ซูชิงเฟิงรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังขึ้นมาทันที
เมื่อเขาหันกลับไปมองจวินเชียนโม่ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังแสดงสีหน้าแปลกๆ ทำให้เขาพลันรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง
ซูชิงเฟิงคิดในใจ ‘เ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไรอีกนะ เอาแต่วิ่งไล่ตามตนเองตลอด ทำตามอำเภอใจ ตอนนี้ยังมาแสดงออกว่ากำลังถูกเขากลั่นแกล้งเช่นนี้อีก คิดจะทำอะไรกันแน่?’
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จวินเชียนโม่จะเอ่ยปาก “ให้เรียกศิษย์พี่อะไรล่ะ เราสนิทกันขนาดนี้แล้ว อีกอย่างข้าถูกท่านอาจารย์ขับไล่ออกจากสำนัก ดังนั้น พวกเราไม่ได้เป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องกันแล้วนะ”
“เ้ายังกล้าพูดอีกหรือ สาเหตุที่โดนท่านอาจารย์ไล่ออกจากสำนัก เ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ ไม่รู้จักเคารพอาจารย์ ไม่รู้จักเกรงใจผู้อื่น ไม่รู้จักปรับตัว”
“นั่น...เ้าไม่รู้หรอกหรือว่าเหตุใดข้าถึงไปเข้าร่วมสำนัก? หากไม่ใช่เพราะเ้า…”
“หุบปากเดี๋ยวนี้” ซูชิงเฟิงเอ่ยตัดบทโดยพลัน
ซูชิงเฟิงจ้องจวินเชียนโม่เขม็ง ก่อนที่เขาจะยืนขึ้นแล้วถวายความเคารพอวี้ฉู่จาว “ท่านอ๋อง หากไม่มีอะไรแล้วกระหม่อมขอกลับไปโรงยาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” กล่าวจบ ซูชิงเฟิงก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปอย่างไม่รีรอ
จวินเชียนโม่จึงรีบติดตาม “ชิงเฟิง ชิงเฟิง ศิษย์พี่”
หลินหร่านมีสีหน้าสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อวี้ฉู่จาวกลับมองว่าสิ่งนี้น่าสนใจ
เขาคิดว่าในชาตินี้ ซูชิงเฟิงควรจะให้คำตอบกับใครบางคนได้แล้ว
ชาติก่อนจวินเชียนโม่ทุ่มเทชีวิตให้กับซูชิงเฟิงมาเสมอ ทุกครั้งที่ตกอยู่ในอันตรายอีกฝ่ายมักจะโผล่ออกมาช่วยเหลือ หากไม่ใช่เพราะอวี้ฉู่จาว ซูชิงเฟิงก็คง…
หลินหร่านเงยหน้ามองอวี้ฉู่จาวที่กำลังยิ้ม อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ท่านอ๋องยิ้มทำไมหรือ”
อวี้ฉู่จาวยังคงยกยิ้มพลางพาหลินหร่านกลับไปด้านหลังของตำหนัก เขาเดินไปพร้อมตอบ “อวิ๋นซี เ้าคิดว่าจวินเชียนโม่กับซูชิงเฟิงเหมาะสมกันหรือไม่?”
“เหมาะสมหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลินหร่านรู้สึกงุนงงหนัก
‘เหตุใดท่านอ๋องจึงได้เอ่ยถามเช่นนี้นะ’ แต่เขาก็ครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนตอบกลับ “อืม ขอเพียงทั้งคู่จริงใจต่อกัน ก็ถือว่าเหมาะสมกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลินหร่านให้ความสำคัญกับความรู้สึกของคนสองคนเป็หลัก
“อืม อวิ๋นซีเอ่ยได้ถูกต้องยิ่งนัก”
.........
อีกด้านหนึ่ง หลังออกมาจากตำหนักเทพเ้าแห่งา
ซูชิงเฟิงกับจวินเชียนโม่เดินทะเลาะกันมาตลอดทาง จนกระทั่งทั้งสองคนมาถึงโรงยาที่อยู่ในป่าไม่ไกลออกไปเท่าไรนัก
“ชิงเฟิง ชิงเฟิง ที่ข้ามาเมืองหลวงเนี่ยก็เป็เพราะเ้าเลยนะ เ้าทนได้หรือที่จะให้ข้าเป็คนไม่มีที่ไป?” เมื่อแสดงท่าทีแข็งขืนแล้วไม่สำเร็จ จวินเชียนโม่จึงทำได้เพียงแสดงเป็คนน่าสงสารเท่านั้น
“ข้าไม่ได้ขอให้เ้ามาเหมือนอย่างที่เ้าเอ่ย เราไม่ได้เป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องกันแล้ว ฉะนั้น ข้าก็ไม่มีความจำเป็ต้องไปสนใจเ้า”
“อย่าเป็เช่นนี้สิ ชิง...ศิษย์พี่ เป็ครูเพียงหนึ่งวัน แต่เป็ดั่งพ่อลูกตลอดชีวิต เพราะอย่างนั้น เ้าคือศิษย์พี่ของข้าไปชั่วชีวิต ข้าไม่มีวันลืม”
“ไม่ได้!” ถึงแม้ปากจะบอกว่าไม่ แต่ซูชิงเฟิงก็เปิดประตูโรงยาให้จวินเชียนโม่เข้าไปอยู่ดี
เมื่อจวินเชียนโม่เข้ามาในห้องด้านในก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูราวกับ้าขวางทางอย่างไรอย่างนั้น
ซูชิงเฟิงเดินตรงไปยังชั้นวางตำราของตนก่อนจะหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาเปิดอ่าน
เื่ที่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดในเขตผิงเมืองจั๋วโจว เขายังไม่ได้สืบหาสาเหตุอย่างละเอียดถี่ถ้วนเลย
แม้ว่าอวี้ฉู่จาวจะบอกแล้วว่าจะให้หยางซานไปตรวจสอบ แต่เื่ของโรคเหล่านี้มีแต่เขาเท่านั้นที่จะจัดการได้
จวินเชียนโม่มองซูชิงเฟิงที่กำลังตั้งใจหาอะไรบางอย่างอย่างจริงจัง เขาจึงได้ก้าวเข้าไปหา “ชิงเฟิง”
“อะไร? หากเ้าไม่มีธุระก็อยู่เฉยๆ เสีย ข้ากำลังยุ่ง ไม่มีเวลามาเล่นกับเ้า” ครั้งนี้ซูชิงเฟิงไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น ราวกับกำลังโน้มน้าวให้ผู้เป็ศิษย์น้องเชื่อฟัง
“ได้สิ” จวินเชียนโม่ระบายยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ถึงแม้ว่าชิงเฟิงของเขาจะชอบแสดงท่าทีรำคาญตนเอง แต่ก็ใส่ใจเขาเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็สถานะของศิษย์สำนักเดียวกันหรือสถานะของสหาย แต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีความรู้สึกบางอย่างต่อกัน
หลังจากนั้น จวินเชียนโม่หาที่นั่งเพื่อนั่งมองซูชิงเฟิงที่กำลังง่วนอยู่กับตำรา
พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ทว่า เพียงได้มองอีกฝ่ายเช่นนี้ให้หายคิดถึง นี่ก็ถือว่าเพียงพอ
ซูชิงเฟิงเป็คนมีรูปร่างสง่า ถึงจะไม่ใช่สาวงามแต่ก็เป็ชายหนุ่มที่พัดมาจากลมทางใต้และมากด้วยเสน่ห์ ใครต่อใครต่างก็ถูกเขาดึงดูดได้อย่างง่ายดาย
หากไม่ใช่เพราะตัวเขาอยากที่จะลักพาตัวซูชิงเฟิงกลับไปที่สำนักเฉียนจวินเพื่อให้เป็อีกฝ่ายเป็ฟูเหริน พวกเขาคงไม่ได้มีวาสนาต่อกันเช่นนี้
ทว่าช่างน่าเสียดาย ความงามนี้เป็ทั้งยาและพิษในเวลาเดียวกัน
เขาเกือบที่จะจบชีวิตในเงื้อมมือคู่นี้มาแล้ว ถ้าเขาไม่ได้นำตราประทับของสำนักเฉียนจวินไปขอความช่วยเหลือกับสำนักหมอเทวดาซึ่งมีชื่อว่าเป่ยเทียน ชายผู้มากไปด้วยสติปัญญาแหลมคมเช่นนี้จะยอมช่วยเขาได้อย่างไร
เมื่อได้พบเจอกันหลายต่อหลายครั้งจึงได้ทราบว่า ซูชิงเฟิงเป็ศิษย์ของสำนักหมอเทวดาของทางเหนือ
ด้วยเหตุนี้ จวินเชียนโม่จึงเริ่มกำเริบเสิบสานมากขึ้น และจะไม่มีทางยอมแพ้โดยเด็ดขาด
จากนั้น จวินเชียนโม่ก็จับพลัดจับผลูจนได้เข้ามาเป็ศิษย์ร่วมสำนักในสำนักหมอเทวดา ั้แ่บัดนั้น ทัศนคติของซูชิงเฟิงที่มีต่อเขาถึงได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ถึงอย่างนั้น ที่จวินเชียนโม่เข้ามาในสำนักมิใช่เพราะอยากศึกษาด้านการแพทย์ เขาเป็คนเจียงหูที่รักอิสระและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย คนที่อยู่ในสำนักอู่หลินเจิ้งไพ่1 อย่างเขาจะเข้าใจการรักษาและการช่วยเหลือคนได้อย่างไร
เลือกทางเดินตามใจตนเองอย่างไม่มีข้อจำกัดหรือข้อกำหนด อีกทั้งยังคอยตามรังควานซูชิงเฟิงอยู่เสมอ ไม่กี่ปีต่อมาจึงถูกตัดออกจากสำนักเพราะไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม รวมถึงถูกตัดขาดความสัมพันธ์ศิษย์กับท่านอาจารย์ด้วย
แล้วถึงจะเป็เช่นนั้น ความสัมพันธ์ของเขากับซูชิงเฟิงกลับก้าวขึ้นมาอีกก้าวหนึ่ง แม้จะถูกขับไล่ออกจากสำนักแต่ก็ไม่ได้เสียแรงเปล่า เพราะถึงอย่างไร สุดท้ายเขาก็ยังได้อยู่กับซูชิงเฟิง
.........
ซูชิงเฟิงค้นหาตำราอ่านจนเวลาคล้อยมามืดค่ำ จวินเชียนโม่ก็ยังคอยอยู่กับเขา
หลังจากมองไปนอกหน้าต่างแล้วพบว่าท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว พอจวินเชียนโม่หันกลับมามองซูชิงเฟิงก็พบว่าเขายังคงเปิดตำราอ่านอยู่เหมือนเดิม ทำให้ภายในใจอดสงสารไม่ได้
จวินเชียนโม่ลุกขึ้นก่อนเดินไปด้านหน้าของซูชิงเฟิงพร้อมดึงตำราในมืออีกฝ่ายออกมา “ท้องฟ้ามืดแล้ว เ้าพักหน่อยเถิด เดี๋ยวข้าออกไปซื้ออะไรมาให้เ้ากิน”
เวลานี้ ซูชิงเฟิงถึงยอมเงยหน้าขึ้นมา ถึงได้พบว่าท้องฟ้าด้านนอกเป็สีเข้มเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไรที่จวินเชียนโม่จุดไฟในห้องจนสว่าง
ซูชิงเฟิงยกมือขึ้นพลางบิดเอวขับไล่ความี้เี เมื่อเห็นดังนั้น จวินเชียนโม่จึงได้เดินอ้อมไปด้านหลังก่อยกมือนวดไหล่ให้ “เหตุใดต้องทุ่มเทจนตนเองเหนื่อยเพียงนี้ เ้าก็เป็แค่หมอคนหนึ่ง ทำไมเ้าต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับความวุ่นวายในราชสำนักด้วย”
เมื่อได้รับฟัง นี่เป็ครั้งแรกที่ซูชิงเฟิงไม่แสดงท่าทีปฏิเสธการเข้าใกล้ของจวินเชียนโม่
เขาตอบกลับ “เ้าไม่เข้าใจหรอก ท่านอาจารย์สอนข้าว่า เมื่อเ้าอยู่บนโลกนี้ด้วยความคิดที่ดี เ้าก็จะพบความสุขทางโลก ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ตัวคนเดียวจึงทำได้แค่ช่วยเหลือผู้าเ็ แต่่ที่ข้าได้มาพบท่านอ๋อง ข้าถึงได้รู้ความหมายของความสุขทางโลกว่าเป็เช่นไร ผู้คนบนโลก นอกจากขอให้ไม่เจ็บป่วยแล้วก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยความอยาก อยากให้บ้านเมืองนี้สงบสุข ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข เพราะฉะนั้น ข้าถึงเชื่อว่าท่านอ๋องทรงทำเช่นนั้นได้ นี่เป็เหตุผลให้ข้าอยากช่วยเหลือ”
ถ้อยคำของซูชิงเฟิงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงใจ จวินเชียนโม่ไม่รู้ว่าควรจะถกเถียงอย่างไรจึงได้แต่นวดไหล่ให้เขาไปเงียบๆ
“เ้าสามารถช่วยเหลือคนทั้งโลกได้หรือ?” หลังจากนั้นไม่นาน จวินเชียนโม่ก็เลือกที่จะเอ่ยคำถามนี้
“หากช่วยได้ แน่นอนว่าข้าต้องช่วยเหลือ”
“เช่นนั้นเ้าช่วยเหลือข้าก่อนเถิด” ฉับพลัน จวินเชียนโม่ก้มลงไปพิงไหล่ของซูชิงเฟิงด้วยท่าทีออดอ้อน
ซูชิงเฟิงรู้สึกหนาวไปทั่วร่าง
เ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไรอีก?
จวินเชียนโม่โน้มตัวลง เขาโอบไหล่ซูชิงเฟิงพลางเอ่ย “ข้าชอบเ้า ชอบจนข้าทุกข์ระทม เ้ารู้ใช่หรือไม่”
---------------------------------------------
1 สำนักอู่หลินเจิ้งไพ่ หมายถึง สำนักสอนศิลปะป้องกันตัว
