“ใครจะไปสู้กับพวกเขา?” ฉินเจิ้นถิงเผยสีหน้าอึมครึม ศึกเมื่อครู่นี้ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์กำราบฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจนราบคาบ ทั้งยังทำให้ผู้าุโสองคนได้รับาเ็สาหัส ทำให้ฉินเจิ้นถิงยอมรับได้ยาก
“ข้า!”
“ข้า!”
“ข้า!”
สามเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะมีผู้ฝึกยุทธ์สามคนเดินออกมาจากทางฝั่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน พวกเขามองผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์ด้วยสายตาเคียดแค้น
“ผู้าุโฉิน ข้าขอแนะนำท่านสักประโยค หากผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายท่านไม่ไหวจริง ๆ ก็ยอมแพ้เสียเถิด จะได้ไม่ถูกคนของฝ่ายข้าทำร้าย เช่นนั้นก็จะไม่เกิดความสูญเสีย!” จ้าวหยางกล่าว
“เื่นี้ท่านอ๋องไม่ต้องเป็กังวล” ฉินเจิ้นถิงกล่าวเสียงเย็น จากนั้นสายตาของเขาเลื่อนไปมองศึกรอบที่สองที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นโดยไม่สนใจจ้าวหยางสักนิด
ขณะนั้นที่ห้องแห่งหนึ่งในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เย่เฟิงยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง พร้อมกับมีแสงประหลาดปกคลุมร่างกาย ภายใต้แสงนี้ วิชากลมารที่โคจรเองกระฉับกระเฉงขึ้นกว่าเดิม รวมถึงไอมารที่ถูกผนึกในร่างเย่เฟิงนั่นก็ยังคงไหลเวียนไม่หยุดและเป็พลังขับเคลื่อนวิชากลมาร ทำให้ไอมารในร่างเย่เฟิงเริ่มสงบลงภายใต้การโคจรของวิชากลมาร กระทั่งเปลี่ยนไปเข้ากันได้กับร่างเย่เฟิงมากขึ้น
วิชากลมารโคจรอย่างต่อเนื่อง ไอมารก็เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ดูเหมือนกลายเป็พลังสำหรับให้เย่เฟิงได้ใช้งาน ขณะนั้นเืในร่างเย่เฟิงพลุ่งพล่านและดูดซับพลังที่แปรเปลี่ยนมาจากไอมาร
ทว่าเย่เฟิงไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้น เพราะขั้นตอนเหล่านี้เกิดขึ้นในขณะที่เย่เฟิงอยู่ในสภาวะหมดสติ การเปลี่ยนแปลงนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และดูเหมือนจะเชื่องช้ามากจนไม่รู้ว่าเย่เฟิงจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด
“ตูม!” เสียงะเิพลันดังขึ้นที่ด้านนอกประตูใหญ่ของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 จากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนคนนั้นถูกซัดกระเด็นจนกระอักเื และสูญเสียพลังต่อสู้ในทันที เมื่อคนที่แกร่งสุดในบรรดาสามคนสูญเสียพลังต่อสู้ไป นั่นหมายความว่าสองคนที่เหลือก็ไม่มีทางสู้ฝ่ายตรงข้ามได้ จึงถูกฝ่ายตรงข้ามทำร้ายจนเกือบสูญเสียชีวิตไป
“ไม่คิดว่าสำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่อยู่มานานเป็พัน ๆ ปีจะเป็แค่พวกไม่ได้เื่ พลังต่อสู้ระดับนี้ ช่างน่าขันสิ้นดี!” ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ฝ่ายราชวงศ์กล่าวเสียงเย็น พร้อมกับแค่นเสียงหัวเราะ จากนั้นผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์คนอื่น ๆ ก็พากันหัวเราะเยาะเย้ย
“ผู้าุโฉิน เป็อย่างไรบ้าง? ข้าอุตส่าห์เตือนให้ท่านยอมแพ้แล้วแท้ ๆ แต่ท่านก็ไม่เชื่อฟัง แล้วทีนี้เป็ไงล่ะ คนของท่านก็เลยาเ็สาหัสเยี่ยงนี้ไงเล่า” จ้าวหยางกล่าว
“ท่านอ๋องเตือนด้วยความหวังดี แต่เป็เขาฉินเจิ้นถิงที่ไม่รักษาโอกาสนั้นไว้ นี่ก็ตำหนิท่านอ๋องไม่ได้” เซิ่งอ๋องที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวเสริมขณะมองฉินเจิ้นถิงด้วยสายตาดูแคลน ทำให้ฉินเจิ้นถิงโมโห จ้าวหยางและเซิ่งอ๋องดูถูกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขากลับไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรดี เพราะสำนักยุทธ์เทียนเสวียนพ่ายแพ้ทั้งสองศึก ในฐานะผู้แพ้ เขาจะมีหน้าไปตอบโต้อะไรอีกฝ่ายได้?
ไม่นานนักศึกของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ถึง 3 ก็เริ่มขึ้น ซึ่งผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์ยังคงเป็กระบวนทัพที่ทรงพลัง สามคนนี้ล้วนเป็คนที่ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนรู้จักเป็อย่างดี พวกเขาก็คือมู่เยี่ยนอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักศึกษาเสินเจียง หลงเซ่าเจี๋ยอัจฉริยะอันดับหนึ่งจากหอชิงหลง และิเสวียนอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักอี่เทียน
หลังจากจบงานชุมนุมหวงปั่ง มู่เยี่ยนได้รับาเ็สาหัสจากการโจมตีของเย่เฟิงและแพ้ยับเยิน ทำให้สภาพจิตใจจมดิ่งไปหลายวัน ต่อมาด้วยคำชี้แนะจากผู้เฒ่ามู่ มู่เยี่ยนจึงออกจากสภาพนั้นทีละนิด ๆ จนกลับมามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอีกครั้ง จากนั้นเขาได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ พลังจึงก้าวะโไปอย่างรวดเร็วและทะลวงขั้นยุทธ์แท้ที่ 3
ด้านหลงเซ่าเจี๋ย เขาทะลวงขั้นพลังหลังจบงานชุมนุมหวงปั่งเช่นกัน กลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ส่วนิเสวียน แม้เขาไม่ได้ทะลวงขั้นพลัง แต่พลังก็ก้าวหน้าไปไม่น้อย
การรวมตัวของสามคนนี้ ทำให้ทางสำนักยุทธ์เทียนเสวียนหาสามคนที่จะสู้ด้วยไม่ได้ แต่ทางสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจำต้องต่อสู้ ส่วนผลลัพธ์ก็คาดเดากันได้ ผู้ฝึกยุทธ์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนถูกทำร้ายอย่างทารุณ มิหนำซ้ำผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 ยังถูกมู่เยี่ยนฆ่าตายทันที บรรยากาศจึงหนักอึ้งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะเดียวกันที่ห้องเย่เฟิงในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน การเปลี่ยนแปลงในร่างเย่เฟิงเห็นชัดขึ้น จนค่อย ๆ เข้าสู่สภาวะขีดสุด วิชากลมารนั่นโคจรภายใต้การช่วยเหลือของไอมารในร่างกายเขา ทำให้ระดับของวิชากลมารเพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวะโ จากระดับสี่บรรลุเป็ระดับห้า และการที่วิชากลมารเลื่อนระดับ ความสัมพันธ์ระหว่างไอมารกับเย่เฟิงก็ใกล้ชิดมากขึ้นไปอีก ศักยภาพทุก ๆ ด้านก็เปลี่ยนแปลงไปในอัตราที่น่าใ
“วูบ!” ตอนนั้นเองหยวนชี่ฟ้าดินไร้ที่สิ้นสุดมากันแล้วเข้าปกคลุมร่างเย่เฟิง จากนั้นร่างเย่เฟิงค่อย ๆ ลอยขึ้นจนอยู่กลางห้อง พร้อมแสงหยวนชี่สว่างโชติ่สว่างไสวไปทั้งห้อง ในขณะเดียวกันเย่เฟิงเหมือนตื่นขึ้นมา ดวงตาที่ปิดสนิทก็เริ่มลืมขึ้นช้า ๆ จากนั้นประคองร่างให้อยู่ในสภาพนั่งขัดสมาธิ ก่อนจะผสานมือและเริ่มดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเวลาผ่านไป ลมปราณของเย่เฟิงก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง จนถึงจุดวิกฤตในเวลาไม่นาน เมื่อก้าวข้ามจุดวิกฤตนี้ไปได้ก็จะกลายเป็ผู้ฝึกยุท์ขั้นยุทธ์แท้อย่างแท้จริง และเริ่มเดินเส้นทางแห่งผู้แข็งแกร่งนับจากนี้ไป
“วูบ ๆ!” หยวนชี่ฟ้าดินมารวมตัวอย่างต่อเนื่องจนแสงรอบกายของเย่เฟิงสว่างขึ้น เก้าวัชรหุนหยวนโคจรในกายและโคจรไปพร้อมกับวิชากลมาร จากนั้นพลังหุนหยวนผสานเข้ากับไอมารและไหลไปทั่วร่างเย่เฟิงไม่หยุด จนในที่สุดร่างเย่เฟิงก็ถึงจุดอิ่มตัวอย่างแท้จริง ซึ่งมันทำให้เขาข้ามผ่านจุดวิกฤตนั้นไปและก้าวเข้าสู่ขั้นพลังใหม่ นั่นคือขั้นยุทธ์แท้!
ถึงกระนั้นเย่เฟิงก็ยังไม่ออกจากการบำเพ็ญ เขา้าให้ตบะเสถียรภาพ ดังนั้นเขาจึงรอให้ผ่านไปอีกระยะหนึ่งจึงจะเก็บพลัง แต่จู่ ๆ เขานึกถึง่เวลาที่ควบคุมหอกมารไม่ได้ เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้เย่เฟิงก็รู้สึกใเป็อย่างมาก เขาราวกับเป็แมวเก้าชีวิตที่ดวงแข็งไม่ตายง่าย ๆ
“ตาแก่ ท่านเป็ไงบ้าง?” แต่เมื่อเย่เฟิงนึกถึงาามารชื่อเทียน เขาก็รีบใช้พลังจิตติดต่อไปทันทีซึ่งไม่มีใครตอบเขา แต่เย่เฟิงทำพันธะโลหิตกับาามารชื่อเทียน เขาจึงััถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายได้ เพียงแต่สูญเสียพลังไปมาก จึงอยู่ในสภาวะหลับใหลชั่วคราว
จากนั้นเย่เฟิงนึกถึงกงซุนหลิงเอ๋อร์ ตอนนั้นนางได้รับาเ็สาหัส เขาจึงอยากไปดูนาง แต่จู่ ๆ มีเงาร่างหนึ่งผลักประตูเข้ามาด้วยความร้อนใจ เมื่อเห็นว่าเป็กงซุนหลิงเอ๋อร์ เย่เฟิงก็หายห่วงทันที
“เ้าบ้า ในที่สุดเ้าก็ฟื้นแล้ว!” ในดวงตาของกงซุนหลิงเอ๋อร์เปี่ยมด้วยแสงแห่งความสุข เดิมทีนางจะมาเยี่ยมเย่เฟิง แต่ไม่นึกว่าเย่เฟิงจะฟื้นขึ้นมาแล้ว
..........
นอกประตูใหญ่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน
“พ่ายแพ้ราบคาบทั้งสามรอบ ศึกต่อไปข้าว่าไม่จำเป็ต้องมีแล้วล่ะ ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็เหมือนไม่มีใครแล้ว หากสู้ต่อไปก็มีแต่จะแพ้ เสียเวลาเปล่า ๆ” ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์คนหนึ่งกล่าว ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์คนอื่น ๆ ต่างก็เผยสีหน้าดูแคลน
“ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมีใครกล้าออกมาอีกหรือไม่? หากไม่มี งั้นก็รบกวนผู้าุโฉินส่งตัวสี่คนนั้นมา!” จ้าวหยางกล่าวพลางแสยะยิ้มขณะกวาดตามองผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
ผ่านมาแค่สามศึกก็จะตัดสินผู้แพ้ชนะแล้วหรือ แม้ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะโกรธเกรี้ยว แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะพวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายราชวงศ์ ไม่ว่ากลุ่มไหนก็ล้วนไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะต่อกรด้วยได้ แม้แต่ฉินเจิ้นถิงก็เริ่มเงียบ
ขณะที่ฉินเจิ้นถิงมองความโอหังของฝ่ายราชวงศ์ ในใจก็เกิดความไม่เต็มใจ หากรู้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แต่แรก ฉินเจิ้นถิงคงไม่ยินดีที่จะส่งแล้วเห็นผู้ฝึกยุทธ์ของฝ่ายตนถูกฝ่ายราชวงศ์ทำร้ายจนย่อยยับถึงเพียงนี้ ทำให้เวลานี้เขาคิดไม่ตกว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
“ผู้าุโฉิน เหตุใดจึงเงียบเล่า? ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนไม่มีใครออกมาแล้วหรือ?” จ้าวหยางกล่าวด้วยสีหน้าได้ใจ ครั้งนี้เขา้าเหยียบสำนักยุทธ์เทียนเสวียนให้จมดินจนโงหัวไม่ขึ้น
“มีคนออกไปแน่นอน!” ขณะที่ทุกคนคิดว่าฉินเจิ้นถิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับคำถามของจ้าวหยาง จู่ ๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นและเสียงนี้ก็เปี่ยมด้วยความมั่นใจอันแรงกล้า ทันใดนั้นทุกคนหันไปมองต้นเสียง ก่อนจะมีสองเงาร่างปรากฏตัวในสายตาของพวกเขา ซึ่งสองคนนี้เป็ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายหล่อเหลา ส่วนผู้หญิงก็สวยงดงาม
เมื่อเห็นหน้าชายผู้นั้นอย่างชัดเจน หลาย ๆ คนก็ต้องตาแข็งทื่อ ทางฝั่งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ฉินเจิ้นถิง ฉินเยียนหราน และเหล่าคนที่เกี่ยวข้องกับเย่เฟิงต่างก็เผยรอยยิ้มแห่งความสุข
“เย่เฟิงเขาฟื้นแล้ว เขาฟื้นแล้วจริง ๆ เขาไม่เป็ไร ช่างดีเหลือเกิน!” ศิษย์หญิงผู้หนึ่งของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนกล่าวด้วยความดีใจ นางเป็คนหนึ่งที่เคารพนับถือและสนใจเย่เฟิงมาตลอด ั้แ่เย่เฟิงโด่งดังไปทั่วสำนักยุทธ์เทียนเสวียน จนถึงตอนนี้เย่เฟิงก็ยืนอยู่จุดสูงสุดของคนรุ่นเยาว์แห่งอาณาจักรจ้าวที่อายุต่ำกว่า 25 ปี ครั้งนี้จ้าวหยางนำกองทัพมาถล่มสำนักยุทธ์เทียนเสวียน นางเชื่อว่าเย่เฟิงจะช่วยสำนักยุทธ์เทียนเสวียนให้รอดพ้นจากภัยครั้งนี้ได้ แม้ในความประทับใจของนาง ตบะของเย่เฟิงจะอยู่แค่ขั้นรวมชี่ที่ 8 แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ความเชื่อมั่นนี้ได้สลักลึกลงในก้นบึ้งหัวใจของนาง นางจึงเชื่อว่าเย่เฟิงทำได้แน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์หญิงผู้นั้น จู่ ๆ ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์ก็เผยสีหน้าดูแคลน ก่อนจะมีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งพูดขึ้นว่า “เย่เฟิงมาแล้วอย่างไร? ก็อยู่แค่ขั้นรวมชี่ที่ 8 เท่านั้น จะขึ้นมาสู้ได้อย่างไร? วันนี้สำนักยุทธ์เทียนเสวียนต้องแพ้ราบคาบจนไม่เหลือชิ้นดี”
ในใจของทุกคนเกิดความคิดเช่นเดียวกัน แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนที่ดีใจเมื่อเห็นเย่เฟิงมา จู่ ๆ สีหน้าก็กลับมาเคร่งเครียดดังเดิม พวกเขาคิดว่าด้วยตบะของเย่เฟิงในตอนนี้ไม่มีทางช่วยอะไรได้มาก
“มาพอดีเลย จะได้ประหยัดเวลาข้าในการเรียกเ้า!” จ้าวหยางเห็นเย่เฟิงเดินออกจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็เผยรอยยิ้มเย็นเยือก
“เกรงว่าจะทำให้องค์ชายใหญ่ต้องผิดหวังแล้ว เพราะวันนี้ฝ่ายราชวงศ์อย่าคิดจะพาคนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนข้าไปแม้แต่คนเดียว” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น หลังจากเขาทะลวงขั้นพลัง กงซุนหลิงเอ๋อร์ก็เข้าไปในห้องเขา พร้อมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่นอกสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ดังนั้นเย่เฟิงจึงเข้าประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อมแต่อย่างใด
“เ้าดูมั่นใจจังนะ หากสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเ้าแพ้ห้าศึก ชะตากรรมของเ้าก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเ้าแล้ว!” จ้าวหยางแสยะยิ้ม แต่จากนั้นรูม่านตาของเขาพลันหดแคบลง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เ้าทะลวงขั้นยุทธ์แท้แล้วงั้นหรือ!”
ขณะที่จ้าวหยางกล่าวเช่นนั้น หัวใจของเขาก็ต้องสั่นระรัวอย่างแรง หากเขาจำไม่ผิด ตอนงานชุมนุมหวงปั่งตบะของเย่เฟิงยกระดับเป็ขั้นรวมชี่ที่ 8 บัดนี้ห่างจากวันงานชุมนุมหวงปั่งเพียงแค่ 20 วันเท่านั้น เย่เฟิงผู้นี้กลับกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้แล้ว ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ความก้าวหน้าเช่นนี้เรียกได้ว่าวิปริตผิดมนุษย์มนา
ต้องทราบเสียก่อนว่าจ้าวหยางก็ถือเป็สัตว์ประหลาดเช่นกัน เขาเป็อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรจ้าว แต่ถึงอย่างนั้นจากขั้นรวมชี่ที่ 8 จ้าวหยางก็ใช้เวลาเกือบครึ่งปีกว่าจะทะลวงขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 ได้ ตอนนั้นเกิดความผันผวนขึ้นไม่น้อย ทั่วทั้งอาณาจักรจ้าวต่างต้องตกตะลึงในพร์ของจ้าวหยาง ทั้งยังมีคนคิดว่าจ้าวหยางมีศักยภาพพอที่จะบรรลุขั้นาาเสียด้วยซ้ำ
เพียงเวลาสั้น ๆ ทั่วทั้งอาณาจักรจ้าวต้องสั่นคลอนอีกครั้ง เพราะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นาาเป็เพียงตำนานสำหรับอาณาจักรจ้าว อีกทั้งยังสามารถเรียกลมฝนและทำลายแม่น้ำูเาด้วยฝ่ามือ แต่เย่เฟิงที่อยู่ตรงหน้านี้ กลับใช้เวลาเพียง 20 วัน ทั้งที่จ้าวหยางใช้เวลาตั้งครึ่งปีจึงจะทำสำเร็จ เช่นนั้นั้แ่นี้เป็ต้นไปเส้นทางแห่งการบำเพ็ญของเย่เฟิงจะน่าสะพรึงกลัวขึ้นจนยากที่จะจินตนาการได้
“ขั้นยุทธ์แท้ จะเป็ไปได้อย่างไร?”
หลังจากได้ยินคำพูดของจ้าวหยาง ผู้คนในที่แห่งนั้นต่างก็ตกตะลึง ซึ่งเป็ความตกตะลึงที่เื่ของจ้าวหยางเทียบไม่ติดเลยสักนิด สายตาที่พวกเขามองเย่เฟิงราวกับมองตัวประหลาดก็ไม่ปาน มันเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็ตะลึงเช่นกัน ศิษย์หญิงผู้นั้นที่เคารพนับถือเย่เฟิงใจนต้องเอามือปิดปาก
พวกเขาไม่กล้าเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็ความจริง ทว่าความจริงกลับอยู่ตรงหน้าของพวกเขาแล้ว จะให้พวกเขาไม่เชื่อก็เป็ไปไม่ได้
“ขั้นยุทธ์แท้แล้วอย่างไร? ก็แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 เท่านั้น จะใอะไรนักหนา?”
หลังจากตกตะลึงไปชั่วครู่ ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายราชวงศ์คนหนึ่งก็เอ่ยออกมาเช่นนั้น ทำให้เหล่าผู้คนที่กำลังตกตะลึงได้สติขึ้นมาทันที
