“ต้าหลี่ซื่อชิง เ้าช่างบังอาจนัก” เสนาบดีฉินเอ่ยขึ้น “กล้ามาสร้างความวุ่นวายในวันพระราชสมภพของฝ่าา?”
“นี่เป็การล่วงเกินฝ่าาแล้ว” มีผู้พูดจาใส่ไฟทันที
“นี่เป็การดูิ่ฝ่าา ควรมีโทษเช่นใด?” มีเสียงถามขึ้น
ในชั่วพริบตา ทั้งงานเลี้ยงพลันมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหู ควรมีโทษอย่างไร? โทษของการดูิ่เบื้องสูง?
ต้าหลี่ซื่อชิงเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก “ขอฝ่าาโปรดประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าา คนอวดดีเช่นนี้ เสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ สมควรลงอาญาพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าา ปล่อยไว้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าา” มีเสียงใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนต่างหันไปตามเสียงนั้น เป็เสียงของจงหย่งโหว หลี่ลั่วคุกเข่าลง “ต้าหลี่ซื่อชิงเป็ผู้มีวิสัยทัศน์ ฝ่าาวันนี้เป็วันพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีฉินหรี่ตาลง เ้าเด็กคนนี้...
ทว่าหลี่ลั่วกลับไม่ได้มองเขา แต่มองไปทางจ้าวหนิงฮ่องเต้
กู้จวิ้นเฉินหันกลับมา เห็นผู้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นนั้นคือเด็กน้อย แผ่นหลังเหยียดตรง กู้จวิ้นเฉินไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลี่ลั่วจึงยื่นมือเข้าช่วยต้าหลี่ซื่อชิง หลี่ลั่วยังเล็กไม่เข้าใจเื่ขั้วอำนาจในราชสำนัก วันนี้ต้าหลี่ซื่อชิงเสียมารยาทนั้นเป็เื่จริง แต่ทว่าคนฝ่ายเสนาบดีฉินและคนอื่นๆ บีบให้เขาตกที่นั่งลำบากนั้นก็เป็เื่จริงเช่นกัน กู้จวิ้นเฉินไม่เข้าใจว่าเหตุไฉนเสนาบดีฉินและคนอื่นๆ จึงต้องทำให้ต้าหลี่ซื่อชิงตกที่นั่งลำบาก มีความเป็ไปได้เพียงเหตุผลเดียวก็คือ...เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ก่อฏเมื่อหกปีก่อน คิดมาถึงตรงนี้ กู้จวิ้นเฉินหรี่ตาลง ต้าหลี่ซื่อชิงสืบสวนอย่างลับๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อหกปีก่อนตลอดมา ระยะนี้ดูเหมือนจะมีความคืบหน้า ดังนั้นเวลานี้จึงถูกผู้อื่นทำให้ตกที่นั่งลำบากใช่หรือไม่?
พวกเขาอาจจะไม่ได้้าทำให้ต้าหลี่ซื่อชิงถึงตาย แต่พวกเขาขอเพียงมีโอกาสที่จะได้ลงโทษต้าหลี่ซื่อชิง แต่ทว่าเหตุไฉนจึง้าโอกาสเช่นนี้? กู้จวิ้นเฉินไม่กระจ่างแจ้งนัก
จ้าวหนิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองหลี่ลั่วอยู่เช่นเดียวกัน เด็กน้อยวัยเยาว์เพิ่งจะอายุห้าขวบ ยืนขึ้นมายังสูงไม่ถึงต้นขาของเขา แต่ทว่าสายตาของเขากลับแน่วแน่ตั้งใจยิ่ง แววตานั้นมีความตั้งใจอย่างที่จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่เคยทอดพระเนตรเห็นมาก่อน
“เสด็จอาพระราชสมภพ ขอให้สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” กู้จวิ้นเฉินคุกเข่าลง น้ำเสียงก้องกังวานนั้นสะท้อนไปถึงประสาทการได้ยินของทุกๆ คน
หลี่ลั่วหันไปมองกู้จวิ้นเฉินอย่างไม่อยากเชื่อ แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือศีรษะด้านหลังของกู้จวิ้นเฉิน ความรู้สึกอบอุ่นชนิดหนึ่งแผ่ซ่านเข้ามาในใจของเขา กู้จวิ้นเฉิน มักจะทำให้เขาซาบซึ้งเสมอ
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” ท่านข้าหลวงจวนว่าการรีบคุกเข่าลง เขาเป็ผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อกู้จวิ้นเฉิน
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมขุนนางเว่ยเหวินชิงคุกเข่าลง
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” จงกั๋วกงหลี่เฉินคุกเข่าลง
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เจ๋อคุกเข่าลง
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เหล่าไท่เหฺยคุกเข่าลง
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ฮุยคุกเข่าลง
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” ราชบุตรเขยเฉินคุกเข่าลง องค์หญิงฉางผิงเป็พระเชษฐภคินีแท้ๆ ของกู้จวิ้นเฉิน ราชบุตรเขยเฉินในยามปกตินั้นไม่เอาถ่านนัก ทว่ากลับกระจ่างแจ้งถึงจุดยืนของตนยิ่ง หากจะพูดถึงการแบ่งขั้วอำนาจในวังหลวงนั้นเขาย่อมถือเป็คนของกู้จวิ้นเฉิน
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” บิดาของราชบุตรเขยเฉิน หย่งอี้โหวคุกเข่าลง
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าหลินคุกเข่าลง เหล่าจงกั๋วกงฮูหยินและจงกั๋วกงฮูหยินคนปัจจุบันนั้นออกจากมาครอบครัวสกุลหลิน สกุลหลินและสกุลหลี่ ล้วนมีเกียรติอันเดียวกัน ยามนี้ หลี่ลั่วเป็ตัวแทนของครอบครัวสกุลหลี่
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางจากสกุลอวี๋คุกเข่าตามด้วย มารดาผู้ให้กำเนิดของกู้จวิ้นเฉินนั้นมาจากสกุลอวี๋ สกุลอวี๋และฉีอ๋องนั้นเป็เกียรติอันเดียวกันเช่นกัน
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” ฉุนหยางอ๋องคุกเข่าลง ท่านหญิงฉุนเหอและหลี่เจ๋อได้หมั้นหมายกันแล้ว ฉุนหยางอ๋องย่อมต้องยืนอยู่ข้างสกุลหลี่
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ฉือก็คุกเข่าลงเช่นกัน
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” หลี่โจวก็คุกเข่าลงเช่นกัน
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” จางเลี่ยนไป๋ก็คุกเข่าลงเช่นกัน
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” หยางเหล่าฮ่านหลินเองก็คุกเข่าลงเช่นเดียวกัน
คนในเรือนนั้น สองในสามส่วนได้คุกเข่าลง หนึ่งในสามส่วนเป็คนของหลี่ลั่ว แม้ว่าเขาจะเป็เพียงเด็กน้อยอายุห้าขวบ ทว่าจวนสกุลหลี่นั้นมีเกียรติอันเดียวกัน คนในสกุลหลี่ย่อมกระจ่างแจ้งแก่ใจดี หลี่เหล่าไท่เหฺยในยามปกติไม่ได้ใส่ใจเื่ในเรือน แต่เมื่อประสบกับเื่สำคัญเขาย่อมรู้ว่าควรทำเช่นใด เขาไม่ข้องเกี่ยวกับการดื่มสุราเมรัย หอคณิกา การพนัน ตัวบุคคลนั้นไม่มีข้อบกพร่องใดๆ หลี่ฮุยแม้จะเห็นแก่ตัวและคิดถึงผลประโยชน์มากไปสักหน่อย แต่เมื่ออยู่ในเวลาเช่นนี้ ความสามัคคีในครอบครัวย่อมสำคัญ หลี่ฉือและหลี่โจวต่างเป็คนไม่เอาถ่าน แต่เมื่อคนในครอบครัวล้วนคุกเข่าลง พวกเขาทั้งสองก็คุกเข่าด้วย จวนจงกั๋วกงและจวนจงหย่งโหวถือเป็ครอบครัวสกุลหลี่ ออกมาจากบิดาคนเดียวกัน ไฉนเลยจะเป็ข้อยกเว้น?
และอีกหนึ่งในสามส่วนนั้นเป็คนของฉีอ๋องกู้จวิ้นเฉิน แต่ละคนล้วนเป็ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก นี่เป็ครั้งแรกที่ขุนนางทั้งหลายได้ตระหนักและััได้อย่างลึกซึ้งว่าข้างหลังฉีอ๋องนั้นมีผู้สนับสนุนอยู่มากน้อยเพียงใด ครั้งนั้นไท่จื่อเยี่ยนได้เหลือคนข้างกายเอาไว้มากน้อยเท่าใดเพื่อปกป้องคุ้มครองบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา
ครอบครัวขุนนางสกุลเฉินที่ตกต่ำลงแต่ทว่ายังมีกำลังอำนาจอยู่ ครั้งนั้นเป็ถึงหนึ่งในขุนนางที่เริ่มก่อตั้งราชวงศ์
สกุลอวี๋ที่กุมอำนาจทางทหารเอาไว้ในมือย่อมไม่ต้องพูดถึง
ท่านข้าหลวงจวนว่าการผู้ดูแลความสงบสุขของเมืองหลวง
เสนาบดีกรมขุนนางผู้เป็ผู้ตรวจสอบขุนนางแห่งราชสำนัก
และยังมีขุนนางขั้นต่างๆ ท่านอื่นที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
ไม่ว่าจะเป็ขุนนางฝ่ายบุ๋นหรือฝ่ายบู๊ ล้วนเป็ขุนนางคนสำคัญซึ่งมีอำนาจมากมาย ในเวลานี้กู้จวิ้นเฉินได้หงายไพ่ในมือเขาออกมาอย่างง่ายดาย เพื่อสิ่งใดกันแน่? เพื่อปกป้องต้าหลี่ซื่อชิงเพียงคนเดียวกระนั้นหรือ?
ถูกต้องแล้ว ต้าหลี่ซื่อชิง เป็ผู้ที่ไท่จื่อเยี่ยนปลุกปั้นขึ้นมาในครั้งนั้นเช่นกัน
และเวลานี้ฉีอ๋องและสกุลหลี่ได้เชื่อมสัมพันธ์โดยการแต่งงาน การแต่งงานที่ดูแล้วน่าตลกขบขันในสายตาของผู้อื่น กลับทำให้เสนาบดีฉินเริ่มหวาดกลัวเสียแล้ว นี่เป็การแต่งงานเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของครอบครัวระดับขุนนางขั้นสูงสุดในเมืองหลวง และหากพวกเขาได้แต่งงานกัน ย่อมเป็ตัวแทนของครอบครัวระดับขุนนางขั้นสูงสุดของเมืองหลวง ครอบครัวขุนนางนั้นซับซ้อนยิ่งนัก ทว่าพวกเขากลับกระจ่างแจ้งในเื่การมีเกียรติและถูกดูิ่ร่วมกันได้ดียิ่งกว่าผู้ใด
เื่เหล่านี้ครอบครัวที่ยากจนนั้นไร้หนทางเปรียบเทียบได้
เสนาบดีฉินมาจากครอบครัวยากไร้ เื่ในวันนี้ดูเหมือนจะง่ายดาย ทว่ากลับเป็ครั้งแรกที่ครอบครัวยากไร้และครอบครัวขุนนางปะทะกันอย่างจริงๆ จังๆ เสนาบดีฉินมองกู้จวิ้นเฉินด้วยความเคียดแค้นชิงชัง คนผู้นี้ย่อมเป็ผู้ที่จะแย่งชิงบัลลังก์กับองค์ชายใหญ่ เป็อุปสรรคที่ร้ายกาจที่สุด
“ฝ่าาพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” เฉิงเอินโหวจากครอบครัวฝ่ายมารดาของฮองเฮาคุกเข่าลงเช่นกัน
“เสด็จพ่อพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสบายปลอดภัยตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่คุกเข่าลง
“เสด็จพ่อพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสบายปลอดภัยตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายรองคุกเข่าลง
“เสด็จพ่อพระราชสมภพ ขอพระองค์สุขสบายปลอดภัยตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายสามคุกเข่าลง
จากนั้นเสนาบดีฉินและคนอื่นๆ จึงค่อยๆ คุกเข่าลงทีละคน
“สุขสันต์ร่มเย็นตลอดไป ช่างเป็ความหมายที่ดีจริงๆ” ท่ามกลางการรอคอยอย่างระมัดระวังของทุกคน จ้าวหนิงฮ่องเต้ตรัสแล้ว “สติปัญญาของเด็กน้อยฉลาดล้ำเลิศ สามขวบเรียนพื้นฐาน ไม่เสียแรง...” จ้าวหนิงฮ่องเต้หยุดชะงัก อยากจะกล่าวว่า ไม่เสียแรงที่เป็บุตรชายของหลี่ซวี่ ทว่าจ้าวหนิงฮ่องเต้กลับทรงพระสรวลขึ้นเบาๆ ในทันใด พร้อมกับกล่าวว่า “ไม่เสียแรงที่เป็ว่าที่พระชายาฉีอ๋อง”
คำพูดประโยคนี้ ยากนักที่จะมีทั้งการหยอกล้อและอารมณ์ขัน ผู้ที่ได้ยินทั้งหมดจึงหัวเราะขึ้นมาด้วย
“พอแล้ว พอแล้ว ลุกขึ้นมาให้หมด” จ้าวหนิงฮ่องเต้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนี้วันเกิดเจิ้น เจิ้นเพียงยืมดอกไม้ไหว้พระ ถือโอกาสนี้เลี้ยงพวกเ้า”
“เฉินมิกล้า”
“ต้าไห่ ให้คนรินสุรา นำเหล้าที่จงหย่งโหวมอบให้เจิ้น ให้พวกเขาได้ลองชิมดูด้วย แต่ให้คนละหนึ่งแก้วเท่านั้น มากไปกว่านี้เจิ้นไม่ให้ ให้...ขุนนางั้แ่ขั้นสองขึ้นมาเถิด ขั้นสองลงไปให้ไปเอาจากจงหย่งโหวเอง” จ้าวหนิงฮ่องเต้กล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ” ไห่กงกงรีบให้คนรินสุราให้แก่ขุนนางั้แ่ขั้นสองขึ้นมา
สุราหนึ่งชั่งรินได้ห้าแก้ว หลี่ลั่วนำเหล้าองุ่นมาห้าสิบชั่ง เพียงพอแล้ว
สุราที่ฝ่าาพระราชทาน จะเป็เหล้าที่จงหย่งโหวมอบให้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ต่อให้เป็สุราพิษพวกเขาก็ต้องกล้ำกลืนฝืนดื่มลงไป ทว่าเหล้านี้ช่างหอมนัก เมื่อกลิ่นหอมในเหล้าองุ่นกำจายออกมา กลิ่นของมันแตกต่างจากเหล้าที่ทุกคนดื่มในยามปกติ กลิ่นและรสชาติของเหล้าชนิดนี้ไม่เคยปรากฏในยุคสมัยโบราณมาก่อน สุราที่เกิดจากการหมักผลไม้ นี่เป็วิธีการและเทคนิคของคนในยุคสมัยปัจจุบัน
เพียงแค่ได้กลิ่นและรสของมัน ก็มีผู้คนไม่น้อยเริ่มเมามายเสียแล้ว เมื่อสุราของขุนนางขั้นสองขึ้นไปได้รับการรินจนแล้วเสร็จ จ้าวหนิงฮ่องเต้จึงตรัสขึ้นว่า “ทุกคนชนแก้ว”
“ขอบพระทัยฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ”
เหล้าองุ่นตกถึงท้อง ขุนนางขั้นสองขึ้นไปดวงตาต่างเป็ประกาย เหล้าดีจริงๆ
“เสด็จพ่อ ของขวัญวันเกิดของเสด็จพ่อ ลูกได้เตรียมไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายใหญ่ในฐานะบุตรชายคนโต ตรัสขึ้นก่อน
“อ้อ? เอาออกมาให้เจิ้นชมซิ” งานฉลองวันพระราชสมภพอย่างใหญ่โตเป็ครั้งแรกของจ้าวหนิงฮ่องเต้ ของขวัญจากพระโอรสทุกพระองค์นั้นทุกคนต่างได้ชื่นชมด้วย อย่าว่าแต่จ้าวหนิงฮ่องเต้ผู้ซึ่งในยามปกติไม่ค่อยได้ใส่ใจในความสัมพันธ์พ่อลูกยังแปลกใจ แม้แต่ขุนนางทั้งหลายก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
องค์ชายใหญ่ปรบมือแปะๆ ขันทีจึงยกของขวัญของเขาเข้ามา
นี่คือ?
“ช่างเป็ไห่ตงชิง[1]ที่สง่างามยิ่งนัก ใช้เวลาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่น้อยใช่หรือไม่?” แม้นเป็จ้าวหนิงฮ่องเต้ซึ่งในยามปกติจะเป็คนใจเย็นหนักแน่น ทว่าเมื่อเห็นไห่ตงชิงตัวนี้แล้วก็ยังอดไม่ไหวที่จะกล่าวชมเชยออกมา ทว่าไม่ใช่ด้วยเหตุที่ไห่ตงชิงตัวนี้มีขนาดใหญ่เพียงใด แต่เป็เพราะสีสันของมัน ในบรรดานกเหยี่ยวศักดิ์สิทธิ์จำนวนหนึ่งแสนตัวจึงจะออกมาเป็ไห่ตงชิงหนึ่งตัว และไห่ตงชิงที่มีขนขาสีขาวบริสุทธิ์ตัวนี้ถือเป็ที่สุดของไห่ตงชิง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ว่าจะเป็กำลังทรัพย์และกำลังกาย...ล้วนทุ่มเทลงไปอย่างไม่ธรรมดาสามัญ
ย่อมไม่ใช่เวลาเพียงวันสองวันก็สามารถจัดเตรียมได้แล้วเสร็จ เมื่อดูกิริยาท่าทางของไห่ตงชิงที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว และเป็การฝึกฝนเสร็จแล้ว เช่นนั้นของขวัญชิ้นนี้ขององค์ชายใหญ่นั้นน่าจะได้เตรียมการมาเนิ่นนานแล้ว
ตลอดมาการแสดงสีหน้าและอารมณ์บนสีหน้าของจ้าวหนิงฮ่องเต้เดิมนั้นน้อยยิ่งนัก ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของเขาทำให้เขาดูเฉียบคมและเข้มงวด แม้กระทั่งบุตรชายของเขาก็ยังหวาดกลัวเขา มีเพียงกู้จวิ้นเฉินเพียงคนเดียวที่ไม่เกรงกลัวเขา ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย กู้จวิ้นเฉินมีอายุน้อยที่สุด ครั้งนั้นเมื่อไท่จื่อเยี่ยนยังอยู่เขายังเป็เพียงเด็กน้อย เด็กน้อยไม่เข้าใจสิ่งใดและไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด เมื่อเห็นรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากกายของจ้าวหนิงฮ่องเต้ ซ้ำยังเป็แม่ทัพใหญ่ ย่อมชมชอบอยู่หลายส่วน
ในครั้งนั้นจ้าวหนิงฮ่องเต้โดยเนื้อแท้แล้วมีนิสัยเงียบขรึมอย่างยิ่ง เมื่อบุตรชายของพี่ชายแท้ๆ ของตนชมชอบเขา ในใจของเขาย่อมชมชอบเช่นกัน ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างอาและหลานจึงแน่นแฟ้นดีมาโดยตลอด
ในใจของจ้าวหนิงฮ่องเต้นั้น เขาไม่เคยคิดว่าตนเองเป็ฮ่องเต้ ตำแหน่งฮ่องเต้นี้เขาเพียงแต่มานั่งแทนพี่ชายจนกว่าหลานชายจะมีกำลังกล้าแข็งเพียงพอก็เท่านั้น แน่นอนว่าความคิดในใจของจ้าวหนิงฮ่องเต้นั้นแทบจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ฉินกุ้ยเฟยนั้นเข้าใจผู้ชายคนนี้ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของเขาและไท่จื่อเยี่ยน แต่ก็ยังเข้าใจได้ไม่ลึกซึ้งมากพอ หากพวกเขาเข้าใจลึกซึ้งเพียงพอย่อมไม่มีวันปล่อยให้กู้จวิ้นเฉินมีโอกาสเจริญเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย และคงกระทำการเอาชีวิตเขาในทันที
ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าระหว่างหลานชายและบุตรชาย จ้าวหนิงฮ่องเต้จะทรงเลือกพิจารณาหลานชายก่อน
รับรู้ได้ถึงความชมชอบของจ้าวหนิงฮ่องเต้ องค์ชายใหญ่ยินดียิ่ง การจะเอาอกเอาใจเสด็จพ่อของเขาผู้นี้ไม่ใช่เื่ง่ายดายเลย “นี่เป็งานฉลองพระราชสมภพอย่างยิ่งใหญ่ครั้งแรกของเสด็จพ่อ ต่อให้ต้องทุ่มเทกำลังกายกำลังใจบ้าง ขอเพียงทำให้เสด็จพ่อยินดีได้ ลูกไม่ถือเป็ภาระอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
[1] ไห่ตงชิง (海东青) เป็สัตว์ทางสัญลักษณ์ที่สูงค่าที่สุดของชนเผ่าหม่าน (ชาวแมนจู) เหยี่ยวชนิดนี้ถือได้ว่าเป็นกที่บินได้สูงและเร็วที่สุดในโลก ตามตำนานนั้นกล่าวว่าในบรรดาเหยี่ยวหนึ่งแสนตัวจึงจะปรากฏ “ไห่ตงชิง” หนึ่งตัว ถือได้ว่าเป็เทพเ้าแห่งเหยี่ยว ไห่ตงชิงยังเป็ตัวแทนความเชื่อของการดำรงอยู่ที่ใกล้ชิดกับเทพเ้ามากที่สุดอีกด้วย เหยี่ยวชนิดนี้มีอยู่จริงและเป็เหยี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตัวที่ใหญ่ที่สุดอาจสูงได้ถึง 60 เิเเลยทีเดียว ในปัจจุบันชาวแมนจูยังคงสืบทอดวัฒนธรรมการเลี้ยงเหยี่ยวเพื่อเป็คู่หูในล่าสัตว์อยู่