“ทำไมเ้าถึงไร้ยางอายเช่นนี้?!”
ตอนนี้เองหลิ่วเฟยก็ลุกขึ้นเดินไปหาหลินเฟิง ขณะจ้องมองไปที่ต้วนหานอย่างเ็า ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างรุนแรง
ต้วนเทียนหลางและบุตรชายของเขาทำลายนิกายหยุนไห่ สักวันนางจะทำให้สองพ่อลูกที่น่าขยะแขยงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
เมื่อต้วนหานได้ยินคำด่าของหลิ่วเฟย ใบหน้าของเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้น หลิ่วเฟยเป็ผู้หญิงที่ต้วนหานคิดเสมอว่าจะต้องกลายเป็ภรรยาของเขาในอนาคต แต่ตอนนี้นางกลับด่าเขาเพื่อช่วยชายอื่น
“ข้าเนี่ยนะไร้ยางอาย? เหอะ! เ้าสวะนั่นไม่สามารถรับดาบของข้าได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว แล้วแบบนี้จะมาด่าข้าว่าไร้ยางอายได้อย่างไร?” ต้วนหานกล่าวขณะจ้องมองไปที่หลินเฟิงอย่างเ็า “เฟยเฟย ข้าจะพิสูจน์ให้เ้าเห็นว่าระดับของข้ากับมัน ต่างกันมากขนาดไหน!!!”
“ข้าบรรลุเพียงขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 ส่วนเ้าบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 ดังนั้นการที่ข้ารับดาบของเ้าไม่ได้ ก็ไม่เห็นจะแปลกเลยนี่ อีกอย่างถึงแม้ว่าข้าจะอ่อนแอ แต่ข้าก็ยังยืนหยัดที่จะรับการโจมตีของเ้า มันก็แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของข้า แต่เ้ากลับหยิบยกเื่นี้ขึ้นมาอวดอ้าง ทำราวกับว่ามันเป็เื่ที่น่าภาคภูมิใจนักหนา แบบนี้ไม่ให้เรียกว่าไร้ยางอายแล้วจะเรียกว่าอะไร?”
หลินเฟิงไม่มีความเกรงกลัวต่อต้วนหานเลยสักนิด เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าอีกหลายก้าวเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“ถ้าเ้ากล้าพอ ก็ยืนเฉยๆ รับการโจมตีของข้าสักครั้งสิ”
“รับการโจมตีของเ้า? ก็เอาสิ! ข้าจะทำให้เ้าเห็นว่า ต่อให้ข้ายืนอยู่เฉยๆ เ้าก็ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่ดี” ต้วนหานถูกหลินเฟิงใช้วาจายั่วยุจนโมโหขึ้นมา เขายืนนิ่งอยู่กับที่เพื่อรอรับการโจมตีของหลินเฟิง
ดวงตาสีเทาของหลินเฟิงพลันฉายแววเ็าขึ้นมา
ก่อนที่หลินเฟิงจะหลับตาลง และทุกอย่างรอบๆ ตัวก็กลายเป็เงียบสงบขึ้นมา
ความสับสนวุ่นวายใดๆ ก็ไม่สามารถรบกวนหลินเฟิงได้ ตอนนี้ในหัวของเขาได้กลายเป็โลกสีเทา ที่มีเพียงกลิ่นอายของความตายและความเยือกเย็นอันไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น
ราวกับว่าคลื่นดาบที่ปกคลุมไปทั่วลานประลอง ได้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยและกลายเป็ความเงียบงันเข้าปกคลุมแทน
ทันใดนั้นปราณสีเทาก็ปรากฏขึ้นมาในอากาศอย่างต่อเนื่อง แล้วลอยเข้ามาห่อหุ้มดาบของหลินเฟิงไว้ ปราณสีเทาเหล่านี้อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
ความตาย คือความร่วงโรย คือความแห้งเหี่ยว
เมื่อหลินเฟิงลืมตาขึ้น ม่านตาของเขาก็ยังคงเป็สีเทาที่ไร้อารมณ์และไร้ความรู้สึกเช่นเคย เพียงแต่บรรยากาศรอบตัวกลับดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
เมื่อหลินเฟิงเริ่มเคลื่อนไหว ปราณสีเทาที่ลอยวนเวียนอยู่รอบๆ ดาบก็พลันเคลื่อนไหวไปตามร่างกายของเขา
หลินเฟิงตวัดดาบแทงออกไปอย่างรวดเร็ว
หมื่นสรรพสิ่งต้องร่วงโรย ทุกชีวิตล้วนเหี่ยวเฉา มีเพียงความตายที่เป็นิรันดร์
กระบวนท่าที่ 3 ของดาบมรณะ ดาบร่วงโรย!
พลังโจมตีนี้อ่อนแอมาก รู้สึกได้ทันทีว่าอำนาจของดาบไม่แข็งแกร่งอย่างที่ควร แม้กระทั่งเสียงคำรามของคลื่นดาบก็ยังแ่เบาจนแทบไม่ได้ยิน
แต่การโจมตีนี้กลับแฝงไปด้วยเจตนาแห่งความโรยรา และเป็ตัวแทนของการทำลายล้าง นี่คือดาบร่วงโรย
สีหน้าของต้วนหานพลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของการโจมตีนี้เท่าเขาอีกแล้ว เงาแห่งความตายกำลังโอบล้อมร่างกายของเขา ไม่ช้าต้วนหานก็ตัดสินใจยกเลิกสัญญาที่ให้ไว้กับหลินเฟิง
“ดัชนีสังหาร!”
ต้วนหานใช้เคล็ดวิชาระดับลี้ลับขั้นสูงทันที ดาบั์ปรากฏขึ้นมาในอากาศขณะที่ร่างของต้วนหานถอยร่นไปไกลมาก
“ครืนๆ!”
เสียงกังวานดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อดาบร่วงโรยที่มีปราณสีเทาวนเวียนอยู่รอบๆ เผชิญหน้ากับดัชนีสังหารเคล็ดวิชาระดับลี้ลับขั้นสูง ก็เกิดเสียงะเิดังกระหึ่มขึ้นมา ก่อนที่ดัชนีสังหารจะถูกทำลายในพริบตา พร้อมกับคลื่นดาบร่วงโรยที่พุ่งเข้าหาต้วนหานอย่างรวดเร็ว
“ไสหัวไป!”
ตอนนั้นเองก็มีเสียงเ็าะโขึ้นมา คลื่นดาบอันน่าเกรงขามได้พุ่งเข้ามาตัดผ่าคลื่นดาบร่วงโรย แรงะเิในอากาศได้ก่อให้เกิดพายุขึ้นมาจนทำให้ร่างของหลินเฟิงถูกดันจนถอยร่นไปด้านหลัง นอกจากนี้คลื่นดาบที่หลงเหลือจากการทำลายคลื่นดาบร่วงโรยก็พุ่งเข้าใส่ร่างของหลินเฟิง ทำให้หลินเฟิงกระอักเืออกมา
ผู้ที่โจมตีก็คือต้วนเทียนหลาง สีหน้าของเขาดูเ็าและเคร่งขรึม สายตาที่จ้องมองไปยังหลินเฟิงก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ก้าวแรกของนักดาบก็คือการรวบรวมอำนาจ ก้าวต่อมาก็คือการผสาน และก้าวสุดท้ายก็คือหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกัน คนคือดาบ ดาบก็คือคน
การรวบรวมอำนาจก็คือการสร้างอำนาจของดาบ ซึ่งอำนาจของดาบจะทำให้พลังโจมตีของนักดาบรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า และยังมีพลังทำลายที่แข็งแกร่งอีกด้วย
ขอบเขตนี้มีเพียงนักดาบอัจฉริยะเท่านั้นถึงจะสามารถตระหนักรู้ได้ ส่วนใหญ่แล้วหากบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้น 5 หรือ 6 ระดับสูงสุด จึงจะสามารถสร้างอำนาจแห่งดาบขึ้นมาได้
ต้วนหาน บุตรชายของเขาสามารถตระหนักรู้ถึงอำนาจของดาบ ในตอนที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ก็นับว่าเป็อัจฉริยะที่โดดเด่นและยากจะหาใครเทียบแล้ว
หลังจากรวบรวมอำนาจก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตการผสาน ซึ่งขอบเขตนี้จะทำให้คลื่นดาบรวมตัวกันหนาแน่นขึ้นและไม่กระจายตัว อีกทั้งยังสามารถควบคุมอำนาจของดาบได้ตามใจ
ส่วนใหญ่แล้วนักดาบอัจฉริยะจะสามารถตระหนักรู้ถึงขอบเขตการผสานได้ ต่อเมื่อบรรลุขอบเขตลี้ลับ
แต่ทว่าดาบร่วงโรยที่หลินเฟิงโจมตีเมื่อครู่ และทำให้ต้วนหานเกือบจะตกอยู่ในอันตราย กลับแสดงให้เห็นว่าหลินเฟิงได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตการผสาน
ทักษะดาบของหลินเฟิงได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตการผสานแล้ว เพียงแต่ว่าหลินเฟิงยังไม่สามารถควบคุมสภาวะของมันได้อย่างมั่นคง มิฉะนั้นแล้วต้วนหานคงถูกหลินเฟิงสังหารไปนานแล้ว
ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะกระอักเื แต่ในดวงตาสีเทาของเขากลับเผยร่องรอยของการดูแคลนออกมา
“บิดาและบุตรร่วมมือกันต่อสู้กับผู้เยาว์เพียงคนเดียว หึๆ เ้าพูดถูกต้วนหาน ข้า หลินเฟิงไม่มีคุณสมบัติเทียบเท่าพวกเ้าได้เลย ข้าไม่อาจไร้ยางอายแบบเ้าได้ขนาดนี้”
คำพูดแดกดันของหลินเฟิง ประหนึ่งลูกศรปักลงกลางใจของต้วนหาน
“หุบปากซะ!” ต้วนหานตะคอกอย่างโมโห เขาเกลียดหลินเฟิงมากจนอยากจะสับร่างของมันเป็ชิ้นๆ
“ต้วนหาน เ้าจะมัวเสียเวลาโต้เถียงกับคนที่กำลังจะตายทำไม?” ต้วนเทียนหลางกล่าวอย่างไม่แยแส ขณะเดินไปหาหลินเฟิงอย่างช้าๆ
“ต้วนเทียนหลาง นี่เ้ากล้าข่มเหงรังแกรุ่นเยาว์?! หึ! สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเทียนหลาง[1]”
หนานกงหลิงพาผู้าุโบางส่วนะโลงมายังลานประลองเป็ตาย และเดินเข้ามาขวางหน้าหลินเฟิงไว้
เมื่อเห็นฉากนี้ ต้วนเทียนหลางก็ดีดนิ้วเรียกยอดฝีมือจำนวนหนึ่งให้เดินตามมา จากนั้นก้าวเท้าไปข้างหน้า ลมปราณทั้งสองฝ่ายต่างปะทะกันในอากาศอย่างรุนแรง จิตสังหารพุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็แรงกดดันมหาศาล
“ไม่ต้องรีบร้อนฆ่าตาแก่พวกนี้ หาโอกาสสังหารหลินเฟิงก่อน”
ต้วนเทียนหลางกล่าวอย่างไม่แยแส ก่อนจะมาที่นิกายหยุนไห่ เขาได้พายอดฝีมือจากนิกายทั้ง 3 มาด้วย ไม่ว่าจะเป็ ประมุขนิกายเฮ่าเยว่ ผู้นำหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน และรองประมุขนิกายหมื่นอสูรที่พาสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมาด้วย อีกทั้งยังมีผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งอีกเป็จำนวนมาก ทำให้กองกำลังของพวกเขาทรงพลังกว่านิกายหยุนไห่หลายเท่า
ครั้งนี้เป้าหมายของพวกเขาก็คือทำลายนิกายหยุนไห่ให้สิ้นซาก และแย่งชิงทรัพยากรของนิกายหยุนไห่มาแบ่งกัน
และนี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดที่ต้วนเทียนหลางใช้เกลี้ยกล่อมเหล่าประมุขนิกายคนอื่นๆ ให้ยอมมอบศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายตัวเองเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่
นิกายหยุนไห่นั้นเป็นิกายใหญ่นิกายหนึ่ง ดังนั้นจึงมีของวิเศษและมีเคล็ดวิชาที่ทรงพลังอีกเป็จำนวนมาก อีกทั้งเหล่าศิษย์ที่ทรยศนิกายล้วนเป็อัจฉริยะที่โดดเด่น ดังนั้นหากพวกเขาได้รับไปเลี้ยงดูต่อ ก็ยิ่งทำให้นิกายของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
“กองทหารอาชาโลหิต ฆ่าพวกมันให้หมด!”
ต้วนเทียนหลางส่งสัญญาณมือ ทันใดนั้นเหล่ากองทหารอาชาโลหิตก็วิ่งเข้ามายังหุบเขาเมฆพายุเพื่อเริ่มการเข่นฆ่า
“ต้วนเทียนหลาง ข้าคือประมุขนิกายหยุนไห่ ถ้าเ้า้าทำลายนิกายของข้า ก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน”
หนานกงหลิงก้าวเท้าไปข้างหน้า ก่อนจะปลดปล่อยลมปราณที่ทรงพลังออกมาจู่โจมต้วนเทียนหลาง
“ข้ามศพเ้าไปก่อน? ก็เอาสิ คิดว่ามันทำยากนักหรือ?!” ต้วนเทียนหลางแสยะยิ้มอย่างเ็า ก่อนทะยานร่างขึ้นไปในอากาศ
หนานกงหลิงก็ทะยานร่างตามไปติดๆ คลื่นดาบที่ทรงพลังพลันเปล่งประกายขึ้นมา ก่อนจะโจมตีไปที่ต้วนเทียนหลางอย่างรุนแรง
“ตูม!!!”
ตอนนี้เองสัตว์อสูรคุนเผิงก็ส่งเสียงคำรามออกมา ปีกทั้งสองข้างของมันก็กางออก ก่อนจะพุ่งเข้าไปจู่โจมประมุขหนานกงหลิง โดยมีรองประมุขนิกายหมื่นอสูร เถิงอูซานที่นั่งอยู่บนหัวคอยควบคุม
“ไอ้เดรัจฉาน!!!”
ผู้าุโเป่ยที่เห็นเหตุการณ์ก็ปลดปล่อยจิติญญานกกระเรียนออกมา และะโขึ้นไปด้านหลังของมัน เพื่อบินเข้าไปขวางทางสัตว์อสูรคุนเผิงไว้ ส่วนคนอื่นๆ ก็เลือกคู่ต่อสู้ของตัวเองแล้วพุ่งเข้าไปโจมตีทันที
นี่คือสมรภูมิรบขนาดใหญ่ พื้นดินสั่นะเือย่างต่อเนื่อง และมีคลื่นลมที่พัดกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ว่าจะบนฟ้าหรือผืนดิน ทุกๆ ที่ล้วนเต็มไปด้วยการฆ่าฟัน
ลานประลองเป็ตายสั่นไหวไม่หยุด ราวกับว่าพร้อมจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ
ดวงตาสีเทาของหลินเฟิงจ้องมองไปยังสมรภูมิรบรอบตัวด้วยท่าทางสงบนิ่ง โดยที่ตัวเองไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงการต่อสู้ของพวกเขาได้เลย หลินเฟิงรู้สึกว่าท่านประมุข ผู้าุโเป่ยและผู้าุโคนอื่นๆ ต่างกำลังต่อสู้เพื่อเขา
เขาคาดไม่ถึงเลยว่า ผู้คนเหล่านี้จะต่อสู้เพื่อตัวเขา
ในใจที่หนาวเหน็บก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา นี่เป็ครั้งแรกที่หลินเฟิงรู้สึกว่านิกายหยุนไห่คือบ้านของเขา และเขาคือคนของนิกายหยุนไห่ ซึ่งทุกคนกำลังต่อสู้เพื่อเขา
ประมุขหนานกงหลิง ผู้าุโเป่ยและผู้าุโคนอื่นๆ ล้วนแข็งแกร่งมาก พวกเขาสามารถแยกย้ายกันฝ่าวงล้อมออกไปได้ ถึงแม้ว่าอาจจะรอดไปได้ไม่หมด แต่อย่างน้อยก็ยังหวังว่าจะหนีรอดออกไปได้
แต่ทว่ากลับไม่มีใครทำแบบนั้นเลยสักคน พวกเขาเลือกที่จะมารวมตัวกันอยู่รอบๆ หลินเฟิงเพื่อต่อสู้ กระทั่งศิษย์ของนิกายหยุนไห่หลายคนก็เลือกที่จะต่อสู้เพื่อเขา
“นิกายหยุนไห่”
หลินเฟิงพึมพำกับตัวเองเบาๆ เขาเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบกับโลหิตที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น แล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อมองดูแรงกดดันอันมหาศาลซึ่งกำลังแพร่กระจายอยู่ในอากาศ
“หลินเฟิง”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงกระซิบดังขึ้นมา เมื่อหลินเฟิงหันไปมองตามต้นเสียง ดวงตาก็พลันชะงักค้างไปครู่หนึ่ง
หลินเฟิงเห็นเงาร่างหนึ่งกำลังทะยานเข้ามาใกล้ลานประลองเป็ตาย ดวงตาของเขาเ็าและเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
คนคนนั้นก็คือ ม่อเสีย
“เ้าสัตว์เดรัจฉาน”
หลินเฟิงมองรอยยิ้มเ็าบนใบหน้าของม่อเสีย ที่กำลังทะยานเข้ามาใกล้ด้วยสายตาสงบนิ่ง
ทั้งๆ ที่นิกายกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตที่เสี่ยงจะล่มสลายเช่นนี้ ม่อเสีย ซึ่งเป็ผู้าุโสายใน กลับไม่คิดที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อนิกาย แต่กลับฉวยโอกาสนี้สังหารหลินเฟิงเพื่อชำระแค้น
“เ้าสังหารข้าตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร? ไม่เอาเวลานี้หนีเอาตัวรอดดีกว่าหรือ?”
หลินเฟิงจ้องมองไปที่ม่อเสียซึ่งกำลังเดินเข้ามาหาตัวเอง พร้อมจิตสังหารที่พลุ่งพล่าน
“ก็ไม่แน่ว่าจะหนีรอดไปได้นี่? พร์ของเ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำให้เทียนหลางตัดสินใจจะสังหารเ้าให้ได้ ถ้าหากข้าตัดหัวเ้าและมอบมันให้กับเทียนหลาง เพื่อแสดงความจงรักภักดี เ้าคิดว่าแบบนี้น่าจะเป็ทางเลือกที่ดีกว่าไหม?”
ม่อเสียแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย เมื่อได้ฟังประโยคนี้ดวงตาสีเทาของหลินเฟิงพลันแข็งกร้าวขึ้นมา
ผู้าุโสายใน การที่มีม่อเสียเป็ผู้าุโสายในของนิกายหยุนไห่นับว่าเป็ความอัปยศอย่างมาก!!!
“ข้าล่ะชื่นชมเ้าจริงๆ ที่ยังกล้ากล่าววาจาไร้ยางอายเช่นนี้ออกมา” หลินเฟิงกล่าว
“แล้วจะทำไม? ผู้ชนะเป็วีรบุรุษ ส่วนผู้แพ้ก็เป็ฏ ต้วนเทียนหลางแข็งแกร่งขนาดนี้ อย่างไรนิกายหยุนไห่ก็จบเห่แน่ๆ หากไม่ย้ายข้างข้าก็ตายน่ะสิ!!! อีกอย่างแทนที่จะยอมตายอย่างโง่ๆ ไม่สู้เข้าร่วมกับกองกำลังที่แข็งแกร่งจะดีกว่าหรือ?!”
น้ำเสียงที่ม่อเสียกล่าว ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่ามันเป็เื่ที่ไร้ยางอายเท่านั้น แต่กลับดูภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำ บางทีในใจของเขาอาจสะกดคำว่าไร้ยางอายไม่เป็
“ในเมื่อเป็เช่นนั้น ก็เข้ามาเอาชีวิตของข้าสิ”
หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส เขายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับว่าแทบจะอดใจรอให้ม่อเสียเข้ามาสังหารไม่ไหว
ม่อเสียจ้องมองหลินเฟิงอย่างตื่นตระหนก
แต่ไม่นานก็ผ่อนคลายลง ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ต่อให้หลินเฟิงมีพร์ที่ล้ำเลิศแค่ไหนก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี
“น่าเสียดาย ที่รุ่นเยาว์อัจฉริยะคนหนึ่งต้องมาด้วยน้ำมือข้า และยังเป็ความตายที่ทุกข์ทรมานที่สุด!”
ม่อเสียปลดปล่อยจิติญญาออกมา เถาวัลย์ที่แข็งแกร่งจู่โจมไปที่หลินเฟิงอย่างรวดเร็ว มันเข้าไปรัดร่างของหลินเฟิงอย่างง่ายดาย โดยที่หลินเฟิงไม่แม้แต่จะดิ้นรนด้วยซ้ำ
ตอนนี้ม่อเสียไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของหลินเฟิง
“ดูเหมือนตัวเ้าเองจะถอดใจแล้วสินะ วางใจเถอะ ข้าจะให้เ้าตายอย่างช้าๆ และจะตัดหัวเ้าไปรับรางวัล” สีหน้าของม่อเสียเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด
ทันใดนั้นเอง ร่างของม่อเสียก็มีเงาสีดำปรากฏขึ้นมา
เงานี้ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบเชียบและไร้ร่องรอย ราวกับว่ามันได้ฝังอยู่ในร่างของม่อเสียตั้งนานแล้ว
“เป็แบบนี้ได้อย่างไร?”
ม่อเสียคิดในใจอย่างตื่นตระหนก ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แข็งทื่อ ทั่วทั้งร่างพลันสั่นเทาขึ้นมา
เป็เขา!!!
ม่อเสียไม่มีวันลืมเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้
เงาสีดำนั่น ตอนนี้ได้มาประทับอยู่ที่ร่างของเขาแล้ว!!!
……………………………………………………………………………………………………………….
หมายเหตุ
[1] เทียนหลาง หมายถึง สุนัข
