข้าจะโน้มน้าวให้ท่านพ่อสร้างไว้ที่บ้าน”
หลี่ิ่หานเชื่อมั่นในตัวของหลี่หรูอี้มาตลอด คราวนี้ก็เช่นกัน จึงพูดด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจว่า “ใช้ดีหรือไม่ อีกสองสามวันเ้ามาดูก็รู้แล้ว”
หวังจื้อเกามองไปรอบๆ ถามว่า “บ้านของพวกเ้าขุดบ่อชักน้ำบาดาลที่ไหนหรือ”
หลี่อิงฮว๋ากล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “บ่อชักน้ำบาดาลอยู่ที่ลานด้านหน้า เมื่อครู่เ้าเพิ่งเดินผ่านบ่อชักน้ำบาดาลมา ไม่เห็นหรือ”
หวังจื้อเกาเดินกลับไปที่ลานด้านหน้าพร้อมกับพี่น้องฝาแฝดอีกครั้ง เห็นหลุมบนพื้นอยู่ไม่ไกลจากห้องครัว ตอนนี้ใช้แผ่นหินปิดอยู่ที่ปากหลุม กลัวว่าตอนกลางคืนถ้ามีใครมองไม่เห็นแล้วอาจจะพลัดตกลงไปได้ “เ้าขุดบ่อลึกแค่ไหน”
หลี่อิงฮว๋าถูจมูก “สองจั้ง ได้ยินท่านอาสองคนบอกว่า ขุดอีกหนึ่งจั้งก็จะมีน้ำออกมาแล้ว”
“บ่อน้ำของตระกูลเราก็ขุดสี่จั้งถึงจะมีน้ำออกมา”
คนตระกูลหวังยี่สิบกว่าคนใช้บ่อน้ำบ่อเดียวกัน คนมากแต่น้ำในบ่อน้อย ทุกครอบครัวตักกลับไปได้แค่ครอบครัวละสองถังต่อวัน
แค่คนในตระกูลก็ยังใช้ไม่พอ ไม่ต้องพูดถึงคนนอกเลย
หลายปีมานี้ บ้านหลี่ บ้านสวี่ และบ้านอื่นๆ ต้องไปหาบน้ำจากแม่น้ำเพื่อมากินมาใช้
ผ่านไปอีกไม่กี่วัน บ้านหลี่ก็ไม่ต้องไปหาบน้ำที่แม่น้ำแล้ว ทั้งยังได้ใช้บ่อชักน้ำบาดาลหนึ่งบ่อสำหรับครอบครัวเดียว เมื่อคนบ้านหลี่นึกถึงเื่นี้ก็รู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้ง
เมื่อพระจันทร์ขึ้นเหนือศีรษะ หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังก็กลับมาจากตลาดเล็กในตัวอำเภอแล้ว แป้งย่างขายหมด แต่ทั้งสองก็นำข่าวไม่ค่อยดีกลับมาด้วย
…………………………………