บทที่ 177 อยากสู้ก็สู้!
“อะไรนะ! คุณชายชุยเสวี่ยคนนี้... ปฏิเสธผลการแต่งงานครั้งนี้และ้าต่อสู้กับอัจฉริยะอีกสองคน?”
“เขาบ้าหรือเปล่า? แค่รอให้องครักษ์เทวัญจัดการให้ก็พอแล้วนี่”
“ช้าก่อน ในเมื่อเสวี่ยหานเฟยพูดแบบนี้ เขาต้องมั่นใจเต็มร้อยว่าจะเอาชนะอีกสองคนได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ทำเช่นนี้แน่!”
ครู่หนึ่ง ทุกคนสับสน พูดคุยกันไม่หยุด
คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าเสวี่ยหานเฟยจะใช้การประลองมายุติเื่ตลกนี้
ในเวลาเดียวกัน มีเ้าสำนักและผู้นำตระกูลที่มีเหตุผลบางคนก็แอบพยักหน้าเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าคุณชายชุยเสวี่ยผู้นี้วางแผนมารอบคอบมาก
เขาทำเช่นนี้ ประการแรก เพื่อให้ฉู่เจียงมีบันไดให้ก้าวลง ประการที่สอง เพื่อคลี่คลายเื่ต่างๆ ป้องกันการนองเื และประการที่สาม เพื่อสร้างอำนาจ เขาอยากทำลายจิติญญาของอัจฉริยะอีกสองคนต่อหน้าสาธารณชน
“แผนการของชายคนนี้ เรียกได้ว่าหินก้อนเดียวยิงนกได้สามตัว ไม่เลวเลย”
“ฮ่าๆ ในเมื่อคุณชายชุยเสวี่ยเสนอมาแล้ว เขาต้องมั่นใจในชัยชนะอย่างแน่นอน”
กลุ่มผู้าุโที่มีคุณธรรมสูงและมีประสบการณ์มากมายพยักหน้า ยกย่องชื่นชมเสวี่ยหานเฟยซ้ำๆ ทำให้เขาได้ใจไม่น้อย แต่ก็ยังคงทำตัวสุภาพเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน
“เ้าหนุ่มนี่คิดจะทำอะไร!?” ในยามนี้ ฉู่เจิ้นหนานขมวดคิ้ว
เดิมทีเขา้ายืมดาบฆ่าใครสักคนและใช้อำนาจขององครักษ์เทวัญกำจัดอิทธิพลของตระกูลตงฟางและตระกูลหลิง เพื่อที่ในอนาคตเขาจะได้เสวยสุขอยู่กับของหมั้นที่รับมา
แต่ตอนนี้ จู่ๆ หานเฟยก็ปรากฏตัวบนเวทีและบอกว่า้าเผชิญหน้ากับอัจฉริยะสองคนนั่น สิ่งนี้ทำให้ฉู่เจิ้นหนานรู้สึกเหลืออด ทั้งยังรู้สึกว่าแผนของเขาหยุดชะงักไปต่อไม่ได้แล้ว
“ท่านทูต! ทำแบบนี้ไม่เหมาะกระมัง? ผลการแต่งงานได้ตัดสินไปแล้ว เราจะปล่อยให้คุณชายชุยเสวี่ยเข้ามายุ่งไม่ได้!”
ฉู่เจิ้นหนานรีบเดินไปพูดกับฉู่เจียงทันที เขากลัวว่าเรือจะล่มในรางน้ำ[1]
เขารู้ว่า “ซิวหลัวหน้าผี” และตงฟางสยงต่างก็เป็อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เยี่ยมยอด หากเสวี่ยหานเฟยแพ้ขึ้นมา มันจะเป็การตบหน้าตระกูลฉู่และตระกูลเสวี่ยกลางที่สาธารณะไม่ใช่หรือ?
“สหายเจิ้นหนาน กังวลอะไรกัน? ในเมื่อหานเฟยมีความมั่นใจมาก เช่นนั้นก็ให้เขาลองดูสิ ไม่ใช่ว่าเ้าไม่เคยเห็นความแข็งแกร่งของเขามาก่อนสักหน่อย”
ฉู่เจียงพูดแบบสบายๆ และไม่ได้ใส่ใจกับมัน สำหรับเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ และการแต่งงานต้องดำเนินไปอย่างราบรื่น
ความจริงแล้ว เมื่อเสวี่ยหานเฟยบอกว่าเขาจะจัดการกับความวุ่นวายนี้ให้ ฉู่เจียงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและพบบันไดให้ลง มิฉะนั้น หากเขาใช้องครักษ์เทวัญสร้างความขัดแย้งระหว่างตระกูลขึ้นมา เขาต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน
“แต่... ท่านทูต เื่เช่นนี้มีสิบคว้าได้เพียงเก้า[2]…”
“เอาล่ะๆ ต่อให้เ้ารุ่นเยาว์อีกสองคนนั่นโชคดีพอที่จะชนะ แล้วอย่างไรเล่า? มากที่สุดก็แค่เปลี่ยนคู่แต่งงาน” ฉู่เจียงพูดอย่างสบายๆ
คนที่ตัดสินใจเลือกจวนตระกูลเสวี่ยคือฉู่เจิ้นหนาน เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเื่นี้
เสวี่ยหานเฟยแพ้แล้วจะทำอย่างไร? ฉู่เจียงไม่สนใจเลยสักนิด ท้ายที่สุด มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เขาจะทำเพียงลอยตัวเหนือลม
“ท่านทูต นี่ไม่ได้นะ! เฮ้อ...”
เมื่อเห็นความเพิกเฉยของฉู่เจียง ฉู่เจิ้นหนานก็ทั้งโกรธทั้งกังวล เขาเหลือบมองเสวี่ยจิงหงอีกสองสามครั้ง สื่อความหมายให้เ้าเมืองชุยเสวี่ยรีบหยุดลูกชายของตัวเอง
แต่เสวี่ยจิงหงที่มีรอยยิ้มบนริมฝีปากกลับไม่ตื่นตระหนกเลย ทำเพียงแอบพยักหน้า ซึ่งทำให้ฉู่เจิ้นหนานโกรธมากจนทำได้เพียงส่งเสียงหายใจอย่างกระแทกกระทั้น
“แม้ว่าเ้าหนุ่มตระกูลเสวี่ยจะมีิญญายุทธ์นั้นอยู่ แต่จะสร้างปัญหาต่อไปก็ไม่ใช่เื่! คนพวกนี้คิดอะไรอยู่กันแน่?!” จิ้งจอกเฒ่าตบเก้าอี้เสียงดัง หายใจหอบ รู้สึกไม่สบายใจ
ในขณะที่ผู้ชมกำลังแสดงความคิดเห็น ชายชราทุกคนบนเวทีก็สับสนเล็กน้อยและแอบคุยกัน
เนื่องจากอีกฝ่ายให้เสนอเงื่อนไขมา การประลองหาคู่แต่งงานคนใหม่จึงควรรับไว้พิจารณา
ในทางกลับกัน ฉู่อวิ๋นกลับระมัดระวังและจับจ้องไปที่เสวี่ยหานเฟยที่มีสีหน้าผ่อนคลาย
“หึๆ พวกเราไม่ใช่คนโง่ แล้วถ้าคุณชายชุยเสวี่ยกลับคำพูดเล่า?” ฉู่อวิ๋นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เปลี่ยนเสียงแล้วถาม
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เสวี่ยหานเฟยก็หัวเราะเบาๆ โดยไม่พูดอะไร แต่หันหน้าไปะโบอกผู้ฟัง “ท่านผู้าุโ ท่านแขกผู้มีเกียรติ! ข้อเสนอที่ข้าเพิ่งพูดไปนั้นไม่เป็เท็จอย่างแน่นอน!”
“แต่คุณชายหลิงคนนี้กำลังตั้งคำถามถึงความซื่อสัตย์ของคุณชายเช่นข้า!”
พูดจบ น้ำเสียงของเสวี่ยหานเฟยก็เปลี่ยนไปเป็เศร้าใจ ทำให้หลายคนขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่ฉู่อวิ๋นที่อยู่ในฐานะของ “ซิวหลัวหน้าผี” ด้วยสายตาไม่พอใจ
“สมาชิกของตระกูลฝึกฝนิญญาเก่งนักหรือ? พวกเขาซ่อนหัวโผล่หาง คนน้อยเท่าหยิบมือแต่ก็ยังกล้ามาโอ้อวดถึงที่นี่”
“คุณชายเสวี่ยจริงใจและใจกว้างต่อผู้อื่น เขางดงามทั้งในและนอก จะมาน่าเกลียดเหมือนเ้าได้อย่างไร?! คนที่ไม่กล้าแม้จะแสดงใบหน้าที่แท้จริงออกมา ได้แต่สวมหน้ากากโทรมๆ เ้ากำลังแสร้งเป็ผีปลอมเป็เทพหรือ?”
ทุกคนต่างะโ โดยเฉพาะคนที่หลงใหลในคุณชายชุยเสวี่ย เพราะคำพูดเ่าั้ทำให้พวกนางไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
“ฮึ่ม พวกคนโง่” ฉู่อวิ๋นคิดว่ามันไร้สาระมาก จึงไม่คิดจะใส่ใจกับคำพูดเหน็บแนมพวกนั้น
เขาได้เรียนรู้จากการชุมนุมพยัคฆ์ัว่าคนที่เรียกกันว่าคุณชายชุยเสวี่ยผู้นี้นั้น เป็เพียงชายหนุ่มที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม เ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก
คนคนนี้จอมปลอมจะตายชัก ไม่นานย่อมถูกลงโทษ!
ในขณะนี้ เสวี่ยหานเฟยกำลังหัวเราะเบาๆ โบกพัดขนนกและพูดว่า “จริงๆ แล้วตัวตนของข้า ในฐานะคุณชายชุยเสวี่ย เชื่อว่าทุกท่านที่นี่ล้วนเคยเห็นมาแล้ว”
“แต่ในเมื่อซิวหลัวหน้าผีไม่เชื่อ เพื่อหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ ข้าอยากจะขอให้เ้าสำนักและผู้นำตระกูลที่ข้าเคารพนับถือทุกท่านเป็พยานให้กับคุณชายเช่นข้า”
“หากคุณชายเช่นข้าไม่รักษาสัญญา แพ้แล้วไม่สละตำแหน่งสามี ข้าไม่ขอตายดี!”
ทันทีที่พูดจบ ใบหน้าของเสวี่ยหานเฟยก็เคร่งขรึม เขาก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับเ้าสำนักและผู้นำตระกูลทั้งหลาย ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหล
ในเวลาเดียวกัน ตงฟางสยงตบหน้าอกตัวเองและะโ “ฮึ่ม หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว การประลองนี้ข้ารับแล้ว! เสวี่ยหายเฟย ผ่านไปหลายปี คิดว่าข้าจะยังกลัวเ้าอยู่อีกหรือ?”
เสวี่ยหานเฟยโบกพัดขนนก ดวงตาเป็ประกาย และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่ารีบร้อนไป ข้ายังไม่ได้พูดถึงบทลงโทษสำหรับผู้แพ้เลย”
“ลงโทษ?!”
ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง สงสัยว่าคุณชายชุยเสวี่ยมีโอสถใดอยู่ในน้ำเต้าบ้าง?[3]
“หึ มาแล้ว!” ฉู่อวิ๋นขมวดคิ้ว
หลังจากนั้น เสวี่ยหานเฟยก็ยิ้มและพูดต่อ “ใช่ ลงโทษ ในเมื่อข้าสมัครใจสละโอกาสในการแต่งงานและเสนอการแข่งขันครั้งนี้ขึ้นมา ผู้แพ้ย่อมจะต้องชดใช้ด้วย”
“สิ่งที่ต้องจ่ายก็ง่ายมาก...”
เสวี่ยหานเฟยยกยิ้มและกล่าวว่า “ผู้แพ้จะต้องคุกเข่าลงและกล่าวชื่นชมผู้ชนะบนเวทีนี้ต่อหน้าแขกทุกคน คุกเข่าคารวะสามครั้ง และะโคำว่า ‘ข้าผิดไม่แล้ว’ ดังๆ”
“เป็อย่างไร? เ้าทั้งสองยังอยากจะประลองกันอีกหรือไม่? นี่ก็คือเงื่อนไขของข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ฉู่อวิ๋นและตงฟางสยงเท่านั้นที่มีสีหน้าบูดบึ้ง แต่ทุกคนในกลุ่มผู้ชมก็ตกตะลึงและมีการถกเถียงกันมากมาย
ผู้แพ้ต้องก้มคารวะและยอมรับความผิดพลาดในที่สาธารณะจริงหรือ? น่าเสียดายคำว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์จริงๆ!
แต่เมื่อเทียบกับการละทิ้งการแต่งงานไปเปล่าๆ เงื่อนไขนี้ไม่นับว่ามากมาย เพราะอย่างไรเสียเสวี่ยหานเฟยจะไม่เข้ามายุ่ง ทำตัวสบายๆ รอพิธีแต่งงานอย่างเดียวก็ได้
แต่ตอนนี้ที่เขากล้าเสนอการแข่งขันครั้งนี้และพูดถึงเงื่อนไขของผู้แพ้ขึ้นมา นั่นคือเขามั่นใจแล้วว่าเขาจะชนะ
เมื่อเขาชนะ ไม่เพียงแต่จะได้คนงามไปครองเท่านั้น แต่เขายังสามารถเหยียบย่ำอัจฉริยะอีกสองคนภายใต้แสงสว่างที่ส่องมาได้ นี่จะเป็ข่าวแสนครึกโครมที่แพร่กระจายไปทั่วตอนเหนือของราชวงศ์เซี่ยแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าคุณชายชุยเสวี่ยมั่นใจมาก ว่าสามารถชนะทั้งสองคนได้
ในที่สุด ไม่นาน ทุกคนก็ตระหนักได้ว่าการประลองครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะแม้แต่เสวี่ยจิงหงก็ยังปิดปากนิ่งเงียบ ราวกับยินยอม พวกเขาในฐานะคนดู จะหยุดมันได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ชมจำนวนมากล้วนมาชมความตื่นเต้น การต่อสู้ขั้นแตกหักระหว่างอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสามที่กำลังจะเริ่มขึ้นทำให้หลายคนคึกคักมาก
ต้องรู้ว่า การได้เห็นอัจฉริยะต่อสู้แลกชีวิต เป็เื่ที่ยากเพียงใดในชีวิต
“นายน้อย ท่านระวังตัวด้วย” ตงฟางเยี่ยนและคนอื่นๆ เตือนตงฟางสยง ก่อนจะะโออกจากลาน เดิมทีพวกเขาไม่ยอมรับการประลองนี้ แต่ตงฟางสยงยืนกรานจะสู้ พวกเขาจึงทำได้เพียงเชื่อฟังเท่านั้น
“เป็อย่างไร? เ้าอยากจะสู้หรือไม่?” หลิงจื้อถาม “ซิวหลัวหน้าผี”
“ท่านผู้เฒ่า ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“ฮ่าๆ ข้ารู้ว่านี่เป็การถามซ้ำซาก สรุปแล้วก็ ระวังตัวด้วย”
หลิงจื้อส่ายหัวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนหลังจากพูดจบ เขารู้ว่าเพื่อช่วยฉู่ซินเหยาแล้ว ไม่ว่าจะต้องเผชิญความยากลำบากเพียงใด ฉู่อวิ๋นก็จะฝ่าไปและจะไม่ยอมแพ้ เขาย่อมตกลงแน่นอน
หลิงจื้อกลับมายังที่นั่งของเขา จ้องมองไปที่เวทีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่เข้าใจคนหน้าซื่อใจคดคนนี้เลยจริงๆ ชอบการประชันขันต่อนักหรือ นี่เป็ครั้งที่สามแล้วนะ!” ฉู่อวิ๋นบ่นอุบ ยืนอย่างภาคภูมิใจบนเวที รู้สึกไร้สาระเล็กน้อย แล้วคิดกับตัวเอง “สองครั้งก่อนชนะเ้าได้ คราวนี้ข้าก็สามารถชนะเ้าได้เช่นกัน!”
ในขณะนี้ ฉู่อวิ๋น เสวี่ยหานเฟยและตงฟางสยงเป็เพียงสามคนที่เหลืออยู่บนเวที ทำให้เกิดการเผชิญหน้าแบบสามด้านพร้อมแรงกดดันอันงดงาม
ในที่สุด ลานจัตุรัสของศาลเ้าก็เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่วฟ้าและทั่วโลกใบเล็กนี้ ทำให้มีชีวิตชีวายิ่งนัก
“นี่ๆ เ้าคิดว่าหนุ่มคนไหนมีโอกาสชนะมากกว่ากัน?” บนหลังคา หานซื่อเหนียงมองดูเวทีด้วยความสนใจ แสดงสีหน้าสงสัย
“ยังต้องถามอีกหรือ?” หยางเจิ้ง เ้าสำนักเถี่ยเฉวียนยิ้มและกล่าวว่า “เ้าหนุ่มแซ่เสวี่ยนั่นกล้าพอที่จะเดิมพันการแต่งงานครั้งนี้และเสนอเงื่อนไขนั่นขึ้นมา แสดงว่าเขามั่นใจมาก”
“อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่าวิชายุทธ์ของเขาน่ากลัวมาก เ้าหนุ่มอีกสองคนอาจไม่มีโอกาสเลย”
“จริงหรือ?” หานซื่อเหนียงเหยียดร่างกายบิดี้เี เผยให้เห็นส่วนเว้าโค้งอันงดงาม และเอ่ยด้วยรอยยิ้มแสนหวาน “แต่ข้าได้ยินมาว่าซิวหลัวหน้าผีเอาชนะนักรบในระดับเก้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณในลานประลองยุทธ์ได้หลายคนเลย เขาก็ไม่น่าจะแพ้นะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น หยางเจิ้งก็ยิ้มและส่ายหัวอย่างไม่แยแสและเอ่ยว่า “ครั้งหนึ่งข้าเคยไปเยี่ยมดูที่ลานประลองยุทธ์ สาเหตุที่เ้าหนุ่มคนนั้นสามารถต่อสู้เกินสี่ระดับได้ก็เพราะขอบเขติญญาที่แปลกประหลาด”
“แต่ภายใต้ิญญายุทธ์ของเ้าหนุ่มตระกูลเสวี่ย ข้าเกรงว่ามันจะไม่มีผลใดๆ เลย”
“เป็เช่นนั้นหรือ?” หานซื่อเหนียงตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงมองดูระดับพลังยุทธ์ของ “ซิวหลัวหน้าผี" อย่างผ่านๆ
แต่ทันทีที่นางตรวจสอบ นางก็หัวเราะออกมาอย่างสดใส
“หืม? ชายที่สวมหน้ากากนั่นดูแปลกๆ นะ ข้ามองเห็นการฝึกฝนของเขาได้ไม่ค่อยชัด ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนจงใจใช้เครื่องกั้นทางจิตปกปิดตัวตนของเขา”
“ทำไมถึงต้องสนใจขนาดนั้นด้วย? ดูการประลองไปก็พอ ตระกูลฝึกฝนิญญาต่างก็แปลกประหลาดทั้งนั้นแหละ”
“ฮ่าๆ ได้ๆ” หานซื่อเหนียงปิดปากแล้วยิ้มหวาน
จากนั้น นางก็พินิจพิเคราะห์ฉู่อวิ๋นอีกครั้งและพูดว่า “แต่ััที่หกของผู้หญิงนั้นเฉียบแหลมมากนะ ข้ารู้สึกว่าเ้าหนุ่มหน้าผีคนนี้อาจก่อเื่ใหญ่บางอย่างได้”
ในขณะเดียวกัน บนเวทีมีชายหนุ่มสามคนที่ยืนแยกกัน ไม่ยอมอ่อนข้อต่อกัน ต่างฝ่ายต่างเต็มไปด้วยพลังอยากต่อสู้เพื่อคนงาม
ยามนี้ ลานจัตุรัสของศาลเ้าตกอยู่ในความโกลาหลพร้อมเสียงอึกทึกน่าหนวกหู!
ภายใต้แสงสว่าง การแข่งขันเพื่อตัดสินว่าใครคืออัจฉริยะที่แท้จริงและคู่ควรเป็สามีของซินเหยาได้เริ่มต้นขึ้น!
“เป็อย่างไร?” เสวี่ยหานเฟยโบกพัดขนนกอย่างใจเย็น พลางถามฉู่อวิ๋นและตงฟางสยง “พวกเ้าคนไหนจะเข้ามาก่อน? คุณชายเช่นข้าล้วนได้ทั้งนั้น”
“อยากสู้ก็สู้! ข้าก่อน!” ฉู่อวิ๋นก้าวไปข้างหน้าด้วยแรงผลักดันที่ไม่มีใครเทียบได้
แต่ในตอนนี้เอง ตงฟางสยงก็เดินไปก่อนและะโ “เ้าเด็กหน้าผี นี่ไม่ใช่เื่ของเ้า นี่คือความแค้นของข้ากับเขา! เ้าลงจากเวทีไปก่อนเถอะ!”
ตงฟางสยงปล่อยหมัดเสียงดัง “ปัง” ส่งคลื่นอากาศสูงสิบฉื่อออกไป จากนั้นดึงหอกเล่มใหญ่ออกมาแล้วโบกไปรอบๆ อย่างสง่างาม แสงหอกนั้นบาดตาจนฉู่อวิ๋นที่ไม่ทันระวังก็ต้องถอยหลังไปหลายก้าว
“ให้ตายเถอะ!” ฉู่อวิ๋นกัดฟัน แต่แล้วเขาก็คิดว่า สิ่งที่เขารู้เื่ความแข็งแกร่งของเสวี่ยหานเฟยนั้นแทบจะเป็ศูนย์ ดังคำกล่าวที่ว่า ปืนยิงหัวนกที่โผล่ออกมาก่อน[4] การรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่เื่เลวร้าย
ดังนั้น ฉู่อวิ๋นจึงะโขึ้นกลับที่นั่งของเขา และเริ่มดูการต่อสู้ พยายามค้นหาข้อบกพร่องของเสวี่ยหานเฟย
----------
[1] เกิดเหตุร้าย
[2] ไม่แน่นอน
[3] จงใจเล่นกลเพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้คนและทำให้พวกเขาคาดเดาไม่ได้
[4] ผู้ที่โดดเด่นเกินไป มีแนวโน้มที่จะเกิดภัยพิบัติ