อาจเป็เพราะคำพูดของฉู่ซีฟงลึกซึ้งมากจนเกินไปหรืออาจเป็เพราะความหนาวเย็นของสายลมที่พัดเข้ามาอย่างกะทันหันซูฉางอันจึงรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดหมอกที่ควรจะซาไปแล้วจึงหนาและทึบมากขึ้นเรื่อยๆแสงแดดยามเช้าราวจะถูกหมอกหนาบดบังขัดขวาง จึงไม่อาจส่องแสงทะลุลงมาได้ท้องฟ้ามืดครึ้มลงเรื่อยๆ ยามเช้าของเมืองหลานหลิงกลับมีสภาพไม่ต่างไปจากเวลาพลบค่ำของวันเลย ทิวทัศน์โดยรอบ เองก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆ จนมองภาพได้ไม่ชัดแล้ว
ซูฉางอันหันกลับไปมองศพที่นอนเกลื่อนอยู่บนถนนแล้วก็อดรู้สึกวังเวงขึ้นมาไม่ได้
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างเป็อะไรที่คุ้นเคยยิ่งนัก ราวเขาเคยัักับความวังเวงเช่นนี้ที่ไหนมาก่อน
เขาโยวหยุน!!!
จู่ๆ ภาพในคืนนั้นก็แทรกเข้ามาในสมอง ‘ร้อยอสูรออกล่า’ ชายในชุดคลุมสีดำพูดคำที่เป็ดั่งฝันร้ายขึ้นจากนั้นบรรยากาศวังเวงและน่าพิสดารเช่นในตอนนี้ก็เริ่มปกคลุมไปทั่วบริเวณ
เขาเบิกตากว้างแล้วเริ่มขับเคลื่อนปราณดาราภายในร่างกายขึ้นโดยสัญชาตญาณทันใดนั้นพลังแห่งดาบก็พุ่งปะทุออกมาจากร่างเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ทำหน้าที่เป็เกราะป้องกันภัยให้ในพริบตา
“ระวัง!” เขาะโขึ้น แล้วรีบถอยกลับไปอยู่ข้างฉู่ซีฟงอย่างรวดเร็ว
และวินาทีที่ซูฉางอันเริ่มเคลื่อนไหวฉู่ซีฟงก็ััได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน สายฟ้าสีม่วงปะทุออกมาจากร่างของเขาฉู่ซีฟงเองก็ขยับเข้าไปใกล้ซูฉางอันเช่นเดียวกัน
นักดาบทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กจับดาบคู่ใจเอาไว้ในมือทั้งสองหันหลังเข้าด้วยกัน และสอดส่องสายตาไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง
ราวเพื่อตอบสนองต่อการกระทำของพวกเขาจู่ๆ ท้องฟ้าก็มืดครึ้มมากขึ้นกว่าเดิม ความมืดที่เข้าปกคลุมเปลี่ยนให้เมืองหลานหลิงมืดมนราวเป็เวลากลางคืนไม่มีผิด
หมอกหนาเข้าปิดล้อมพื้นที่รอบด้านเอาไว้ราวกับมีชีวิตจิตใจเป็ของตัวเองปิดล้อมร่างของทั้งสองเอาไว้อย่างแ่า
วิสัยทัศน์ของทั้งสองเปลี่ยนมาอยู่ในระดับต่ำพวกเขาต้องเพ่งจิตอย่างเต็มที่จึงจะมองเห็นของที่อยู่ในระยะหนึ่งฟุตได้
เม็ดเหงื่อเริ่มซึมออกมาจากหน้าผากมือที่จับดาบอยู่ก็เกร็งแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีเส้นเืปูดขึ้นเต็มไปหมด
“คิก...คิก...คิก...”
เสียงหัวเราะที่สุดพิสดารดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ช่างเป็เสียงที่แสบแก้วหูเสียจริงราวกับเสียงที่ถูกเค้นออกมาจากที่สูบลมอย่างไรอย่างนั้น มันดังขึ้นทั่วทุกสารทิศดังทะลุหมอกหนาเข้ามาจากทุกด้าน
ฉู่ซีฟงและซูฉางอันมีสีหน้าหนักอึ้งมากขึ้นเพราะเสียงนั้นเม็ดเหงื่อที่หน้าผากก็ถูกสะสมจนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ บัดนี้มันกลายเป็เหงื่อเม็ดใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนไปแล้ว
เงาสีดำปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกหนาเงาแล้วเงาเล่า เพียงไม่กี่อึดใจ เงาดำจำนวนมากก็ยืนล้อมอยู่ทั่วทุกสารทิศแล้วแต่เพราะมีหมอกหนาคอยบังอยู่ ทำให้มองเห็นรูปร่างของพวกมันได้ไม่ชัดเจน
ติ๋ง!
เม็ดเหงื่อของใครบางคนหยดลงบนพื้นหินเบื้องล่าง
เสียงนั้นเบามากแต่ในเมืองหลานหลิงที่เงียบสงัดจนน่ากลัวแห่งนี้เสียงนั้นกลับดังให้ได้ยินอย่างชัดเจนและทั่วถึง
ราวเป็สัญญาณอะไรบางอย่าง...
เพราะทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้นนักดาบทั้งสองก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที
ฉู่ซีฟงเร็วมากเร็วไม่ต่างไปจากสายฟ้าที่ห้อมล้อมอยู่รอบดาบของเขาเลย เพียงพริบตาเดียวเขาก็พุ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าเงาสีดำที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุดเสียแล้วคมดาบถูกเหวี่ยงตามออกไปติดๆดาบของเขากำลังจะหั่นร่างตรงหน้าออกเป็สองท่อนแล้ว...
ทันใดนั้นสายฟ้าที่คมดาบของเขาก็ประกายแสงเจิดจ้าขึ้น มันส่องให้ใบหน้าเย็นะเืภายใต้เส้นผมอันแสนยุ่งเหยิงของเขาสว่างไสวขึ้นและส่องให้รูปลักษณ์ของเงาดำตรงหน้าปรากฏต่อสายตาด้วยเช่นกัน
วินาทีนั้น จู่ๆ เขาก็เบิกตากว้างขึ้นดาบที่ถูกเหวี่ยงออกไปอย่างทรงพลังกลับชะงักและลดความเร็วลงไปมาก
เขาเคยเห็นใบหน้าที่ไม่สมควรจะถูกเรียกว่าใบหน้าอีกต่อไปของเงาดำตรงหน้ามาก่อน
เมื่อครู่นี้ ขณะตรวจสอบศพในเมืองเขาเคยเห็นใบหน้าที่ถูกบางอย่างแทะกินจนผิดรูปตรงหน้ามาก่อน
เขาเป็คน อย่างน้อยก็เคยเป็คนมาก่อนแต่ในตอนนี้เขากลับเป็เพียงศพเน่าๆ ศพที่สามารถเคลื่อนไหวได้ศพที่สามารถพุ่งกรงเล็บแหลมคมใส่คนอื่นได้
เมื่อศพตรงหน้ายกมือขึ้นเมื่อมันเผยกรงเล็บที่ยาวและแหลมคมซึ่งไม่สมควรจะอยู่ในร่างของมนุษย์ออกมาอีกครั้ง
ฉู่ซีฟงตระหนักขึ้นได้ทันทีว่าร่างตรงหน้าเป็เพียงหุ่นเชิดที่ถูกใครบางคนควบคุมเอาไว้เท่านั้นวินาทีนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนมาคมกริบดาบที่ช้าลงเล็กน้อยเริ่มประกายสายฟ้าสีม่วงขึ้นมาอีกครั้งก่อนดาบนั้นจะเหวี่ยงลงบนร่างตรงหน้าด้วยความรวดเร็วดังเดิม
แควก!
ดาบใหญ่หั่นศพเน่าเบื้องหน้าออกเป็สองท่อนได้อย่างง่ายดายราวเป็การฉีกผ้าขาดๆ ออกจากกันเท่านั้นเืและก้อนเนื้อไม่ได้สาดกระเด็นไปทั่วอย่างที่คิดเอาไว้เขาผ่าศพออกได้อย่างง่ายดาย ไม่ต่างไปจากการหั่นก้อนเต้าหู้เลย
ร่างนั้นร่วงลงบนพื้นดินเบื้องหน้าฉู่ซีฟงราวกับว่าวที่เชือกขาด
ทว่าทุกอย่างกลับไม่ได้จบสิ้นลงอย่างที่ควรจะเป็เพราะร่างนั้นไม่ได้ ‘ตาย’ ลงแต่อย่างใดร่างท่อนบนที่ร่วงอยู่บนพื้นตะเกียกตะกายเพื่อจะขยับเข้ามาใกล้ฉู่ซีฟงจนเมื่อมาหยุดอยู่ในจุดที่คิดว่าเอื้อมแตะฉู่ซีฟงได้แล้วมันก็ยื่นมือเข้ามาอีกครั้ง
ฉู่ซีฟงขมวดคิ้วมุ่นลำแสงสีม่วงสว่างวาบ เพียงเท่านั้นแขนที่ศพเบื้องหน้ายื่นเข้ามาหาก็ถูกตัดออกมาจากร่างกายเสียแล้วแต่มันกลับทำราวกับไม่รู้สึกรู้สา หรือจะพูดอีกแบบก็คือมันไม่สนใจร่างกายที่ลดขนาดลงเรื่อยๆ ของตนเลยสักนิด ครั้งนี้มันยกมืออีกข้างขึ้นมา แต่เพิ่งจะเริ่มยกมือขึ้นท่อนแขนอีกข้างที่ยังเหลืออยู่ก็ถูกตัดจนขาดเสียแล้ว
แต่มันก็ยังไม่ยอมตายร่างท่อนบนที่ไม่มีทั้งแขนและขาคลานอยู่บนพื้นดินอย่างต่อเนื่องเมื่อขยับเข้ามาข้างหน้าจนได้ระยะที่พอดี มันก็อ้าปากที่เต็มไปด้วยเนื้อเน่าเฟะของตัวเองแล้วพุ่งตรงเข้ามาที่ขาของฉู่ซีฟง
ฉู่ซีฟงขมวดคิ้วเป็ปม เขายกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงไปแรงๆ
พรืด!
ราวกับแตงโมที่ถูกทุบอย่างแรง
ส่วนหัวของศพเบื้องหน้าแหลกกระจายออกจากกันกระดูก เืเนื้อ และสมองอันแห้งขอดที่ซ่อนอยู่ภายในกระจายออกจากกันทิ้งร่องรอยที่คล้ายกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งลงบนพื้นหินในที่สุดร่างกายที่ยังเหลืออยู่ของมันก็หยุดการเคลื่อนไหวลงจนได้ของเหลวที่ไม่ทราบว่าเป็เืหรือน้ำหนองไหลนองออกมาจากภายในพร้อมกับกลิ่นที่ชวนให้อาเจียน
“ฉางอัน ที่หัว”ฉู่ซีฟงปิดจมูกแล้วกล่าวขึ้นเช่นนั้น
ซูฉางอันเพิ่งได้สติจากความตกตะลึงที่ได้เห็นรูปโฉมที่แท้จริงของเงาดำตรงหน้าเขาเหวี่ยงดาบไปที่กรงเล็บซึ่งศพตรงหน้าใช้เป็อาวุธจู่โจมจนเมื่อได้ยินฉู่ซีฟงพูดดังนั้น จึงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าหนักอึ้ง
เขาะโขึ้นสูงอย่างรวดเร็วจากนั้นก็เหวี่ยงดาบลงมา ตัดหัวของศพเบื้องหน้าออกมาจากร่างที่เน่าเปื่อยของมันวินาทีที่ส่วนหัวร่วงลงบนพื้นดิน ร่างที่วินาทีก่อนยังแยกเขี้ยวยิงฟันและระบำกรงเล็บเข้าใส่อย่างต่อเนื่องก็ร่วงลงบนพื้นดิน ไม่ต่างไปจากหุ่นเชิดที่ไร้ผู้ควบคุมเลยสักนิด
เมื่อได้วิธีรับมือกับศัตรูมาแล้วทั้งสองก็เคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่องพวกเขาพุ่งผ่านเงาดำพวกนั้นไปอย่างรวดเร็ว และทุกครั้งที่ชะงักลงก็เป็อันต้องมีหัวอันขี้ริ้วขี้เหร่ร่วงลงบนพื้นดินทุกครั้ง
เมื่อทั้งสองถอยกลับไปอยู่ข้างกันอีกครั้งศพมากกว่าสิบก็พากันล้มลงบนพื้นดินอย่างกะทันหัน
แต่เื่ยังไม่จบลงแค่นั้น
“คิก...คิก...คิก...”
เสียงหัวเราะอันแสนอัปลักษณ์ดังฝ่าสายหมอกเข้ามาอีกครั้ง
ราวเ้าของเสียงกำลังหัวเราะเยาะซูฉางอันกับฉู่ซีฟงเช่นนั้นร่างเน่านับสิบปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งท่ามกลางสายหมอก
ซูฉางอันขมวดคิ้วมุ่นเขารู้สึกว่าสิ่งที่ตนกำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า เหมือนสิ่งที่เทียนจ้าวคนที่บอกว่าตัวเองเป็ครึ่งเทพเคยใช้บนเขาโยวหยุนไม่มีผิด
แต่เขาไม่มีเวลามาคิดอะไรมากมายเพราะร่างพวกนั้นกำลังพุ่งเข้ามาหาอีกครั้งแล้ว เขากับฉู่ซีฟงมองตากันแวบหนึ่งก่อนร่างทั้งสองจะไหววูบ พวกเขาเริ่มโจมตีศัตรูอีกครั้ง เพียงไม่ถึงสิบอึดใจร่างนับสิบก็ล้มลงไปกองอยู่บนพื้นดินแล้ว
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกมากกว่าสิบครั้ง
ในที่สุด ผู้อยู่เื้ัก็คล้ายจะตระหนักได้แล้วว่าการต่อสู้ในรูปแบบนี้สร้างความอันตรายแก่พวกเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ผู้ที่ซ่อนอยู่ในเงาหมอกหยุดการอัญเชิญที่ไร้ประโยชน์ลงในที่สุด
ฉู่ซีฟงกับซูฉางอันมีโอกาสได้พักหายใจกันแล้วแต่พวกเขายังไม่กล้าทำตัวประมาท หรือลดความระแวดระวังลงไปเลยแม้แต่น้อยทั้งสองยังคงมองเข้าไปในเงาหมอกตาไม่กะพริบพวกเขารู้ว่าสิ่งที่กำลังจะปรากฏขึ้นต่อจากนี้ไม่ได้รับมือง่ายเหมือนศพก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ครืด...ครืด...ครืด...
เสียงที่คล้ายเป็การเสียดสีระหว่างกระดูกและชิ้นเนื้อดังขึ้นอย่างกะทันหันเริ่มจากเบาหวิวจนแทบจะไม่ได้ยิน ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆจนสามารถได้ยินเสียงนั้นได้อย่างชัดเจนในที่สุด
บางอย่างกำลังขยับเข้ามาใกล้!
ซูฉางอันสะดุ้งใ
ในตอนนั้นเอง จู่ๆร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันท่ามกลางไอหมอก มันขยับเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้าและยิ่งมันขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเท่าไหร่ เสียงเสียดสีก็จะดังมากขึ้นไปด้วย
ในที่สุดร่างนั้นก็หยุดยืนอยู่ในจุดที่อยู่ห่างจากทั้งสองเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น
ร่างนั้นอยู่ในชุดคลุมสีดำซูฉางอันมองเห็นเขาได้เพียงเลือนรางเท่านั้นแต่ดวงตาสีแดงสดที่ไร้ซึ่งพื้นที่สีขาวของเขากลับทำให้ซูฉางอันสะดุ้งใ จู่ๆเขาก็ััได้ว่าคนในชุดคลุมสีดำตรงหน้า ต้องเป็ศัตรูที่ยากจะรับมือแน่ๆและการหายตัวไปของกู่เซี่ยนจวินก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเ้านี่ด้วยเช่นกัน
ซูฉางอันเตรียมจะเค้นถามเื่ของกู่เซี่ยนจวินแต่เงาดำนั้นกลับชิงพูดขึ้นเสียก่อน
“เทียนจ้าว... เ้าเป็คนฆ่าเขาใช่ไหม?”
เสียงของร่างตรงหน้าแหบพร่าเป็อย่างมากเสียงนั้นทั้งเก่าแก่ เหี่ยวเฉา เน่าเฟะและน่าสะอิดสะเอียนไม่ต่างไปจากเสียงหัวเราะในไอหมอกเมื่อครู่เลย
ซูฉางอันชะงักไปในทันทีหน้าผากของเขาท่วมไปด้วยเหงื่อมือที่จับดาบอยู่ก็เริ่มสั่นเทาขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาก้มหน้าลงต่ำไม่ยอมพูดสิ่งใดออกมาอีก ไม่แม้แต่จะมองร่างในชุดคลุมสีดำตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ
ฉู่ซีฟงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของซูฉางอันเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แม้คนในชุดคลุมดำตรงหน้าจะแลดูพิลึกและน่าพิศวงแต่เท่าที่เขารู้จักซูฉางอัน เด็กคนนั้นไม่มีทางหวาดกลัวเพียงเพราะเื่แบบนี้แน่
“เ้ามีของที่ไม่สมควรจะเป็ของเ้าอยู่ในตัว” คนในชุดคลุมดำพูดขึ้น
“ของนั่น ควรจะเป็ของมั่วทิงอวี่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้