“เผ่าเฉียงเต๋อไล่ปล้นสะดมแคว้นรอบนอก ตั้งกองโจรถึงแม่น้ำหยางจื่อ ทางต้าเหลียงส่งคนไปสังเกตการณ์สองวันที่แล้ว ตอนนี้แม่ทัพเฉินตั้งกองทัพอยู่รอบแคว้นเว่ย คอยต้านกลุ่มฏ พวกชนเผ่าเร่ร่อนไม่ให้รวมตัวกันได้ขอรับ...”
ตงฟางมาส่งรายงาน ขณะแม่ทัพใหญ่ออกคำสั่งตั้งแถวทหารพลหอกอย่างเข้มแข็ง
กองทัพต้าเจี้ยงจวินและแม่ทัพระดับรองลงไปสวมเกราะดำ การจำแนกกลุ่มทหารให้ดูจากสัญลักษณ์ของเหล่าทัพ ป้ายยศบอกหมู่เหล่าผู้บังคับบัญชา กองทัพต้าเจียงจวินมีตราปักด้วยด้ายแดงบนแขนเสื้อเป็รูปอสรพิษ
แม่ทัพเจี้ยนหยู่สวมชุดสีเงิน เอามือไพล่หลัง เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ สิบคนไปจนถึงอายุสามสิบอีกยี่สิบคนอย่างผ่อนปรน พักนี้อากาศแปรปรวน ลมหนาวทำให้ผู้คนสวมเสื้อผ้าที่หนาขึ้น
เป็วันดีของทหารหน้าใหม่ ว่ากันว่าแม่ทัพเฉินแม่ทัพหยางดุดันก้าวร้าวเท่าไร ก็ยังไม่เท่าแม่ทัพเจี้ยนหยู่ เขาเคี่ยวกรำทหารอย่างหนักหน่วงราวกับว่าจะฝึกกองทัพมาร วันใดที่ถูกเพ่งเล่งด้วยั์ตาสีชาด กลุ่มควันปีศาจพุ่งเข้ามาคว้าจับข้อมือ ทหารบ่นซ้ำซากว่ากล้ามเนื้อปวดระบม ลุกจากเตียงไม่ขึ้น คงได้นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ไปถึงรุ่งเช้า
แม่ทัพเจี้ยนหยู่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว กลิ่นสาบเหงืุ่์พาลให้หงุดหงิดหิวกระหาย จนบ่าวรับใช้บ้านสกุลหยางนำยาและอาหารมาส่ง ทหารคนสนิทรับของแล้วนำไปวางบนโต๊ะกลมในกระโจมแม่ทัพ
“แปลกจริง สาวใช้คนสนิทของคุณหนูไม่ถือตะกร้ายามา ทำไมนางจึงส่งพวกเ้ามาแทนเล่า?”
“คุณหนูรองนำยาไปให้เสนาบดีท่านหนึ่งขอรับ ประเดี๋ยวคุณหนูก็มา...”
“เช่นนั้นพวกเ้ารอจนกว่านางจะมา นางไม่มา ก็ไม่ต้องไป ยืนตรงนั้น” ปลายนิ้วชี้ไปทางมุมกระโจม บ่าวทั้งสามยืนขาสั่น กลอกตามองหน้ากัน หลังจากที่มองเห็นกรงเล็บทั้งห้าของแม่ทัพปีศาจเป็ครั้งแรก
“ตงฟาง เ้าไปส่งรายงานฮ่องเต้ ข้าจะตามไปพบเขาทีหลัง อื้ม... แต่ถ้าเขาอยากจะมาพบข้าก็มา...”
มีเพียงแม่ทัพเจี้ยนหยู่ที่พูดจากับโอรส์อย่างเป็กันเอง หลายวันก่อนฮ่องเต้เสด็จมาไถ่ถามอาการประหนึ่งสหายคนสนิท พระองค์ประทับนั่งบนฟูกในกระโจม ทรงบ่นแม่ทัพเจี้ยนหยู่เื่ล้มป่วย ทำไมไม่รีบแจ้งพระองค์เป็การส่วนตัว จะได้ให้เขาพักผ่อนจากงานรบ ส่งแม่ทัพคนอื่นไปทำงานแทน เื่สุขภาพร่างกายต้องมาเป็อันดับแรก
มู่หยางเห็นด้วยว่าการป้องกันเมืองครานี้ฮ่องเต้คงเสด็จมาด้วยพระองค์เองอีกรอบหนึ่ง แม้ไม่ทราบว่าเป็วันไหน ในเมื่อทหารเฝ้ายามไม่พบคนจากราชสำนักมาคอยสอดแนมประมาณสามวันแล้ว แม่ทัพเจี้ยนหยู่ก็งานรัดตัว หากไม่มีการฝึกทหาร เขาแทบจะไม่ก้าวขาออกจากกระโจม
“เรียนท่านแม่ทัพ หากท่านจะไปพบคุณหนูรอง ขออย่าได้เกรงใจ ตัวข้าไม่มีอะไรทำ เลิกงานแล้วก็ไปร่ำสุรา เข้าหอนางโลม ข้ายินดีสะสางการงานที่ตกค้าง…”
“ทำไมข้าต้องไปพบนาง?”
“ข้า... เอ้อ คิดว่าท่านและนาง...” ตงฟางอ้ำอึ้ง ไม่กล้าเอ่ยเื่สายตาของท่านแม่ทัพที่คอยมองหาคุณหนูเยว่ฉี ไหนจะทหารคนสนิทเปิดประตูไปพบเข้า สตรีที่กล้าซุกตัวนอนในอ้อมแขนแม่ทัพปีศาจจะเป็ใครกันเล่า
เจี้ยนหยู่เลิกเจรจากับทหาร หันไปซักไซ้บ่าวชาย “ทำไมคุณหนูเยว่ยังไม่มาอีก นางมีเหตุจำเป็จะต้องเดินทางไปบ้านเสนาบดีเจาด้วยตนเองหรือ?”
“าุโสกุลเจามีอาการชักขอรับ คุณชายกู่หย่งควบม้ามาขอพบคุณหนูั้แ่รุ่งสาง ท่านหมอหลวงไม่อยู่เรือนด้วย ทางราชสำนักขอให้ไปช่วยงานที่วังหลวง...” บ่าวรับใช้ชายหน้าซีดเจื่อน พูดจาตะกุกตะกัก เมื่อรอบกายแม่ทัพใหญ่เต็มไปด้วยรังสีเข่นฆ่า
“แพทย์หลวง?” เจี้ยนหยู่เลิกคิ้วขึ้น พูดกลั้วหัวเราะ “มีแค่บ้านนางรึไง ในต้าเหลียงเต็มไปด้วยโรงหมอโรงยา ผู้ช่วยบ้านสกุลหยางก็มีตั้งหลายคน เ้าหนุ่มน้อย บอกความจริงข้ามาตอนที่ข้ายังอารมณ์ดีจะดีกว่า คุณหนูของพวกเ้าไปอยู่ที่ไหน?”
บ่าวชายวัยสามสิบกลืนน้ำลายลงคอ อีกสองคนก้มหน้า คนหนึ่งในทางฝั่งขวาพูดเสียงสั่น “ดะ... เดือนนี้มีการสอบแข่งขันเข้าราชสำนัก ท่านหมอหลวงเป็ผู้คุมสอบคัดเลือกแพทย์หลวง แม้แต่ผู้มีความรู้เื่สมุนไพรลึกซึ้งอย่างคุณหนูเยว่ก็ได้รับจดหมายเทียบเชิญ ท่านหมอหลวงจึงขอให้บุตรสาวตามไปทีหลังเสร็จธุระบ้านสกุลเจาขอรับ”
“เมื่อเช้านี้นางสวมชุดอะไรไป?”
“ชุดขาวขอรับ”
“ข้ามาแล้ว ๆ!”
คุณหนูวิ่งตาเหลือกเข้ากระโจมมา สบเข้ากับั์ตาสีชาด แล้วจึงหันไปมองบ่าวรับใช้ผู้น่าสงสาร ชายหนุ่มทั้งสามคนท่าทางลนลาน
“คะ... คุณหนู เดินทางมาถึงเร็วขนาดนี้เลยหรือขอรับ!?”
“เ้าอยากโดนตีหรือว่าโดนหักเงินเดือน ข้าใจดีกับพวกเ้า ใช่ว่าจะมาตั้งคำถามข้า ไสหัวไปให้หมด!” นางตวาดเสียงดัง ไล่บ่าวรับใช้ที่วิ่งดีใจออกไป พวกเขาได้รับการช่วยชีวิตให้รอดพ้นเงื้อมมือปีศาจอย่างหวุดหวิด
แม่ทัพเจี้ยนหยู่ก้มมองสีหน้าไร้เดียงสาของนาง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เ้าไปช่วยงานในวังหลวงมาหรือ?”
“เ้าค่ะ”
“ข้าเตือนเ้าครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดวันดีคืนดีมีคุณชายผู้ร่ำรวยในราชสำนัก หวังตำแหน่งลูกเขยท่านหมอหลวง ขอพระทานสมรสเ้าจะว่ายังไง เ้าได้พบองค์รัชทายาทหรือไม่ เ้าพบใครมาบ้าง ทำไมเ้าต้องไปช่วยงานในวังหลวง?”
“ตราบใดที่มีแม่ทัพเจี้ยนหยู่ หาได้มีชายใดในต้าเหลียงไม่ ที่จะกล้ายุ่งกับข้า”
“ไม่ยุ่ง... ไม่มี... แต่เสนอหน้ามาทุกวัน เช้าคนเย็นคน! เ้าไปไหนมีแต่คนมองเ้า ชื่อเสียงเ้าดังกระฉ่อน วัน ๆ ข้าได้ยินอะไรบ้าง เ้าไม่เคยรู้ ข้าล่ะอยากตัดหูตัวเองทิ้งจริง ๆ แล้วคุณชายนั่น... อย่าบอกนะว่าเ้านั่งม้าไปกับเขาั้แ่รุ่งสาง?”
“ข้าผิดไปแล้ว ๆ ตัวข้าเป็สตรีมีเ้าของ ร่างกายข้ามิใช่เพียงของข้าอีกต่อไป เป็หญิงงามควรอยู่แต่ในเรือน ข้าสำนึกผิดแล้วเ้าค่ะ!” นางนึกขึ้นได้เื่คุณชายกู่หย่ง พลันคุกเข่าลงเบื้องหน้าแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพเจี้ยนหยู่เบิกตากว้าง หน้าตาตื่นตระหนก
“ไหนเ้าว่า... ไม่ถือเื่พรรค์นั้น”
“ข้าจะไม่กดดันแม่ทัพเจี้ยนเื่แต่งงาน เพียงแต่...” นางเงียบไป เงยหน้าขึ้นพูดจาคาดคั้นเขาด้วยแววตาอ่อนหวาน “ข้าพึงใจแม่ทัพอสรพิษของข้าผู้เดียว ข้าเจรจาเื่นี้กับาุโให้เข้าใจตรงกันแล้ว ใต้เท้าอย่าหึงหวงข้านักเลยเ้าค่ะ อย่างไรข้าก็เป็คนของบ้านเมือง เป็หมอยาฝีมือเก่งฉกาจ ไม่สามารถปฏิเสธคนไข้...”
“ข้า... ไม่...” เจี้ยนหยู่ลอบกลืนน้ำลายลงคอ ในอกซ้ายเ็ปประหลาด เมื่อไม่สามารถปฏิเสธว่าเขาหวงนางเจียนคลั่ง! เขาบอกนางให้ลุกขึ้น อย่าคุกเข่า นางกัดริมฝีปากตนเองแล้วลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าผิดหวัง
“ท่านไม่เชื่อใจข้า...” จากนั้นนางตรงไปหยิบอาวุธบนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ จับกุมข้อมือหนา ดึงรั้งท่านแม่ทัพออกจากกระโจม นางคุกเข่าลงอีกครั้งหนึ่ง ผายมือทั้งสองข้างออกเหนือศีรษะ ในฝ่ามือน้อยมีแส้ที่ใช้ลงโทษทหารหัวแข็ง
“วันนี้ฟ้าดินเป็พยาน ความรักใคร่เอ็นดูของท่านแม่ทัพจะทำให้ข้ามีสติปัญญาที่ดี ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ได้โปรดเฆี่ยนตีข้า ลงโทษข้าด้วยแส้แห่งรักของท่านเถิด!”
แส้แห่งรัก!
“นี่เ้า...” เจี้ยนหยู่ถลึงตามองหญิงเสียสติ บังอาจท้าทายแม่ทัพใหญ่ถึงถิ่นฐานกองทัพ นางก้มศีรษะขอร้องการรับโทษทัณฑ์
ถ้าหากว่าเขาไม่ตีนางวันนี้จะต้องเสียหน้ากองพลทหาร แต่ถ้าหากว่าเขาตีนาง หมายความว่านี่เป็แส้แห่งความรักอะไรของนางน่ะหรือ!?
น่าอายนัก!