30นาทีต่อมา…
เอริ ฐิติมน….
พรึบ
“ค่อยๆเดินนะครับ…จะถึงแล้ว…”เสียงนุ่มทุ้มละมุนของขุนศึกเอ่ยบอกฉันในขณะที่เขากำลังประคองร่างของฉันให้เดินไปที่ไหนสักที เพราะเขายังไม่ยอมเปิดตาฉันแต่ยังดีที่เขาเปิดปากให้ฉันได้พูดบ้างและยังยอมไขกุญเเจข้อมือให้ฉันได้เป็อิสระบ้างเหมือนกันไม่อย่างงั้นฉันคงจะอึดอัดมากกว่านี้
“จะพาริไปไหนเนี่ย?”ฉันเอ่ยถามขุนศึกไปอย่างสงสัยเพราะั้แ่เขาพาฉันเดินลงมาจากรถก็พาฉันเดินจะไปไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันไกลจากที่รถของขุนศึกจอดอยู่มากนะ
“ไปถึงเดี๋ยวก็รู้ครับ^_^”ขุนศึกตอบฉันมาเสียงแจ่มใส จนทำให้ฉันรู้สึกอดที่จะสงสารเขาไม่ได้ เพราะในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าต่อจากนี้ อาจจะทำให้ขุนศึกเกลียดฉันไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ แต่สิ่งที่ฉันทำลงไปก็เพื่อเขานะ
พรึบ
“ถึงแล้วครับ….พร้อมจะลืมตาหรือยัง?”
“อืม….”ฉันตอบขุนศึกไปอย่างสั้นๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะดีใจหรือตื่นเต้นอะไร ทำให้ขุนศึกที่ยืนโอบเอวฉันอยู่เงียบไปก่อนที่ฉันจะรับรู้ได้ถึงัันุ่มของฝ่ามือนุ่มหนาของขุนศึกที่ลูบไล้แก้มของฉันอย่างแ่เบาเพื่อเลื่อนไปยังด้านหลังของฉันเพื่อจะแก้ผ้าผูกตาที่เป็เนคไทให้ฉันอย่างแ่เบาและนุ่มนวล
“ค่อยๆลืมตานะครับ….สุดที่รักของขุน^_^”ขุนศึกว่าพลางกระซิบที่ข้างหูฉันก่อนที่เขาจะค่อยๆยื่นใบหน้าเอาปลายจมูกลงมาสูดดมกลิ่นแก้มของฉัน ฉันจึงลืมตาขึ้นมาทันที
พรึบ
“เล่นอะไรเนี่ยขุน!”ฉันโวยขึ้นและใช้มือผลักหน้าอกเขาให้ถอยห่างออกไปจากฉัน เขามีสีหน้าใและเหวอปนอึ้งไปเลย ฉันก็มองหน้าเขาอย่างติเตือนเขาก่อนจะรับรู้ถึงสิ่งรอบๆตัวที่แปรเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ใช่สถานที่ที่คุ้นตาฉัน ฉันหันมองไปรอบๆ มันคือบ้านเดี่ยวสองชั้นสีขาวมีรั้วสีขาวล้อมรอบของตัวบ้าน มีสวนหย่อมและต้นหญ้าดอกไม้นานาพันธุ์ที่ฉันชื่นชอบ ฉันเดินเข้าไปอย่างคนที่กำลังโดนต้องมนต์สะกดให้หลงใหลไปกับความสวยงามเบื้องหน้า บ้านหลังนี้ถูกสร้างในพื้นที่ไม่ต่ำกว่าสองร้อยตารางเมตร ซึ่งทุกอย่างมันถูกตกแต่งตามแบบบ้านในฝันที่ฉันอยากมี
“ขุนสั่งให้สร้างแบบที่ริชอบเลยนะ^_^”
“สามห้องนอน….สี่ห้องน้ำ…หนึ่งห้องครัว…หนึ่งห้องนั่งเล่น…แล้วก็มีห้องทำงานด้วย…”
“และอีกอย่าง…มีสระน้ำกลางสวนแบบที่ริชอบด้วยนะครับ^_^”ขุนศึกเอ่ยบอกฉันในขณะที่เขาเดินมายืนขนาบข้างฉันแล้ว ฉันก็น้ำตาเอ่อคลอพร้อมจะไหลรินออกมาแต่ฉันก็ต้องพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
พรึบ
“และนี่ครับ….โฉนดบ้านหลังนี้พร้อมที่ดิน….เป็ชื่อของนางสาวฐิติมน…ยิ้มมโหทัยเป็เ้าของแต่เพียงผู้เดียว^_^”ขุนศึกเอ่ยบอกฉันพลางชูกระดาษสี่เหลี่ยมที่มีตราครุฑประทับไว้ตรงหัวกระดาษ มันคือโฉนดที่ดินและบ้านหลังนี้จริงๆซึ่งมันเป็ชื่อฉันจริงๆด้วย
“เป็ของขวัญวันครบรอบที่เราคบกันมา….ปีที่แปดนะครับ^_^”ขุนศึกเอ่ยเสร็จเขาก็ยิ้มละมุนให้ฉัน ทุกปีเขาจะมีของขวัญวันครบรอบเสมอแต่ปีนี้ค่อนข้างจะยิ่งใหญ่กว่าปีที่ผ่านมา
“และนี่….”ขุนศึกเอ่ยอีกครั้งพร้อมกับหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงขึ้นมาถือไว้ตรงหน้าเขาพร้อมกับยิ้มละมุนให้ฉันอีกหนึ่งครั้งก่อนที่เขาจะยื่นมืออีกข้างมาเปิดฝาของกล่องกำมะหยี่อออกอย่างช้าๆ
“แหวนเพชรเม็ดนี้….มันหนักและมีราคาที่สูงกว่าเพชรที่ขุนให้ริเมื่อคืนนี้…ที่จริง…ขุนอยากหาอันที่แพงที่สุดแต่มันก็ไม่มี….”
“ขุนอยากให้ริรู้ว่า….ไม่มีจำนวนเงินระบุประเมินค่าเทียบเท่ากับเอริคนเก่งแฟนของขุนได้^_^”
พรึบ
“แต่งงานกับขุนนะครับ^_^”ขุนศึกทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าฉันพลางเอ่ยขอฉันแต่งงานอีกครั้ง โดยครั้งนี้แปลกไปจากเมื่อคืนมากเพราะไม่ได้มีแค่เราสองคนอยู่ในที่นี้
พรึบ
“แต่งเลย^_^”
“แต่งเลยเอริ^_^”เพื่อนของฉัน เพลงขวัญและฟิวเพืิ่อนสนิทของขุนศึกเองก็มาอยู่ที่นี้ด้วยเหมือนกันรวมไปถึงทีเองก็ด้วย เพราะสามคนนี้รู้ดีว่าฉันกับขุนศึกเป็อะไรกัน
“แต่งเลยแต่งเลยๆ!”พวกเพื่อนๆของฉันกับขุนศึกเอ่ยอีกครั้งอย่างประสานเสียงกันและบอกให้ฉันตอบตกลงแต่งงานกับขุนศึก ทุกคนมีใบหน้าที่เปื้อยไปด้วยรอยยิ้มรวมถึงขุนศึกเองก็ด้วย ฉันอยากจะบอกนายเหลือเกินว่าฉันดีใจนะที่นายขอฉันแต่งงานฉันอยากจะตอบตกลงแต่งงานกับนายใจจะขาดแต่ฉันทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
พรึบ
“เรา….เลิกกันเถอะ”ฉันเอ่ยบอกขุนศึกไปเสียงแ่เบาแต่หนักหน่วง เสียงของเพื่อนๆฉันทั้งสามคนหยุดนิ่งราวกับทุกอย่างโดนสั่งให้หยุดลง ผู้ชายตรงหน้าฉันขมวดคิ้วจนจะเป็ปมมองหน้าฉันอย่างไม่เชื่อในคำพูดของฉัน
“เมื่อกี้ริ…พูดว่าอะไรนะ?”ขุนศึกเอ่ยถามฉันอีกครั้งเพื่อย้ำความแน่ใจ ฉันก็พยายามกลั้นใจและกลั้นน้ำตาแววตาแห่งความเ็ปเอาไว้ให้นิ่งที่สุดและเอ่ยบอกเขาไปอีกครั้ง
“เลิกกันเถอะ”
“ริอย่าล้อขุนเล่นดิ^_^”ขุนศึกว่าพลางยิ้มขำอย่างคนที่กำลังฝืนหัวเราะ ใช่เขารู้แต่แกล้งทำเป็ไม่รู้ว่าฉันบอกเขาว่าอะไร เพราะสีหน้าและน้ำเสียงของฉันดูจริงจังมาก
พรึบ
“เลิกกันเถอะ…”ฉันเอ่ยอีกครั้งด้วยแววตาและน้ำเสียงเรียบเฉยอย่างคนที่ไม่มีความรู้สึกสงสารหรือโหยหากับคำที่ฉันเพิ่งจะบอกเลิกผู้ชายตรงหน้านี้ไป และฉันก็ยกมือข้างซ้ายขึ้นมาเพื่อถอดแหวนเพชรที่ขุนศึกเพิ่งจะสวมใส่ให้ฉันเมื่อคืนออกคืนเขาไปแต่เขาก็ไม่ยอมรับแหวนคืนจากฉัน เมื่อเขาไม่ยอมรับแหวนคืนจากฉัน ฉันก็ยื่นมือไปหยิบกระเป๋าสะพายของฉันที่ขุนศึกสะพายไหล่ของเขาอยู่ออกมาเพื่อจะหยิบเอกสารบางอย่างให้เขา ขุนศึกก็เอาแต่จ้องหน้าฉันแววตาของเขาสั่นไหวอย่างคนที่กำลังอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เพราะเขาคงไม่คิดว่าฉันจะปฏิเสธการแต่งงานกับเขา
พรึบ
“อะอะไรเหรอครับ?”เขาเอ่ยถามฉันในขณะที่ฉันยื่นซองเอกสารสีขาวให้เขาไปในขณะที่เขาก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นยืนยังคงนั่งคุกเข่าตรงหน้าฉันเหมือนเดิม แววตาของขุนศึกแอบมีความกังวลใจอยู่
“เปิดอ่านสิ….”ฉันบอกขุนศึกไป เขาก็ยิ้มบางๆให้ฉันก่อนจะรับซองสีขาวไปจากฉันและเปิดอ่านจดหมายของฉันทันที แววตาของขุนศึกสั่นไหวเบิกโตขึ้นอย่างคนที่กำลังใกับสิ่งที่อยู่ในกระดาษสีขาวแผ่นสี่เหลี่ยมนั้น เพราะมันคือ….ใบลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการส่วนตัวของเขา
“ริจะลาออกเหรอ?”ขุนศึกเงยหน้าจากกระดาษสี่เหลี่ยมขึ้นมามองหน้าฉันแววตาของเขาแดงก่ำ
“ทำไมอ่ะริ….”
“ขุนทำอะไรให้ริไม่พอใจรึเปล่า?”
“ขุนสัญญาเลยนะ…ว่าถ้าเราแต่งงานกัน…ขุนจะเลิกเที่ยวจะเลิกเ้าชู้….จะมีแค่ริคนเดียว…”ขุนศึกเอ่ยอีกครั้งแววตาของเขาในตอนนี้ดูจริงจังและมุ่งมั่นว่าเขาจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อฉัน แต่มันสายไปแล้วล่ะ ทำไมตอนที่มีฉันอยู่เขาถึงไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลง..มาสำนึกได้อะไรในตอนที่มันสายไปแล้ว
“มันไม่มีความหมายแล้วล่ะ….”ฉันเอ่่ยบอกเขาไปเสียงแ่เบา
“หมายความว่ายังไงอ่ะริ?”ขุนศึกจ้องมองฉันพลางเอ่ยถามฉันกลับอย่างไม่เข้าใจและสงสัย เขาลุกขึ้นมายืนประจันหน้ากับฉันแววตาของเขาแดงก่ำและสั่นไหวเหมือนมันกำลังจะบอกฉันว่า เ้าของั์คู่นี้กำลังกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้
“เพราะริ….ตัดสินใจแล้ว…”
“ตัดสินใจว่าอะไรอ่ะริ?….เราคบกันมานานแล้วนะ…และนี่ขุนก็กำลังขอริแต่งงาน…”
“เราเลิกกันเถอะ…และกรุณาช่วยเซ็นใบลาออกให้ฉันด้วยค่ะ…..ท่านประธาน”ฉันเอ่ยบอกขุนศึกไปเสียงเข้มและให้เป็ปกติที่สุดว่าฉันก็ไม่ได้เสียใจ ฉันต้องทำให้เขาเข้าใจแบบนี้เพราะมันจะทำให้เขาเลิกตอแยฉัน
พรึบ
“ไม่อ่ะริ….ขุนไม่ให้ริลาออก…”ขุนศึกเอ่ยเสียงกระซิบแ่เบาที่ข้างหูฉันเพราะตอนที่ฉันกำลังเดินสวนเขามา เขาหันกลับมาคว้ากอดฉันจากทางด้านหลังและสวมกอดรัดร่างของฉันแน่น
“ถ้าริลาออกแล้วใครจะช่วยขุนบริหาร…บริษัทที่เราช่วยกันสร้างมาล่ะ….”
“บริษัทKAย่อมาจากชื่อตัวหน้าของเราสองคนไม่ใช่เหรอ?”
“อย่าทิ้งขุน…ไปเลยนะ…เพราะขุนจำตอนที่ขุนไม่มีริในชีวิตไม่ได้แล้ว….”
“แต่ฉัน….ไม่อยากมีนายในชีวิตของฉันอีกต่อไปแล้ว….”
“ฉันได้สิ่งที่ฉัน้ามามากแล้ว….”
“หึ!”ฉันแค่นเสียงหัวเราะออกไปทำให้ขุนศึกที่เอาใบหน้าซบไหล่ฉันอยู่ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาจากไหล่ฉันอย่างช้าๆก่อนที่เขาจะค่อยๆปล่อยแขนเพื่อคลายกอดร่างของฉันให้เป็อิสระ
พรึบ
ฉันผละตัวออกมาจากขุนศึกและหันไปเผชิญหน้ากับเขา
“หึ….ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ…”ฉันเอ่ยออกไปพลางยกยิ้มที่มุมปากขึ้นอย่างคนที่กำลังสะใจ
“หวังว่าเื่ของเรามันจะจบลงแค่นี้…..”
“ไม่อ่ะริ….ขุน้าคำตอบ?”ขุนศึกส่ายศีรษะไปมาพลางขยับตัวหมายจะเข้ามาจับแขนฉันแต่ฉันถอยหลังหนีเขาและทำท่าเป็รังเกียจเขา
“หึ….นายไม่รู้ตัวเลยเหรอ….ว่าทำไมฉันถึงอยากเลิกกับนาย?”ฉันเอ่ยถามขุนศึกไปพลางจ้องมองหน้าเขาด้วยแววตาสมเพช
“เพราะขุนไม่มีอะไรกับริ…..แต่ขุนไปมีอะไรกับคนอื่นใช่ไหม?”ขุนศึกเอ่ยออกมาเสียงสั่นและมั่นใจว่าเขาคิดถูก
“ถ้าขุนมีอะไรกับริ….แล้วริจะไม่ทิ้งขุนไปใช่ไหม?”ขุนศึกเอ่ยถามฉันออกมาคำพูดของเขา ทำให้ฉันเจ็บจี๊ดที่หัวใจเพราะนี้ไม่ใช่ตัวตนของขุนศึกเลย วันนี้เขาทำให้ฉันรู้ว่าเขารักฉันจริงๆ
พรึบ
พรึบ
“เอริ?”ขุนศึกเอ่ยเรียกฉันเสียงแ่เบา เขามองหน้าฉันด้วยแววตาตัดพ้อในขณะที่ฉันสะบัดมือเขาให้ปล่อยแขนฉันที่โดนเขาจับ
“หึ….ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่ผ่านมา…อ้อ..”ฉันเอ่ยขึ้นอีกครั้งและคราวนี้ฉันทำสีหน้าและสะใจจนเพื่อนๆของขุนศึกที่อยู่ด้านหลังมองหน้าฉันอย่างผิดหวัง
“และฉันไม่ได้รักนาย…และไม่เคยรักนายด้วย..”ฉันเอ่ยบอกขุนศึกไป การที่เราบอกว่าเราไม่รักคนที่เรารักมากที่สุด มันพูดยากมากกว่าตอนบอกว่ารักอีกนะ ขุนศึกส่ายศีรษะไปมาอย่างไม่เชื่อในคำพูดของฉันที่ฉันบอกว่าฉันไม่รักเขา
“นายคงจะรู้สินะ…ว่าที่ฉันเข้าหานายั้แ่แรกเพราะอะไร…”
พรึบ
“และนี่…ก็ขอบคุณนะ…สำหรับบ้านหลังนี้…”ฉันเอ่ยขึ้นในขณะที่ฉันก้มลงไปเก็บแผ่นโฉนดที่ดินของบ้านหลังนี้ที่มันตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาถือไว้
“มันสวยและน่าอยู่มาก…”ฉันพูดไปพลางมองไปรอบๆบ้านสลับกับหน้าขุนศึกไปด้วย เขาก็จ้องมองหน้าฉันนิ่ง แววตาคู่สวยของขุนศึกแดงก่ำลอกแลกๆไปมา
“นี่ฉันก็เก่งเหมือนกันนะ…ที่ทนอยู่กับผู้ชายหน้าโง่!”ฉันเอ่ยบอกเขาไปด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและใช้สายตาสมเพชดูถูกขุนศึก เขาก็มองหน้าฉันนิ่ง นิ่งกว่าเดิม นิ่งจนน่ากลัว
“เอริ!!”เป็ทีเพื่อนสนิทของขุนศึกที่ะโใส่หน้าฉันอย่างไม่พอใจแววตาของเขาสั่นไหวอย่างคนที่โกรธจัด
พรึบ
ฟิวจับตัวของทีไว้อย่างรวดเร็วเพราะทีกำลังจะพุ่งเข้ามาหาฉัน ฉันก็หันไปมองหน้าทีและแสยะยิ้มชั่วร้ายให้เขาก่อนจะยกมือขึ้นมากอดอกและหันกลับมามองหน้าของขุนศึกอย่างคนที่เหนือกว่า ท่าทางของฉันมันกำลังจะบอกฉันว่าฉันอยู่ในจุดยืนของผู้ที่ชนะ
“โดยที่ฉัน….ยังไม่ได้เสียตัวเลย…นายนี่มันโง่กว่าที่คิดอีกนะ….ขุนศึก…^_^”ฉันเอ่ยเสร็จก็ยิ้มเยาะอย่
างสะใจแววตาของฉันเต็มไปด้วยความไม่รู้สึกผิดที่ฉันเสแสร้งแกล้งทำมันขึ้นมา….