หนิงยวนจ้องเด็กสาวเบื้องหน้าด้วยความไม่พอใจ นางคือเด็กหญิงที่แย่งเด็ดดอกหัวเลี่ยไม่ใช่หรือ?
“ดอกหัวเลี่ยมีรูปร่างคล้ายไฟลุกโชน เป็ดอกไม้ขนาดเล็กสีขาว กลิ่นหอม มีฤทธิ์เผ็ดร้อนและขม มักใช้ทำยา ดอกของหัวเลี่ยมีพิษเล็กน้อย หากม้า วัว หมูและแกะกินเข้าไปจะเกิดอาการบ้าคลั่งทันที ดวงตาของพวกมันจะกลายเป็สีแดงและมีจุดขาวบนลิ้น อาการเหล่านี้ไร้ยารักษา เมื่อผ่านไปครึ่งวันจึงจะทุเลา ดอกหัวเลี่ยบานเพียงปีละครั้ง สามวันหลังบานเต็มที่ก็จะเหี่ยวเฉา แรกเริ่มก้านของมันไม่มีพิษทว่าลำต้นนั้นมีพิษสูง ทั่วไปเรียกว่าหญ้าเจียวฉาง ดอกไม้ชนิดนี้แพร่พันธุ์รวดเร็ว เมื่อััไฟและเกลือก็จะเฉาตายลงในที่สุด”
บทความนี้ถูกพบในตำรา “สมุนไพรหายาก” ในห้องหนังสือจวนอ๋อง
หนิงยวนขมวดคิ้วไตร่ตรอง เท่าที่เขารู้ “ตำราสมุนไพรหายาก” เป็ตำราเฉพาะที่หลงเหลือเพียงเล่มเดียว ถูกเก็บรักษาไว้ในวังหลวงนานหลายร้อยปี เนื่องจากราชนิกุลส่วนใหญ่ในราชวงศ์หยวนไม่สามารถอ่านอักษรจีนได้ ตำราทั่วไปทั้งหลายในวังหลวงจึงถูกทิ้งจนฝุ่นจับ ปีที่แล้วเขาไปหอซั่งจิงก่อนพบตำราสมุนไพรหายากในกล่องเหล็กเก่า ขณะนั้นกลอนของกล่องเป็สนิมจึงไม่สามารถเปิดได้ หลังอ่านตำราก็ััได้ถึงความแปลกใหม่และน่าสนใจ จึงไปหาเ้าหน้าที่ดูแลบันทึกประวัติศาสตร์เพื่อแจ้งว่าตนจะนำตำราสมุนไพรหายากเล่มนี้กลับจวน ตอนนี้เขาเก็บซ่อนมันไว้ในห้องหนังสือเล็ก ไม่เคยให้ใครอ่านแม้แต่ครั้งเดียว
ดอกหัวเลี่ยเป็สมุนไพรหายาก สามารถใส่ในสูตรยาเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ได้ถึงสองเท่า ในข้อนี้ถูกอ้างถึงในตำราสมุนไพรหายากเพียงประโยคสั้น ๆ สำหรับผลลัพธ์น่าอัศจรรย์ของดอกหัวเลี่ยนั้น หนิงยวนเป็ผู้ค้นพบโดยบังเอิญเมื่อปีที่แล้ว เขาจึงเขียนคำแนะนำสองบรรทัดลงในช่องว่างของตำราโดยยกย่องว่าดอกหัวเลี่ยเป็ “เกลือหมื่นสมุนไพร”
หากรวมครั้งนี้ หนิงยวนเคยเห็นดอกหัวเลี่ยสามครั้ง เดิมทีคิดว่าคงไม่มีบุคคลที่สองในแผ่นดินที่รู้จักมัน ทั้งยังไม่รู้ถึงประโยชน์น่าอัศจรรย์ของดอกหัวเลี่ย แต่หากสตรีตรงหน้าผู้นี้ไม่รู้ว่าดอกหัวเลี่ยคืออะไร เหตุใดจึงส่งคนมาเด็ดมัน? เหตุใดจึงรู้วิธีกำจัดลำต้นที่เป็พิษ? หนิงยวนมองพิจารณานางั้แ่หัวจรดเท้า ก่อนหน้านี้ขณะอยู่ในรถม้า เขาได้ยินเหล่าไท่ไท่บอกว่านางเป็…หลานสาวตระกูลหลัว? นางอายุราวสิบขวบ…เป็ผู้ทำยาที่ได้ผลดีทันทีเม็ดนั้นใช่หรือไม่?
“แค่ก ๆ ๆ ...” ทันใดนั้นอาการาเ็ของหนิงยวนก็กำเริบอีกครั้ง เขากุมหน้าอกด้วยความเ็ป ส่งลมปราณเจินชี่ผ่านฝ่ามือเพื่อระงับความเ็ปชั่วคราว ทว่ายังคงไม่สามารถระงับพิษลมเย็นจากกำลังภายในของลู่เจียงเป่ยได้
มือซ้ายของเขาคว้าต้นไผ่พลางพยายามยืนตรง ทว่าเขากลับกระอักเื ความมืดมิดเข้าปกคลุมดวงตาของเขาจนแทบหมดสติ สมควรตายยิ่งนัก เขาจำเป็ต้องหามุมเงียบ ๆ เพื่อรักษาตัวทันที แต่กลุ่มสาวใช้ตระกูลหลัวกลับเอะอะเสียงดังกว่าเป็ดสองสามพันตัวรวมกันเสียอีก พวกนางหัวเราะคิกคัก ทั้งยังเดินเข้าออกห้องของเขาไม่หยุด เขาจึงตัดสินใจปลีกตัวออกมาก่อนพบว่าป่าไผ่ขมแห่งนี้ไม่มีคน คิดไม่ถึงว่าสถานที่วังเวงเหมือนผีสิงเช่นนี้จะมีคนมาด้วย นางถ่อมาทำอะไรถึงที่นี่?
เหอตังกุยใมากที่เห็นชายหนุ่มผู้นั้นกระอักเื เืมากมายเพียงนั้น..หรือเขาจะ...ป่วยเป็วัณโรคขั้นสิบ...สัญชาตญาณหมอทำให้นางอยากช่วยรักษา แต่เมื่อเดินไปข้างหน้าสองก้าวกลับต้องชะงักฝีเท้ากะทันหัน
“ใต้เท้า...ใต้เท้าลู่?”
นางจ้องมองใบหน้าที่คล้ายลู่เจียงเป่ยของชายหนุ่มเจ็บป่วยผู้นั้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อมองอีกครั้ง ความสับสนก็ค่อย ๆ จางหาย...ลู่เจียงเป่ยอ่อนโยน ใจดีและไม่มีพิษภัย แตกต่างจากนิสัยเ็าของชายหนุ่มขี้โรคผู้นี้สิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น ลู่เจียงเป่ยมีอายุอย่างน้อยยี่สิบหกปี แต่ชายหนุ่มขี้โรคคนนี้ไม่เพียงอายุน้อยกว่าลู่เจียงเป่ยถึงสิบปี แต่รูปร่างหน้าตาก็ละม้ายลู่เจียงเป่ยเพียงห้าส่วน ดวงตาเ็าและริมฝีปากบางเป็เส้นตรงแตกต่างจากใต้เท้าลู่ยิ่งนัก ใต้หล้ามีคนคล้ายกันมากมาย เพียงแต่นางบังเอิญได้พบเท่านั้น
นางโล่งใจพลางหัวเราะเยาะให้ตัวเองที่อ่อนแอ แม้แต่คนตรงหน้ายังมองผิด แต่...ตนเคยล่วงเกินอันใดชายหนุ่มผู้นี้หรือไม่? เหตุใดเขาจึงจ้องมองนางด้วยสายตาเ็าเช่นนี้?
หนิงยวนจับลำต้นไผ่ขมเพื่อยืนตัวตรง พลางจ้องมองนางก่อนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “เ้า…เ้ารู้จักลู่เจียงเป่ยด้วยหรือ?”
เหอตังกุยประหลาดใจจนดวงตาเบิกกว้าง “เ้า…เ้ารู้จักลู่เจียงเป่ยด้วยหรือ?” หน้าตาของพวกเขาคล้ายกัน อีกทั้งเขาก็รู้จักลู่เจียงเป่ย หรือพวกเขาจะเป็ญาติกัน?
หนิงยวนหายใจเข้าลึก สงบสติอารมณ์พลางครุ่นคิดก่อนตอบทีละคำ “ไม่ ข้าไม่รู้จัก ข้าเพิ่งเคยได้ยินเฟิงหยางเอ่ยถึงคนผู้นี้ เขาบอกว่าข้าหน้าตาคล้ายคนผู้นั้น แต่หน้าตาลู่เจียงเป่ยเป็เช่นไร ข้าก็ไม่เคยเห็น”
“อันที่จริงข้าเคยเห็นใต้เท้าลู่เพียงครั้งเดียว” เหอตังกุยพยักหน้า โลกใบนี้กว้างใหญ่จนไม่มีอะไรเป็ไปไม่ได้ ไม่แปลกที่คนสองคนจะรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน นางยังคงถอนหายใจก่อนเอ่ยอย่างจริงใจ “พูดตามตรงนะน้องชาย ใบหน้าพวกเ้าเหมือนกันถึงห้าหกส่วน คิ้ว จมูกและคางของเ้าเสมือนถูกดึงออกจากใบหน้าเขาโดยตรง หากบอกผู้ที่รู้จักใต้เท้าลู่ว่าเ้าเป็น้องชายของเขาก็คงไม่มีใครไม่เชื่อ”
หนิงยวนโมโหชั่วขณะ ลู่เจียงเป่ยเป็ขุนนางที่เข้ารับตำแหน่งในจือลี่ตอนเหนือ เดิมทีคิดว่าไม่มีใครในเมืองหยางโจวรู้จักลู่เจียงเป่ย ตนจึงปลอมตัวเป็เขาเพื่อจะได้ทำภารกิจง่ายขึ้น นึกไม่ถึงว่าใบหน้าที่สร้างใหม่นี้จะมีคนรู้จักทันทีที่พบกันครั้งแรก แม้เด็กหญิงตัวเล็กจะไม่สงสัยว่าใบหน้าเขาเป็ของปลอม แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ… เมื่ออีกฝ่ายพบลู่เจียงเป่ยอีกครั้งคงจะบอกเกี่ยวกับเื่นี้ ลู่เจียงเป่ยอาจวิ่งไปถามเฟิงหยางว่าเหตุใดจึงไม่เคยเอ่ยถึงสหายผู้มีใบหน้าคล้ายเขาให้ฟัง ครั้งหน้าที่ได้พบเฟิงหยางคงต้องหาข้อแก้ตัวดี ๆ ก่อนเป็อันดับแรก ว่าแต่...
หนิงยวนเลิกคิ้วพลางเอ่ย “ใครเป็ “น้องชาย” ? เ้าอายุเท่าไรกัน?” เป็เด็กหญิงสูงเพียงหน้าอกยังจะกล้าเรียกเขาว่า “น้องชาย” หรือ?
พลั้งปากอีกแล้ว... เหอตังกุยโบกมือพลางเอ่ยปฏิเสธ “เ้าได้ยินผิดกระมัง เมื่อพูดภาษาถิ่นหยางโจวลิ้นมักจะแข็งเสมอ คนนอกพื้นที่จึงมักฟังผิดเป็ประจำ “น้องชาย” เมื่อครู่มีความหมายว่า “พี่ชาย” ในภาษาถิ่นหยางโจว” นางประหม่าเล็กน้อยจึงพลั้งปากโดยไม่รู้ตัว อาจเพราะเขามีหน้าตาละม้ายลู่เจียงเป่ย นางจึงมักรู้สึกว่าตนเคยรู้จักชายขี้โรคผู้นี้มาก่อน… ทว่าเื่เหล่านี้มิใช่ประเด็นสำคัญ เหอตังกุยเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เ้าเป็แขกของจวน ทั้งยังป่วยจนกระอักเืไม่หยุด เหตุใดจึงไม่นอนพักที่ห้อง แต่กลับถ่อมาถึงป่าไผ่ขม?” เ้าไม่รู้หรือว่ากำลังขัดขวางธุระของข้า? ป่าไผ่ขมคือที่ที่ข้าวางแผนจะใช้ประโยชน์
หนิงยวนปรายตามองก่อนเอ่ย “ข้ามาเดินเล่น” กล่าวจบก็เดินมุ่งหน้าเข้าป่าไผ่ตามทางที่ถูกปกคลุมด้วยใบไม้ สถานที่น่าหวาดกลัวและมืดมิดเช่นนี้ สตรีเด็กผู้นั้นคงไม่กล้าเดินเข้ามาแน่ พื้นที่นี้ก็จะเป็ของเขาแต่เพียงผู้เดียว คิดได้ดังนั้นก็สบายใจ... หืม?
หนิงยวนหันกลับไปมองทันทีก่อนเอ่ยด้วยความโมโห “นี่ เ้าตามข้ามาทำไม? ใครอนุญาตให้เ้าเดินเข้ามาในป่าไผ่นี้”
เหอตังกุยชี้ทางเดินเล็กบนพื้นพลางกล่าวจริงจัง “เ้าป่วยหนักจนตาลายแล้วกระมัง ข้าไม่ได้เดินถนนเส้นเดียวกับเ้าจะเรียกว่าตามได้อย่างไร? ดูสิ ทางเดินั้แ่เริ่มถึงตรงนี้แยกจากกัน เ้าจะไปเดินเล่นทางนั้นใช่หรือไม่? ข้าจะไปทางนั้น” กล่าวจบก็ยกนิ้วชี้เรียวยาวทั้งสองข้างชี้ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก นางเอ่ยสั่งชายหนุ่มจริงจัง “หากเ้าเดินเล่นพอประมาณแล้วก็รีบกลับเถิด นอกจากป่าทางทิศตะวันออกก็อย่าเดินไปที่ไหนมั่วซั่ว ข้าจะบอกความจริงให้ก็แล้วกัน ป่าไผ่ทิศตะวันตก ทิศใต้และทิศเหนือของตระกูลเคยมีคนตาย...พวกเขาทั้งหมดเป็บ่าวรับใช้รุ่นราวคราวเดียวกับเ้า ได้ยินว่าตอนตาย…ศพของพวกเขาไม่สมบูรณ์”
หนิงยวนโกรธและขบขันไม่น้อย เด็กสาวผู้นี้พูดจาเหลวไหลอันใด? นางถ่อมาถึงที่นี่เพื่อพูดขู่เขาเช่นนั้นหรือ นางคงไม่รู้ว่าตนเคยผ่านอะไรมาบ้างกระมัง? ขณะนี้หนิงยวนกำลังสูญเสียพลังงาน ทุกคำที่พูดทำให้หน้าท้องบริเวณที่โดนฝ่ามือเย็นของลู่เจียงเป่ยโจมตีนั้นเ็ป เขาจึงไม่มีเวลาคุยกับนาง ทำได้เพียงกล่าว “เช่นนั้นเ้าก็ไม่ควรไปที่อื่นนอกจากทิศตะวันตก กล่าวกันว่าป่าไผ่ขมที่มีหมอกปกคลุมหนาแน่นแห่งนี้…มีสิ่งลี้ลับมากมายแฝงเร้น”
เมื่อจบบทสนทนา ทั้งสองต่างเดินแยกเข้าป่าไผ่ขมตามทางของตนพร้อมมองหาที่หลบภัย
เหอตังกุยมุ่งหน้าทิศตะวันตกเป็เวลาครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุดของป่าไผ่เสียที ยิ่งลึกเท่าไร กรวดและหินก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเดินต่อไปอีก กอไผ่ขมก็ค่อย ๆ กลายเป็โขดหินขนาดั์สูงเท่านาง เหอตังกุยพบหินขนาดใหญ่ยื่นจากครึ่งบนของกองหินประหลาดจึงถอดเสื้อคลุมปูใต้หินก้อนใหญ่ นั่งทำสมาธิปรับลมหายใจโดยใช้เคล็ดวิชาบ่มเพาะจิตใจที่มีชื่อว่า “เก้าวิธีส่งซานหยางไปยังจุดไป่ฮุ่ย”
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามครึ่งก็รู้สึกว่าวิธีนี้ได้ผลเล็กน้อย ลมปราณเจินชี่ในเส้นลมปราณยังคงกระจัดกระจายเสมือนน้ำเย็นััน้ำมันในกระทะร้อน นางจึงเปลี่ยนท่าทางเป็คุกเข่าซ้าย ยกเข่าขวาพร้อมยื่นเท้าขวาขึ้นบนโขดหินด้านหลัง ก่อนท่องเคล็ดวิชา “ความเพียรสู่ความสำเร็จ” เงียบ ๆ เพื่อผลักดันลมปราณเจินชี่
นางนั่งสมาธิั้แ่เที่ยงจนมืดค่ำ เปลี่ยนเคล็ดวิชาถึงห้าหกวิธี เนื่องจากชาติที่แล้วนางไม่เคยประสบเหตุการณ์ “มีเงินมากจนนับไม่หมด” และ “กำลังภายในแข็งแกร่งจนอยากละทิ้ง” แม้นางจะมีวิธีการมากมายแต่ก็ไม่มีโอกาสฝึกฝน ทว่าตอนนี้นางเป็คนธรรมดาที่แม้แต่วรยุทธ์ขั้นต้นก็ยังไปไม่ถึง หลังลองใช้ถึงห้าหกวิธีและอีกหลายสิบกระบวนท่าที่น่าจะมีผลช่วยส่งลมปราณเจินชี่ แต่ยังพบว่ามันให้ประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือปิดผนึกจุดสำคัญหลายจุดเหนือหน้าอก ดังนั้นแม้ลมปราณเจินชี่จะพลุ่งพล่านก็ไม่ทำให้เืเอ่อล้นจนถูกขับออกจากลำคอเช่นตอนแรก
หาก “เส้นทางตัน” พวกมันก็จะออกทางส่วนล่างของร่างกายแทน... เนื่องจากเป็ครั้งแรกที่นางพบสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีประสบการณ์ ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าโดยทั่วไปมันไม่ควรออกมาเหมือนตอนมีระดู มิเช่นนั้นเมื่อบุรุษเจอเหตุการณ์เช่นนี้จะหาทางออกไม่ได้ ไม่แน่อาจมีวิธีที่ดีกว่าสำหรับชายและหญิง
“จ๊อก ๆ ...” เหอตังกุยััได้ถึงท้องที่ว่างเปล่า มื้อสุดท้ายของนางผ่านมาเจ็ดแปดชั่วยามแล้ว
เหล่าไท่ไท่คงกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว พวกนางเห็นเหอตังกุยขังตัวเองในห้องเพื่อพักผ่อน หากพวกเข้าไปตรวจอาการแล้วไม่พบนางอาจเกิดเื่วุ่นวายอีก เช่นนั้นนางก็จะแก้ตัวว่าเพราะคิดถึงบ้านจึงออกมาเดินเล่น ฉานอีและไฮว่ฮวาคงมาถึงตระกูลหลัวพร้อมสัมภาระทั้งหลายแล้ว ด้วยก่อนหน้านี้เหล่าไท่ไท่และหยางมามาอยู่บนรถม้า ตนจึงทำได้เพียงนำสัมภาระฝากไว้ที่รถม้าคันที่ไปรับฉานอีและพวก
นางหวังว่าสัมภาระจะปลอดภัยดี โดยเฉพาะขวดพุทราแช่เหล้าใบใหญ่และไหเหล้าหนักหลายจินอีกหลายไห เพราะสิ่งเ่าั้ล้วนถูกนางเลือกเก็บลงเขามาทุกชิ้น เหอตังกุยเชื่อว่าเมื่อเหล่าไท่ไท่เห็นพุทราลูกใหญ่ต้องใจชื้นเป็แน่...
หากเหอตังกุย้ายืนหยัดมั่นคงในตระกูลหลัวเพียงลำพัง คนที่นางพึ่งพาได้คือเหล่าไท่ไท่ แม้เหล่าไท่ไท่จะห่วงใยนางด้วยความจริงใจ แต่หากเทียบกับหลัวไป๋เส่าและหลัวไป๋ฉยง นางก็แทบไม่มีความหมาย เหอตังกุย้าเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ในตระกูลหลัวเท่านั้น ไม่้ายั่วโทสะหลัวไป๋ฉยงหรือหลัวไป๋เส่า ทว่าพวกนางกลับถูกกำหนดให้เป็ศัตรูดั่งเสือสองตัวและกระต่ายตัวเดียว หากพวกนางเข้ามายั่วโทสะเหอตังกุยถึงหน้าประตู เหอตังกุยก็จะเขียนชื่อพวกนางในบัญชีดำ
เมื่อนางมีพุทราซาอวี้แสนวิเศษทั้งเก้าลูก ใครจะเป็เสือ ใครจะเป็กระต่าย ดวงตาคนในตระกูลหลัวจะเห็นเองว่าใครคือผู้ชนะ… หากหลานสาวของเหล่าไท่ไท่ถูกส่งไปวัดสุ่ยซังจะทำให้คนนอนไม่หลับมากมายเพียงใด?
เหอตังกุยเดินตามเส้นทางที่มีรอยที่นางทำไว้บนลำไม้ไผ่ก่อนหน้านี้ เมื่อข้ามดงไผ่ที่คล้ายเพิ่งปลูกใหม่ก็จะสามารถออกจากสถานที่มืดมิดน่าหวาดกลัวได้ เพราะได้รับอิทธิพลจากนักต้มตุ๋นลึกลับไป๋หยางไป่ นางจึงไม่เคยเชื่อเื่ผี แต่จิตใจของผู้คนก็แตกต่างไปตามสภาพแวดล้อม ขณะนี้เหอตังกุยรู้สึกหนาวเย็นด้านหลังราวกับจู่ ๆ าาแห่งสัตว์ร้ายก็ปรากฏตัวในไม่กี่ลี้ ทำให้สัตว์ร้ายตัวอื่นหวาดกลัวยิ่งนัก
ไม่รู้ว่าอาการกระอักเืของชายหนุ่มผู้นั้นเป็อย่างไรบ้าง… อย่างไรก็ตาม นางควรรีบหาสถานที่เพื่อปรับลมหายใจ ไม่ควรเก็บความสงสัยที่มีต่อเขามาคิดให้ปวดหัว ทว่านึกถึงเื่นี้นางก็คิดว่าผิวหน้าของเขาแปลกประหลาดนัก ผิวกลายเป็สีขาวอมชมพูหลังกระอักเืหรือ เป็ไปได้อย่างไรกัน? แม้เขาจะมีเืเต็มเปี่ยมถึงขั้นไม่ต้องกังวลหากเสียเื แต่อย่างน้อยจุดฝังเข็มฉานจูของเขาก็ควรเป็ลมปราณสีดำจึงจะถูก...
เหอตังกุยส่ายศีรษะ คิดไม่ออกจริง ๆ เฮ้อ ช่างเขาเถอะ อย่างไรเหล่าไท่ไท่ก็พาเขามารักษาที่ตระกูลหลัวโดยมีหมอจากร้านซานชิงเป็ผู้รักษา ขณะนี้เหอตังกุยห้อตะบึงผ่านดงไผ่เกิดใหม่สีเขียวขจีจนถึงข้างป่าไผ่แล้ว
ทันใดนั้นก็โล่งใจราวกับได้กลับโลกมนุษย์อีกครั้ง ไม่แปลกใจที่สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า “แดนผีสิง” ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เพราะคนที่เผยแพร่เื่นี้เป็คนขี้อายเกินไป แต่สถานที่แห่งนี้แปลกยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเป็เพราะสายตาของนางพร่ามัวในความมืดหรือไม่… ทว่าขณะนี้นางเห็นพื้นที่โดยรอบมีปีกสีดำจำนวนมาก จำไม่ได้ว่าตอนเดินผ่านใน่กลางวันมีสิ่งเหล่านี้ด้วย… เหอตังกุยเดินไปข้างหน้าด้วยความสงสัย
สายตาของนางมองผิดจริง ๆ
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ “ขนสีดำจำนวนมาก” แต่เป็ขนและโครงกระดูกอีกา “กองใหญ่” ไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสิบยี่สิบกอง แต่กลับกระจัดกระจายทั่วบริเวณ...
พื้นดินถูกปกคลุมด้วยขนและซากศพที่มีเืสีดำเปรอะเปื้อน...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้