เวลาครึ่งปีผ่านไปในชั่วพริบตา
ในครึ่งปีมานี้ จางอี้เหวินได้สร้างกระท่อมไม้ไว้หลังหนึ่งด้านข้างที่พำนักของฉินอวี่ นอกจากการออกไปรับทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกตนแล้ว จางอี้เหวินก็แทบจะอยู่ที่นี่ตลอดเวลา
นี่นับเป็การรักษาสัญญาที่ให้ไว้
ในวันนี้ จางอี้เหวินลืมตาขึ้นจากการฝึกฝน และรู้สึกได้ว่าการฝึกฝนของเขายังไม่ก้าวหน้านัก จึงเริ่มรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะนับั้แ่เขาได้เข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่หนึ่งเมื่อสองปีก่อน ระดับการฝึกฝนของเขาก็แทบจะไม่พัฒนาขึ้นเลย
เดิมแล้ว จางอี้เหวินตั้งใจไว้ว่าหลังจากได้เป็ผู้ดูแลหอตำรา เขาจะค้นหาวิธีการสร้างความก้าวหน้าจากในหอตำรา แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะเกิดเื่ที่กลับตาลปัตรขึ้นมา จนต้องกลายมาเป็บริวารของฉินอวี่
เมื่อนึกถึงเด็กบริวาร จางอี้เหวินก็รู้สึกอึดอัด แต่เพราะเขาเป็คนให้ความสำคัญกับหน้าตาเป็พิเศษ จึงไม่้าจะเสียหน้า ในใจของเขาได้แต่คอยอธิษฐานให้ฉินอวี่ตายโดยเร็ววัน จะได้สลัดตัวเองจากการเป็เด็กบริวารของฉินอวี่
หลังจากครุ่นคิดอยู่กับเื่ไร้สาระ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางห้องที่พำนักของฉินอวี่ และเมื่อเขาเห็นกระแสวังวนของพลังิญญาอยู่เหนือที่พำนัก จางอี้เหวินก็ใทันที “นี่ก็ครึ่งปีมาแล้ว เ้าคนใกล้ตายนั่นกำลังฝึกกลวิชาอะไรอยู่กันแน่?”
เมื่อครึ่งปีก่อน หลังจากเขากลับมาจากการสืบข่าวจ้าวเจิ้นหย่วน เขาก็เห็นวังวนพลังเช่นนี้ปกคลุมอยู่เหนือที่พำนักของฉินอวี่แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าผ่านมาเป็เวลาครึ่งปีแล้ว แต่วังวนของพลังิญญาจะยังคงอยู่เช่นเดิม
“วิชาที่คนผู้นี้ใช้ฝึกฝน คงเป็กลวิชาที่... ไม่ธรรมดาแน่นอน และน่าจะช่วยให้เข้าถึงขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สองได้ แต่น่าเสียดายที่ข้ากับคนผู้นี้มีความขัดแย้งกัน จึงกลัวว่าเขาคงไม่ยกวิชานี้ให้เขาฝึกได้โดยง่ายเป็แน่”
“หากจะบอกว่าไม่ได้จุดตะเกียงกรรม จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสามปี เขาก็มีเวลาไม่ถึงสองปีแล้ว หากใน่เวลานี้ ข้ายอมดูแลเขาอย่างสุดกำลัง ก็ไม่รู้ว่าเ้าคนใกล้ตายผู้นี้จะยอมมอบกลวิชาให้ข้าหรือไม่?” จางอี้เหวินครุ่นคิด
“ช่างเถอะ เพื่อกลวิชาชนิดนี้ข้าต้องอดทนสักหน่อย อย่างไรก็แค่ไม่ถึงสองปี...” จางอี้เหวินกัดฟัน
ขณะที่จางอี้เหวินกำลังจินตนาการว่าจะเป็เช่นไรหากตนเองได้กลวิชานี้ กระแสวังวนของพลังิญญาก็หายไปทันที จางอี้เหวินจึงมองไปทางที่พำนักของฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจ
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ประตูก็เปิดออก ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็เดินขมวดคิ้วออกมาจากห้อง
เมื่อจางอี้เหวินััได้ถึงระดับการฝึกฝนของฉินอวี่ เขาก็ไม่อาจละสายตาจากฉินอวี่ได้เลย
“ขั้นปราณเสถียรระดับปลาย? เป็ไปได้อย่างไร?” จางอี้เหวินใจนอ้าปากค้าง เขาจำได้ว่าเมื่อครึ่งปีก่อน ฉินอวี่อยู่เพียงขั้นปราณเสถียรระดับต้น แต่ผ่านไปเพียงครึ่งปี เขากลับก้าวข้ามขั้นปราณเสถียรระดับปลาย เข้าสู่ขั้นปราณเสถียรระดับปลายได้โดยตรง
ระดับความเร็วเช่นนี้... ช่างน่าใยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม จางอี้เหวินเองใช้เวลาถึงสองปีในการยกระดับของตนเองจากขั้นปราณเสถียรระดับต้นเข้าสู่ขั้นปราณเสถียรระดับกลาง
“จะต้องเป็เพราะกลวิชานั้นอย่างแน่นอน! ต้องมีสาเหตุมาจากกลวิชานั้นแน่นอน จึงทำให้เขาก้าวเข้าสู่ขั้นปราณเสถียรระดับปลายได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียงครึ่งปี!”
“ข้าจะต้อง... เอากลวิชานั้นมาให้ได้ ช้าก่อน ข้าไม่ควรแสดงออกมากเกินไป ไม่เช่นนั้นทุกอย่างอาจกลับกันได้” จางอี้เหวินครุ่นคิดอยู่ในใจ และละสายตาจากฉินอวี่
เมื่อฉินอวี่เดินออกมาจากห้อง เขาก็เหลือบมองจางอี้เหวินที่สร้างบ้านไม้เอาไว้ข้างๆ จากนั้นก็ก้าวเท้าออกไป
เมื่อจางอี้เหวินที่เจตนาละสายตากลับมารู้สึกได้ว่าฉินอวี่กำลังเดินมา เขาก็ผงะไปครู่หนึ่ง เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อฉินอวี่ออกจากการบำเพ็ญก็อาจจะเข้ามาทักทายตนเอง แต่กลับนึกไม่ถึงว่าฉินอวี่จะทำเป็มองไม่เห็น สิ่งนี้ทำให้จางอี้เหวินรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจ แต่เมื่อนึกถึงกลวิชานั้นแล้ว เขาก็รีบระงับความโกรธไว้ และพูดออกไปทันที “ช้าก่อน ศิษย์น้องฉิน!”
ฉินอวี่หยุดลงเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างเฉยเมย “มีอะไรหรือ?”
“เ้า... เ้าให้ข้าไปสืบเื่จ้าวเจิ้นหย่วนมาไม่ใช่หรือ?” จางอี้เหวินกล่าว
ฉินอวี่ได้ยินคำพูดนั้นเขาก็ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า หากจ้าวเจิ้นหย่วนคิดจะทำอะไร คงลงมือทำไปนานแล้ว คงไม่รีรอจนถึงตอนนี้ อีกอย่าง จางอี้เหวินไปสืบเื่ราวมาเมื่อกว่าหกเดือนก่อน ตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไร?
จางอี้เหวินตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าฉินอวี่จะไม่สนใจฟังเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะรู้สึกรำคาญใจ แต่จางอี้เหวินก็ไม่กล้าระบายมันออกมาในตอนนี้ หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จางอี้เหวินวิ่งเหยาะๆ ไปทางฉินอวี่
“เฮ้ เ้าหมายความว่าอย่างไร?” จางอี้เหวินแสร้งทำเป็โกรธและเดินตามไปก่อนจะะโเสียงดัง
ฉินอวี่หยุดนิ่ง หันมาจ้องจางอี้เหวินอย่างเ็า “จดจำสถานะของเ้าตอนนี้ไว้ด้วย!” พูดจบ ฉินอวี่ก็เดินไปข้างหน้าต่อไป
สีหน้าของจางอี้เหวินเริ่มพูดได้ยาก หน้าอกของเขาแทบจะะเิออกมาด้วยความโกรธ คนใกล้ตายคนนี้ถือว่าตนเองเป็สมุนบริวารของเขาจริงหรือ?”
ช่างมัน หากไม่อดทนเื่เล็กน้อยอาจเสียการใหญ่! หลังจากดิ้นรนในใจอยู่นาน จางอี้เหวินก็เดินตามฉินอวี่ไปอย่างเงียบๆ
ฉินอวี่ไม่ได้สนใจหันกลับมามองจางอี้เหวิน เพราะในใจของเขายังคงหมกมุ่นอยู่กับเื่การฝึกฝนในครั้งนี้
่เวลาครึ่งปี เขาใช้เวลาหกเดือนเต็มเพื่อข้ามจากขั้นปราณเสถียรระดับต้นเข้าสู่ขั้นปราณเสถียรระดับปลาย ซึ่งหากมองในมุมของจางอี้เหวินก็อาจจะดูรวดเร็วอย่างยิ่ง แต่ฉินอวี่กลับยังไม่พอใจ กว่าจะสามารถเข้าถึงขั้นปราณเสถียรระดับปลายได้ ครั้งนี้ต้องใช้ศิลาิญญาไปเกือบจะทั้งหมด ซึ่งนี่แตกต่างไปจากสิ่งที่เขาจินตนาการเอาไว้อย่างยิ่ง
ฉินอวี่คิดไว้ว่าตนเองน่าจะสามารถพัฒนาระดับการฝึกฝนของตนเองขึ้นไปได้ในระยะเวลาเพียงห้าเดือน ตอนนี้กลับมากกว่าที่คิดไว้อยู่หนึ่งเดือน มันจึงกระทบต่อแผนการที่เขาวางไว้ เดิมที่เขาตั้งใจว่าจะใช้เวลาเพียงห้าเดือนเพื่อเข้าสู่ขั้นปราณเสถียรระดับปลาย และจะใช้อีกหนึ่งเดือนสำหรับการสร้างความมั่นคงให้กับพลัง ในตอนนี้ เมื่อมากขึ้นมาหนึ่งเดือน เขาจึงคาดการณ์ได้ทันทีว่าเวลาเบื้องหน้ายิ่งบีบคั้นมากยิ่งขึ้น
อาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ภายในระยะเวลาครึ่งปี ฉินอวี่ไม่เพียงจะปรับเสถียรภาพของการฝึกฝนให้มีความเสถียร แต่เขายัง้าก้าวสู่ขั้นเทียนชุ่ย ซึ่งนี่นับเป็ความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของฉินอวี่
ในแต่ละระดับขั้นนั้นไม่เพียงแต่จะต้องมีการพัฒนาก้าวผ่านอุปสรรคไปเท่านั้น แต่ยังต้องมีความเสถียรร่วมด้วย ไม่เช่นนั้นจะทำให้การฝึกฝนในอนาคตไม่ราบรื่นได้
เป็เพราะเหตุผลเื่เวลา ฉินอวี่จึงตั้งใจว่าจะใช้เวลาหนึ่งเดือนในการสร้างเสถียรภาพของพลังให้มั่นคง และใช้เวลาอีกห้าเดือนในการก้าวเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ย และหากจะทำเช่นนี้ได้เขาจำเป็ต้องอาศัยการใช้โอสถ
เขาระงับความคิดทุกอย่างเอาไว้ และรู้สึกได้ว่าจางอี้เหวินกำลังเดินตามหลังมาอย่างเงียบๆ ฉินอวี่ก็รู้สึกแปลกใจ ว่าเหตุใดจางอี้เหวินจึงกลายเป็คนว่าง่ายและรักษาสัญญาเช่นนี้ไปได้? ฉินอวี่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “เ้ามีแต้มสนับสนุนอยู่เท่าไร?”
ขณะที่จางอี้เหวินที่กำลังก้มหน้าหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ที่น่าอับอายในตอนนี้อยู่ ได้ยินคำพูดของฉินอวี่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาก็ใทันที และเริ่มลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันพูดออกไป “ข้ามีอยู่ทั้งหมดสามสิบห้าแต้ม เ้า้ากี่แต้ม?”
ฉินอวี่เหลือบมองจางอี้เหวินด้วยความแปลกใจ และพยักหน้าเบาๆ
จางอี้เหวินรู้สึกยินดี จึงกล่าวออกไป “ข้าให้เ้ายืมได้นิดหน่อย”
สายตาของฉินอวี่ดูแปลกใจเป็อย่างยิ่ง จางอี้เหวินผู้นี้ เหตุใดจึงรู้สึกว่าเหมือนว่าคนผู้นี้เปลี่ยนไป?
เมื่อถูกฉินอวี่จ้องมองเช่นนี้ จางอี้เหวินก็เหมือนยิ้มอย่างเก้อเขิน และพูดขึ้น “ข้าให้เ้ายืมได้ แต่เมื่อถึงเวลาคืนเ้าต้องคืนมากกว่าที่ข้าให้ยืมไป ว่าอย่างไร?”
อย่างนี้นี่เอง ฉินอวี่แอบพูดในใจ เขาก็คิดไว้แล้วต้องมีอะไรสักอย่าง จางอี้เหวินถึงยอมให้เขายืมได้ง่ายดายเช่นนี้
“เ้าจะซื้ออะไรหรือ?” จางอี้เหวินเหลือบมองฉินอวี่ และแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ในใจ โชคดีว่าตนเองตอบโต้กลับได้รวดเร็ว
“โอสถ”
“โอสถ? เ้าจะเอาโอสถไปทำอะไร?” จางอี้เหวินยังรู้สึกไม่เข้าใจ กลวิชาของฉินอวี่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ยัง้าโอสถอีกหรือ?
“ข้า้าจะเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยในเวลาครึ่งปี” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย
จางอี้เหวินตกตะลึงอย่างมาก ขั้นเทียนชุ่ย? หรือเ้าคนใกล้ตายนี่ ้าจะยกระดับฝึกฝนจากขั้นปราณเสถียรระดับต้นไปถึงขั้นเทียนชุ่ยให้ได้ภายในหนึ่งปี? นี่จะบ้าหรืออย่างไร? ต่อให้ใช้โอสถช่วยก็ยากนักที่จะทำได้
ช้าก่อน
หัวใจของฉินอวี่เริ่มเต้นไม่เป็จังหวะ
เขาจะก้าวสู่ขั้นเทียนชุ่ยเพื่ออะไรกัน? หรือ... เขา้าไปแดนขัดเกลา?
เมื่อคิดถึงเื่นี้ จางอี้เหวินก็ยิ่งเบิกบานใจ ความคิดของเขาโลดแล่นอย่างรวดเร็ว หากเป็ไปตามที่คิดไว้ อย่างมากที่สุดคนผู้นี้ก็คงมีชีวิตอยู่ได้หนึ่งปีกับเก้าเดือน หากใน่เวลานี้เขาเข้าไปแดนขัดเกลา เช่นนั้น เขาจะต้องตายอยู่ในแดนขัดเกลาแน่นอน และหากตนเองได้ติดตามเขาเข้าไป ก็จะมีโอกาส “ยืดอกขึ้นสู้อย่างห้าวหาญ” ช่วยเขาใน่เวลาวิกฤติ เมื่อเป็เช่นนี้เขาก็จะเกิดความประทับใจ และยอมมอบกลวิชาให้กับตนเองแต่โดยดี
อย่างไรก็ตามกลวิชาเป็สิ่งที่ไม่ได้ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ก็มิอาจนำติดตัวไปหลังความตายเช่นกัน ขอเพียงตนเองประพฤติตัวดีเข้าไว้ เขาจะมอบกลวิชาให้กับตนเองอย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงเื่นี้ จางอี้เหวินก็รู้สึกร่าเริงจนอยากจะกรีดร้องออกมา
“เ้ารู้จักแดนขัดเกลาดีแค่ไหน?” ฉินอวี่ถามอีกครั้ง
หัวใจของจางอี้เหวินเต้นรัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และแอบคิดในใจ “ไม่ได้ จะอธิบายให้น่ากลัวเกินไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้น หากเขาไม่ไปขึ้นมาจะทำอย่างไร? ไม่สิ หากเขาไปสอบถามจากคนอื่น เขาจะไม่รู้สึกได้หรือ?”
จากนั้น จางอี้เหวินแสร้งทำเป็ครุ่นคิด “แดนขัดเกลาเป็สถานที่ฝึกฝนของศิษย์ขั้นเทียนชุ่ย ตั้งอยู่ในแดนแสนภูผา ได้ยินมาว่า ด้านในมีอสูรร้ายและอสูริญญาอยู่เป็จำนวนมาก เป็สถานที่ยอดเยี่ยมในการฝึกหาประสบการณ์ และยังได้ยินมาว่า ความแข็งแกร่งของคนที่ผ่านจากที่นั่นออกมาล้วนเปลี่ยนแปลงไปทุกคน หรือว่าเ้า้าไปแดนขัดเกลา?”
“นอกจากแดนขัดเกลาแล้ว ในสำนักยังมีที่ไหนที่เหมาะให้ข้าได้ฝึกฝนอีกบ้าง?” ฉินอวี่ถาม
“มีสิ หอคอยว่านจ้ง เป็สถานที่ซึ่งเหมาะกับการฝึกฝนของศิษย์ทุกคนที่อยู่ระดับต่ำกว่าระดับเขตแดนเต๋า ข้าเองก็เข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยที่นั่น ว่าแต่ เ้าตั้งใจจะเข้าไปในแดนขัดเกลาในอีกครึ่งปีหรือ?” จางอี้เหวินถาม
จางอี้เหวินมองไปทางฉินอวี่อย่างจริงจัง หลังจากรออยู่นาน ฉินอวี่กลับไม่ตอบอะไร สิ่งนี้ยิ่งทำให้จางอี้เหวินกระสับกระส่าย เ้ารีบตอบมาสิ?
จนกระทั่งฉินอวี่มาถึงหอร้อยสมบัติ เขาก็ยังไม่ตอบคำถาม ทำให้จางอี้เหวินรู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอ เหมือนมีมดนับหมื่นกำลังไต่อยู่ในหัวใจ
“ข้าขอแลกเป็โอสถหลอมปราณหนึ่งเม็ด” ฉินอวี่หยุดยืนอยู่หน้าประตู และพูดกับจางอี้เหวิน
จางอี้เหวินไม่พูดมากความ และเดินตรงเข้าไปในหอร้อยสมบัติทันที
ฉินอวี่มองจางอี้เหวิน จางอี้เหวินผู้นี้ว่านอนสอนง่ายั้แ่เมื่อใด? หากพูดตามเหตุผลแล้ว เมื่อต้องเป็สมุนบริวารของผู้ใด จะต้องมีความไม่พอใจบ้างจึงจะถูกต้อง แต่ตอนนี้เขากลับยินดีรับสถานะในตอนนี้ หรือจะเป็ไปได้หรือไม่ว่า... ตนเองมองเขาผิดไป?
ช่างเถอะ กาลเวลาพิสูจน์คน ลองดูไปอีกสักหน่อยค่อยพูดดีกว่า
มีศิษย์จำนวนมากเดินจับกลุ่มกันสองสามคนเข้าออกหอร้อยสมบัติอย่างต่อเนื่อง
“ได้ยินมาบ้างหรือยัง? อัจฉริยะอันดับหนึ่งของสายชีพจรดินต้องตายอยู่ในแดนขัดเกลาแล้ว ได้ยินมาว่าเขาแอบบุกเข้าไปในเขตต้องห้ามของแดนขัดเกลา”
“บุกเข้าไปเขตต้องห้ามไม่ตายก็แปลกแล้ว อย่าว่าแต่สายชีพจรดินเลย ต่อให้เป็อัจฉริยะของสายชีพจรฟ้าก็อาจต้องตายเหมือนกัน”
“ก่อนการคัดเลือกศิษย์ ทุกคนต่าง้าเข้าไปแดนขัดเกลาเพื่อยกระดับการฝึกฝนของตนเอง แต่เป็เพราะคนที่เข้าออกแดนขัดเกลามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วทั้งเมืองจึงคึกคักยิ่งนัก ได้ยินมาว่า โอสถและอาวุธิญญาป้องกันระดับสามขึ้นไปมีราคาสูงขึ้นเป็เท่าตัวอย่างรวดเร็ว แม้ในหอร้อยสมบัติเองก็ยังมีของไม่เพียงพอต่อความ้า”
“เคยได้ยินเื่หอตำราซั่งกู่หรือไม่? ที่นั่นรวบรวมพลังเวทอันวิเศษของผู้แข็งแกร่งสำนักยุทธ์ว่านจ้งทุกยุคสมัยเอาไว้ มีเพียงผู้อยู่ในสิบอันดับแรกเท่านั้นจึงจะได้เข้าไป หากโชคดี ก็อาจจะได้พลังเวทกลับออกมาก็เป็ได้...”
“หอตำราซั่งกู่ข้าไม่เคยคาดหวังเลยล่ะ สามารถเข้าเป็ร้อยอันดับแรก เพื่อเป็ศิษย์ของสายชีพจรฟ้า เท่านี้ก็เพียงพอแล้วล่ะ”
“ยังจะพูดถึงสายชีพจรฟ้าอีก ในร้อยอันดับของรายชื่อศิษย์อัจฉริยะส่วนใหญ่เป็ของสายชีพจรฟ้าทั้งสิ้น หากต้องติดอันดับในร้อยอันดับ ข้าขอแค่ติดหนึ่งในสามร้อยรายชื่อ ให้ได้อยู่ในสายชีพจรดินก็พอใจมากแล้วล่ะ”
เมื่อฉินอวี่ได้ยินการพูดคุยกันของศิษย์เ่าั้ เขาก็นิ่งไปทันที พละกำลังของศิษย์รุ่นห้าในสายชีพจรฟ้าเหนือกว่าที่จินตนาการไว้ยิ่งนัก หากไม่สามารถเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สองได้ ฉินอวี่ก็คงไม่สามารถเข้าเป็ศิษย์สิบอันดับแรกได้!
“เอ่อ... ศิษย์น้องฉิน หอร้อยตำราไม่มีโอสถหลอมปราณเหลือแล้ว” ในตอนนี้ จางอี้เหวินรีบวิ่งกลับมา และพูดอย่างร้อนใจ
จางอี้เหวินเป็กังวลอย่างมาก หากไม่มีโอสถหลอมปราณ ก็เป็เื่ยากที่ฉินอวี่จะเข้าถึงขั้นเทียนชุ่ย และหากเป็เช่นนี้ เขาก็ไม่สามารถไปแดนขัดเกลาได้แล้วใช่หรือไม่? แล้วตนเองจะเอ่ยปากขอกลวิชาจากเขาได้อย่างไร?
ฉินอวี่เหลือบมองจางอี้เหวินที่กำลังเป็กังวล เมื่อไม่มีโอสถหลอมปราณ แล้วเหตุใดจางอี้เหวินจึงดูเป็กังวลยิ่งกว่าตนเอง?
“อยากจะให้ข้าตายในแดนขัดเกลาสินะ? จึงได้ดูร้อนใจเช่นนี้” ฉินอวี่พึมพำในใจ นับั้แ่ที่จางอี้เหวินคิดจะทำลายเจตนาของฉู่เยว่ฉาน เขาก็ยิ่งดูออกว่าคนผู้มีเจตนาแอบแฝง และมีจิตใจหยาบช้า หากให้เขาได้ฝึกตนมีวิชา จะต้องเป็บุคคลอันตรายที่ไม่ต่างไปจากจื่อซวินเอ๋อเลยทีเดียว
ดูเหมือนเขาจะรู้สึกได้ถึงความแปลกใจของฉินอวี่ หัวใจของจางอี้เหวินจึงเต้นไม่เป็จังหวะ คนใกล้ตายคนนี้คงจะไม่ได้เห็นเบาะแสอะไรในใจของเขาใช่หรือไม่?
“นำทางไป ข้าจะลองไปดูในตลาด!” ฉินอวี่พูดอย่างเรียบเฉย เขากลัวจะมีใครบางคนฉวยโอกาสนี้ ทำการกว้านซื้อโอสถหลอมปราณจากหอร้อยสมบัติ และนำไปเพิ่มราคานั่งขายอยู่ภายนอก
