สตรีแซ่ซ่งเก็บรวบรวมเสื้อผ้าที่ใส่แล้วของทุกคนในครอบครัวอวี๋เจียวอุ้มถังน้ำใหญ่เดินตามหลังสตรีแซ่ซ่งเพื่อไปซักผ้าที่ลำธารเล็กหน้าหมู่บ้าน
ลำธารเล็กไหลลงมาจากเขาน้ำใสสะอาด ถึงขั้นสามารถมองเห็นกลุ่มปลาแหวกว่ายเล่นใต้น้ำ
สตรีแซ่ซ่งหาหินลำธารก้อนที่โผล่ขึ้นมากลางผิวน้ำวางเสื้อผ้าสกปรกในตะกร้า ย่อกายลงบนก้อนหินแล้วเริ่มต้นซักเสื้อผ้า
อวี๋เจียวถือเสื้อผ้าสกปรกที่นางเปลี่ยนตามด้วยนั่งยองอยู่ข้างสตรีแซ่ซ่ง เริ่มลงมือซักอาภรณ์ของตน
สะใภ้แซ่ซ่งมองท่าทางว่านอนสอนง่ายของนางแล้วรู้สึกขัดแย้งในใจยามแม่นางน้อยนิ่งเงียบและอ่อนโยนแลดูสุขุมยิ่งนักแต่ตอนแย่งชิงน้ำร้อนกับครอบครัวสาม นางก็ดูออกแล้วว่าแท้จริงแล้วสาวน้อยคนนี้มีนิสัยดื้อรั้น
"หนูเมิ่ง เ้ากลับชิงโจวตอนอายุเท่าใด?" สตรีแซ่ซ่งเอ่ยถามเรื่อยเปื่อย
อวี๋เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่งแท้จริงแล้วนางจำเื่วัยเด็กไม่ได้มากนัก ความทรงจำมากมายเลือนรางตอนกลับมาถึงหมู่บ้านสกุลเมิ่ง ดูเหมือนเมิ่งอวี๋เจียวจะอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบ
“เจ็ดแปดขวบ? นับเป็เื่ยากนักที่เ้ายังจำวิชาหมอได้ั้แ่ยังเยาว์เช่นนั้นเป็เด็กฉลาดจริงๆ” สตรีแซ่ซ่งเอ่ยชมทั้งรอยยิ้ม
อวี๋เจียวหัวเราะ“ท่านอาจารย์เป็คนเข้มงวดเ้าค่ะ มักจะบังคับให้ข้าท่องตำราหมอทุกวันเรียนรู้สมุนไพรหลากหลายชนิดหากท่องตำราหมอและจำสมุนไพรไม่ได้จะต้องถูกลงโทษเ้าค่ะ”
บิดาของอวี๋เจียวด่วนจากไปนางถูกท่านปู่เลี้ยงดูเช่นผู้สืบทอดตระกูลอวี๋มาั้แ่เด็กท่านปู่ของนางเข้มงวดในทักษะวิชาแพทย์มาแต่ไหนแต่ไรวิธีลงโทษนางจึงยิ่งมากมายสารพัด ทุกครั้งล้วนแต่เป็ศิษย์พี่ใหญ่ที่คอยช่วยนางเอาไว้
เมื่อคิดถึงท่านปู่ดวงตาของอวี๋เจียวเห่อร้อนเล็กน้อย
สตรีแซ่ซ่งรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เรียนวิชาหมอั้แ่ยังเด็ก คงได้รับความลำบากไม่น้อยกระมัง? ตอนนั้นท่านอาจารย์ของเ้าเข้มงวดก็เพราะทำเพื่อเ้าไม่เช่นนั้นด้วยอายุยังน้อยเช่นเ้า คงไม่อาจร่ำเรียนจนเปี่ยมความสามารถเช่นนี้”
อวี๋เจียวพยักหน้าท่านปู่เข้มงวดกับนางแค่เื่ทักษะการแพทย์ ในยามปกติยังคงเอ็นดูนางอย่างมาก
คนทั้งสองซักเสื้อผ้ายังไม่ทันเสร็จอวี๋ฝูหลิงกลับตามมาเสียแล้ว
“เมิ่งอวี๋เจียว ท่านปู่ให้มาเรียกเ้ากลับไป”น้ำเสียงของอวี๋ฝูหลิงไม่ดีนักราวกับการสนทนากับอวี๋เจียวถือเป็การกระทำน่าอับอายยิ่งนัก
สตรีแซ่ซ่งกลัวว่าสตรีแซ่จ้าวและสตรีแซ่อวี๋โจวจะไปพูดจาซี้ซั้วต่อหน้าผู้เฒ่าทำให้ท่านผู้เฒ่าเรียกอวี๋เจียวกลับไปดุด่าว่ากล่าวอย่างหนัก นางจึงเอ่ยถามว่า“ท่านปู่ของเ้าเรียกแม่หนูเมิ่งไปเพราะเื่อันใด?”
อวี๋ฝูหลิงเอ่ย“คนของหมู่บ้านสกุลจางมาหาหมอเ้าค่ะ ท่านปู่จึงให้มาเรียกนางกลับไป”
ครั้นได้ยินว่าในเรือนมีคนมาหาหมอสตรีแซ่ซ่งรีบเอ่ยว่า “แม่หนูเมิ่ง เ้ารีบกลับไปเถิด”
อวี๋เจียวใช้น้ำในลำธารล้างมือหยัดกายลุกขึ้น เดินกลับเข้าไปในหมู่บ้านพร้อมกับอวี๋ฝูหลิง
ระหว่างทางอวี๋ฝูหลิงลอบชำเลืองมองอวี๋เจียวอยู่หลายหนอวี๋เจียวเอาแต่นิ่งเงียบอย่างยิ่ง อวี๋ฝูหลิงไม่เอ่ยสิ่งใดนางก็ไม่จำเป็ต้องเป็ฝ่ายเปิดบทสนทนา
เมื่อใกล้จะเข้าสู่หมู่บ้านในที่สุดอวี๋ฝูหลิงก็ทนไม่ไหว แสร้งเอ่ยอย่างดุดันกับอวี๋เจียวว่า “นี่เมิ่งอวี๋เจียว ถึงแม้เ้าจะได้รับความสำคัญจากท่านปู่แต่หากภายหน้าเ้ายังรังแกน้องชายของข้า ทำให้เขาต้องอับอาย เ้าต้องตายแน่!”
วันนั้นที่อวี๋เจียวทำเื่น่าอับอายอวี๋ฝูหลิงที่ยังไม่ได้ออกเรือนจึงถูกสตรีแซ่ซ่งส่งตัวไปยังบ้านตายายวันนี้เพิ่งจะกลับมา เมื่อเห็นอวี๋เจียวยังอยู่ในเรือนโดยไม่เป็อะไรอวี๋ฝูหลิงซักถามอวี๋เมิ่งซานอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็เพราะเมิ่งอวี๋เจียวรู้วิชาหมอทำให้ได้รับความชื่นชมจากท่านปู่
อวี๋ฝูหลิงรู้สึกสงสารน้องชายของตนที่ร่างกายอ่อนแอมาโดยตลอดนางจึงมีความคิดเห็นไม่น้อยเกี่ยวกับเื่น่าอับอายที่เมิ่งอวี๋เจียวทำเมื่อก่อนหน้านี้
อวี๋เจียวมองท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันของนางแล้วอดหัวเราะไม่ได้ตอบรับว่า “ได้ ข้าจะไม่รังแกเขาอีกแล้ว”
อวี๋ฝูหลิงรู้สึกราวกับชกหมัดใส่ปุยฝ้ายอ่อนนุ่มคิดไม่ถึงว่าอวี๋เจียวจะเชื่อฟังอย่างง่ายดายเช่นนี้ ใบหน้าบึ้งตึงของนางแข็งค้างจากนั้นผินหน้าหนีไม่สนใจอวี๋เจียว
คนของหมู่บ้านสกุลจางยืนอยู่ภายในโถงของสกุลอวี๋จำนวนห้าถึงหกคนเื่การรักษาโจวไหวถูกกล่าวขานไปทั่วทั้งหมู่บ้านภายในเวลาชั่วเที่ยงวันหนึ่งเล่าต่อสิบ สิบเล่าต่อร้อย ทำให้ล่วงรู้ไปถึงหูของคนสกุลจางเสียแล้ว
หมู่บ้านสกุลจางคือหมู่บ้านที่ร่ำรวยที่สุดในชนบทค่อนข้างมีอำนาจและชื่อเสียงไม่ดีในละแวกนี้
ผู้มาหาหมอคือผู้ดูแลหมู่บ้านสกุลจางเขามีบุตรชายผู้หนึ่งเป็โรคลมชักมานานหลายปี มักมีอาการบ่อยครั้งครั้นเื่โรคของโจวไหวถูกกล่าวขานออกไป ตอนแพร่งพรายไปถึงหูหมู่บ้านสกุลจางเื่ได้เปลี่ยนเป็โรคลมชักไปเสียแล้วดังนั้นผู้ดูแลหมู่บ้านสกุลจางนามจางเหล่าซานจึงพาบุตรชายมุ่งหน้ามายังเรือนสกุลอวี๋
“ท่านหมออวี๋ ลูกชายของข้าเป็โรคลมชัก ในเมื่อท่านสามารถรักษาโรคลมชักได้ท่านก็รีบเขียนเทียบยามาเถิด!” เมื่อเห็นอวี๋หรูไห่ตรวจชีพจรซ้ำแล้วซ้ำเล่าจางเหล่าซานจึงเอ่ยเร่งเร้า
อวี๋หรูไห่จับมือลูกชายของจางเหล่าซานเอาไว้ใบหน้าแสร้งทำเป็สงบนิ่ง "อย่าได้ใจร้อน"
แต่แท้จริงแล้วในใจร้อนรนจนไฟลุกและหันไปมองนอกเรือนไม่หยุดหวังว่าอวี๋เจียวจะกลับมาโดยเร็ว
โรคลมชักเป็โรคที่เกิดซ้ำและไม่อาจรักษาให้หายขาดสาเหตุของโรคมีความซับซ้อนยากตรวจพบ เขาไม่มีกระทั่งเทียบยาที่สามารถคุมอาการยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการรักษาต้นตอของโรค
อวี๋หรูไห่ลอบบริภาษการมาเยือนของคนหมู่บ้านสกุลจางหากโจวไหวไม่พูดจาซี้ซั้วกับคนภายนอก จางเหล่าซานจะมาหาเขาถึงที่ได้อย่างไร?
หากเมิ่งอวี๋เจียวไม่มีวิธีรักษาถึงตอนนั้นควรจะทำอย่างไร? อวี๋หรูไห่อดเป็กังวลไม่ได้
“ท่านผู้ดูแลสกุลจาง แท้จริงแล้วคำเล่าลือมีส่วนบิดเบือนโจวไหวในหมู่บ้านของพวกเราไม่ได้เป็โรคลมชัก เขาแค่ชักตอนกำลังร่วมรักต่างกับอาการป่วยของบุตรชายท่านยิ่งนัก” อวี๋หรูไห่ลองอธิบาย
จางเหล่าซานขมวดคิ้วกดสายตาลงมองอวี๋หรูไห่แล้วเอ่ยว่า “ความหมายของเ้าคือ โรคของบุตรชายข้าไม่อาจรักษาให้หายงั้นหรือ?”
บุตรร่างกำยำที่อยู่ด้านหลังไม่กี่คนล้วนจดจ้องมาทางอวี๋หรูไห่อย่างดุดันอวี๋หรูไห่หวาดหวั่นใจทันใดได้ยินมาว่าจางเหล่าซานเลี้ยงดูสมุนช่วยเก็บค่าเช่าจำนวนไม่น้อยคงจะไม่ใช่บุรุษร่างกำยำไม่กี่คนนี้กระมัง?
เขาเอ่ยอ้ำอึ้ง“มิใช่ว่าไม่อาจรักษา ข้า...ข้ายังต้องไตร่ตรองก่อนจะใช้สมุนไพร”
หลังจากแก้ต่างเช่นนี้ในตอนนั้นอวี๋เจียวกับอวี๋ฝูหลิงกลับมาถึงแล้ว อวี๋หรูไห่ถอนหายใจโล่งอกรีบเรียกอวี๋เจียวเข้ามาในห้องทันที
“แม่หนูเมิ่ง เด็กคนนี้เป็โรคลมชัก เ้าลองดูสิว่าควรรักษาเช่นไร?” อวี๋หรูไห่เอ่ย
เมิ่งอวี๋เจียวมองไปยังเด็กผู้ชายที่นั่งเงียบเชียบอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางว่าง่ายอายุประมาณแปดเก้าขวบ นางเอื้อมมือออกไป คิดจะจับชีพจรของเด็กผู้นี้แต่กลับถูกมือคนผู้หนึ่งขวางเอาไว้
“ท่านหมออวี๋ ท่านจะเล่นลูกไม้อะไรกับข้า? เอาเด็กผู้หญิงมาปั่นหัวข้างั้นหรือ?” จางเหล่าซานใบหน้านิ่งขรึม
อวี๋หรูไห่อธิบาย“ท่านผู้ดูแลจาง ท่านยังไม่ทราบเมื่อครั้งยังเยาว์หลานสะใภ้ผู้นี้เคยกราบไหว้ท่านหมอเลื่องชื่อในเมืองหลวงเป็อาจารย์อย่าคิดแค่ว่านางอายุน้อย แต่วิชาหมอล้ำเลิศยิ่งนักอาการม้าทะยานลมของโจวไหวในหมู่บ้านของเรา นางก็เป็คนรักษาจนหาย”
ยามนี้อวี๋หรูไห่ไม่สนใจหน้าตาอีกแล้วคิดเพียงจะผลักเื่ยุ่งวุ่นวายตรงหน้าไปให้อวี๋เจียว
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสตรีเป็หมอ หากนางรักษาบุตรชายของข้าไม่หายระวังภายหน้าสกุลอวี๋ของพวกเ้าจะไม่ได้อยู่อย่างสงบ!”จางเหล่าซานเอ่ยอย่างไร้เหตุผล
เขามีบุตรในวัยชราจึงรักใคร่เอ็นดูอย่างยิ่งแต่นึกไม่ถึงว่าบุตรชายจะเป็โรคลมชักั้แ่ยังเยาว์พาไปหาหมอจนทั่วอำเภอฉางขุยก็ยังไม่อาจรักษาให้หายเด็กที่ทั้งฉลาดและรู้ความผู้หนึ่ง กลับต้องถูกโรคภัยทรมานจนเป็เช่นนี้
อวี๋เจียวไม่เอ่ยสิ่งใดนางปัดมือของจางเหล่าซานออก แตะมือลงบนชีพจรของเด็กชาย หลังจากจับชีพจรอวี๋เจียวเอ่ยกับเด็กชายผู้นั้นว่า “อ้าปาก”
เด็กชายปิดปากแน่นสนิทหันไปมองจางเหล่าซานครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ อ้าปาก
อวี๋เจียวบีบแก้มทั้งสองข้างของเขาเอาไว้“อ้าปากให้กว้าง”
เด็กชายขยับลำคออย่างยากลำบากกระทั่งเริ่มไอออกมา อวี๋เจียวเอ่ยขึ้นว่า “มีผ้าเช็ดหน้าหรือไม่? ให้เขาคายเสมหะลงบนผ้าเช็ดหน้า”