“ทูลท่านชาย ท่านอ๋องเสด็จมาที่จวนของกระหม่อมแต่เช้า หลังจากเยี่ยมบิดากระหม่อม และประทับอยู่ครู่หนึ่งก็เสด็จกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เวลานี้ท่านอ๋องคงเสด็จกลับถึงตัวเมืองเยี่ยนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โจวโม่เสวียนถามว่า “ท่านลุงหูตื่นหรือหลับอยู่”
“ครั้งท่านอ๋องเสด็จมา บิดากระหม่อมตื่นอยู่พ่ะย่ะค่ะ บิดาของกระหม่อมดีใจมากเกินไป ใช้เรี่ยวแรงไปจนหมด เวลานี้จึงหลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โจวโม่เสวียนเอ่ยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า “วิชาแพทย์ของท่านหมอเทวดาน้อยสูงส่งยิ่งนัก ต่อให้ท่านลุงหูนอนหลับอยู่ ท่านหมอเทวดาน้อยก็สามารถตรวจรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาได้”
ก่อนหน้านี้หลี่หรูอี้เคยบอกแล้วว่า ในบรรดาแม่ทัพทั้งห้า อาการของแม่ทัพหูเบาที่สุด จึงได้มารักษาเขาในลำดับสุดท้าย ฉะนั้นโจวโม่เสวียนจึงเชื่อว่าหลี่หรูอี้ต้องสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของแม่ทัพหูได้แน่นอน
ทุกคนอยู่ในจวนหูหนึ่งชั่วยาม ระหว่างนั้นก็เจียดเวลามาทานอาหารเที่ยง
ตอนบ่ายโจวโม่เสวียนได้ยินหลี่หรูอี้วางแผนว่าจะไปที่จวนสวี่อีก
นี่เป็ครั้งที่สองที่หลี่หรูอี้มาจวนสวี่
บุตรชายคนโตของแม่ทัพสวี่เอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “พอท่านพ่อข้ากินโอสถของท่านหมอเทวดาน้อยก็นอนหลับไปสองตื่นใหญ่ ตอนนี้ก็ยังหลับอยู่ พวกเราไม่กล้าไปรบกวนขอรับ”
นายผู้เฒ่าสวี่น้ำตานองกล่าวว่า “ท่านหมอเทวดาน้อยเป็หมอเทวดาจริงๆ เมื่อบุตรชายของข้าได้กินยาก็นอนหลับกรนเสียงดัง และพอตื่นขึ้นมาก็จำข้าได้แล้ว”
หลี่หรูอี้บอกว่า “ในเมื่อผู้ป่วยยังหลับอยู่ เช่นนั้นข้าก็จะรออยู่ที่นี่ก่อน”
เจียงชิงอวิ๋นเห็นหลี่หรูอี้มีสีหน้าอ่อนล้า จึงให้คนจวนสวี่จัดห้องพักแขกให้นางพักผ่อน
คนจวนสวี่ย่อมจัดห้องพักแขกที่ดีที่สุดให้กับนาง
หลี่หรูอี้หลับไปครั้งนี้ก็นอนไปจนถึงยามสายัณห์ ได้ยินบ่าวของจวนสวี่บอกว่า แม่ทัพสวี่ตื่นขึ้นมาเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน เวลานี้กำลังทานอาหาร นางจึงรีบไปหา
นายผู้เฒ่าสวี่นั่งอยู่ข้างแม่ทัพสวี่ที่กำลังทานอาหารเฉกสุนัขป่ากลืนพยัคฆ์ขย้ำ[1] บอกเขาอย่างจริงจังว่า “ลูกเอย นี่คือท่านหมอเทวดาน้อย ที่อาการเจ็บป่วยของเ้าดีขึ้นได้ล้วนเพราะได้ท่านหมอเทวดาน้อยรักษาให้”
แม่ทัพสวี่ช้อนตาขึ้นมองหลี่หรูอี้ แววตาของเขาดูปกติกว่าก่อน ไม่ได้เป็สายตาประหลาดน่าตื่นใเหมือนวานนี้แล้ว
ทุกคนนึกว่าหลี่หรูอี้จะสอบถามอาการกับแม่ทัพสวี่ ผู้ใดจะรู้ว่านางกลับไม่ได้ถามแม้สักคำ หลังจากจับชีพจรให้แม่ทัพสวี่และสั่งยาไว้ให้สิบวัน กับสูตรอาหารสิบวัน ก็บอกว่าจะกลับแล้ว
นายผู้เฒ่าสวี่ใจเต้นไม่เป็ส่ำ ขณะเดินตามทุกคนออกมาข้างนอก จนเมื่อออกถึงลานเรือนแล้ว จึงถามว่า “ท่านหมอเทวดาน้อยอาการของบุตรชายข้าเป็เช่นใดบ้าง”
“อารมณ์ของผู้ป่วยสงบลงชั่วคราว จำเป็ต้องพักฟื้น รอจนสภาพประสาทกลับมาเป็ปกติสักหน่อย ซึ่งก็คืออีกเจ็ดวันให้หลัง ข้าจะกลับมาตรวจให้อีกคราขอรับ”
โจวโม่เสวียนถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย เหตุใดวันนี้ท่านจึงไม่มีคำใดสอบถามท่านลุงสวี่เล่า”
“ผู้ป่วยไม่อาจทนรับกับแรงกระตุ้นได้ หากกระหม่อมไปถามเขาในยามนี้ และพูดผิดไปเพียงประโยคเดียว เขาก็จะถูกกระตุ้นจนอาการกำเริบขึ้นมาได้ กระหม่อมจะรออีกเจ็ดวันให้หลัง ลองดูว่าอาการของเขาฟื้นตัวขึ้นก่อน ค่อยทำการรักษาในขั้นต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่แท้เป็ดังนี้เอง”
หลี่หรูอี้เห็นว่าคนตระกูลสวี่พากันมีสีหน้าร้อนใจ จึงเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวว่า “วานนี้ข้าก็บอกไปแล้วว่า ผู้ป่วยจำเป็ต้องใช้เวลาสองปี จึงจะกลับมาเป็ปกติ จากวานนี้ถึงวันนี้ก็เพิ่งผ่านไปหนึ่งวันเท่านั้น พวกท่านอย่าเพิ่งใจร้อน โดยเฉพาะตอนที่อยู่ต่อหน้าผู้ป่วย อย่าได้แสดงออกถึงความร้อนใจเป็กังวล”
คนข้างในขุ่นมัว คนข้างนอกแจ่มชัด[2] โจวโม่เสวียนกับเจียงชิงอวิ๋น และคนอื่นๆ พากันพยักหน้า คิดว่าหลี่หรูอี้พูดจามีเหตุผล เป็ตระกูลสวี่ที่ใจร้อนเกินไป
นายผู้เฒ่าสวี่ทอดถอนใจว่า “เป็ข้าที่ใจร้อน เป็ข้าละโมบเอง”
สวี่เซิ่งนั่วพึมพำว่า “ข้าหวังว่าท่านปู่จะหายโดยเร็ว จะได้มาขี่ม้าล่าสัตว์กับข้าอีก”
หลี่หรูอี้กำชับไปอีกครั้งว่า “ผู้ป่วยโรคประสาทไม่เหมือนกับผู้ป่วยอื่นๆ พวกเขาจำเป็ต้องให้คนในครอบครัวใส่ใจดูแลมากขึ้นหลายเท่า พวกท่านจะต้องมีความอดทน”
โจวโม่เสวียนมองไปรอบๆ เขามองไปยังทุกคนแล้วเอ่ยเสียงดังว่า “พวกท่านต้องจดจำคำที่ท่านหมอเทวดาน้อยเอ่ยเอาไว้ในใจและต้องทำตามให้ดีๆ เชื่อว่าหลังจากนี้สองปี ท่านลุงสวี่จะต้องหายเป็ปกติเช่นแต่ก่อนเป็แน่”
หลี่หรูอี้บอกว่า “ผู้ป่วยฝึกวรยุทธ์มาแต่เล็ก ฉะนั้นขอเพียงประสาทกลับมาเป็ปกติ ร่างกายก็จะกลับมาเป็ปกติตามไปด้วย อีกสองปีก็ยังจะควบม้าท่องทุ่งหญ้าได้เช่นเดิม”
เมื่อได้ยินถ้อยคำ คนตระกูลสวี่จึงตั้งตารอแม่ทัพสวี่ในอีกสองปีข้างหน้าอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม
“วานนี้พวกท่านรีบร้อนจากไป แม้แต่อาหารก็ยังไม่ได้ทาน วันนี้จะต้องรับอาหารเย็นก่อนค่อยไปนะขอรับ”
“ท่านชาย คุณชายเจียง และท่านหมอเทวดาน้อย ล้วนเป็ผู้มีพระคุณใหญ่หลวงต่อจวนของเรา แม้นจวนเราจะไรู้เาเงินูเาทอง แต่อาหารหนึ่งโต๊ะก็ยังมีอยู่นะขอรับ”
คนตระกูลสวี่พยายามรั้งตัวโจวโม่เสวียนทั้งกลุ่มไว้ด้วยความกระตือรือร้น พวกเขาจึงปล่อยให้เป็ไปตามปกติและอยู่ทานอาหารเย็นด้วยเสียเลย
บนโต๊ะอาหาร นายผู้เฒ่าสวี่สนทนากับหลี่ซานสองสามประโยค และรู้ว่าบ้านสกุลหลี่อาศัยอยู่ในอำเภอฉางผิง เมื่อนั้นจึงตัดสินใจเื่หนึ่งอยู่ในใจ
หลังจากทานอาหารเสร็จ โจวโม่เสวียนยังคงขี่ม้ากลับเมืองเยี่ยนเหมือนเมื่อคืนวาน เจียงชิงอวิ๋นให้คนไปส่งคนสกุลหลี่ทั้งสามคนกลับหมู่บ้านหลี่
ดวงเดือนลอยเคลื่อนขึ้นสูงแล้ว เจียงชิงอวิ๋นเพิ่งกลับถึงจวนเจียง ลุงโจวก็เข้ามารายงาน ทั้งยิ้มตาหยีว่า จวนของแม่ทัพทั้งห้าท่านล้วนนำของกำนัลมามอบให้จวนเจียง ซึ่งแน่นอนว่า มีของมอบให้หลี่หรูอี้อีกชุดหนึ่งด้วย และรบกวนจวนเจียงส่งต่อให้สกุลหลี่อีกครั้ง
เจียงชิงอวิ๋นเอื้อมมือออกไปรับรายการของกำนัลมาดู รวมกันแล้วประมาณห้าร้อยกว่าตำลึง “พวกเขาก็ฉลาดนัก รู้ว่าสกุลหลี่ไม่อยากให้เื่ราวเอิกเกริก จึงได้นำของกำนัลมาส่งไว้กับข้าที่นี่”
ลุงโจวหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ตระกูลสวี่ยังมอบที่นาดีห้าสิบหมู่แก่ท่านหมอเทวดาน้อยด้วย และที่นาดีนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอนี่เองขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นพยักหน้าช้าๆ นายผู้เฒ่าสวี่เป็ผู้มีความสามารถและยังรู้จักจัดการเื่ต่างๆ นานา หาไม่แล้วตระกูลของเขาก็จะไม่สามัคคีปรองดองกันทั้งหมดเช่นนี้ เื่นี้เขาจำเป็ต้องเรียนรู้ไว้ จึงสั่งไปว่า “ลุงฝูวันพรุ่งให้ท่านนำของกำนัลไปส่งที่บ้านสกุลหลี่”
ลุงฝูรับคำ รอจนเจียงชิงอวิ๋นออกจากโถงใหญ่ จึงอธิบายกับลุงโจวและป้าหลิวว่า “อาการเจ็บป่วยของท่านแม่ทัพสวี่นั้นจำเป็ต้องให้ท่านหมอเทวดาน้อยรักษาถึงสองปี อาการหนักหนากว่าท่านแม่ทัพอีกสี่ท่านมากนัก ตระกูลสวี่จึงได้กำนัลที่นาดีเพิ่มมาให้อีก”
ป้าหลิวนึกถึงบุตรชายทั้งหกคนของสกุลหลี่ ก็เอ่ยด้วยความกังวลว่า “ที่นาดีเหล่านี้จะได้กลายมาเป็สินติดตัวยามท่านหมอเทวดาน้อยออกเรือนหรือไม่”
ลุงโจวส่ายหน้า “ยามนี้ต้องใช่แน่ แต่วันหน้าเมื่อเหล่าบุตรชายสกุลหลี่แต่งงานมีภรรยาก็พูดยากแล้ว”
ลุงฝูจึงบอกว่า “เช่นนั้นวันพรุ่งข้าจะแอบมอบโฉนดที่ดินให้แก่ท่านหมอเทวดาน้อยอย่างลับๆ”
เจียงชิงอวิ๋นเข้าไปในห้องหนังสือ ดื่มน้ำขิงไปถ้วยหนึ่ง รอจนจิตใจค่อยๆ สงบลงแล้วจึงเปิดหนังสือออกอ่าน
ปีใหม่แท้ๆ แต่มีเพียงยามที่เขาอยู่เรือนผู้อื่น จึงสามารถััได้ถึงบรรยากาศของปีใหม่
บางคราเขาก็รู้สึกโดดเดี่ยว แต่เมื่อคิดดูว่ายังมีบ่าวชราอีกสามคนก็รู้สึกว่าตนยังมีคนอยู่ด้วย
อ่านหนังสือไปเกือบครึ่งชั่วยาม เขาก็ลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถขยับคอ เอว และขา ตามที่หลี่หรูอี้บอกไว้
เขาย้อนนึกถึงจวนทั้งห้าที่ไปมาในสองวันนี้ ยามที่เห็นแม่ทัพทั้งห้าล้วนถูกโรคร้ายรุมเร้าเกือบตาย หากไม่ได้หลี่หรูอี้สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือ ความตาย และคนในครอบครัวของพวกเขาก็จะต้องตกอยู่ในความเศร้าโศกที่สุด
“จะเป็สิ่งใดก็อย่าได้เจ็บป่วย”
“ท่านมองข้าทำสิ่งใด บนใบหน้าของข้าไม่ได้มีดอกไม้สักหน่อย”
“ท่านผอมเกินไปแล้ว เป็เช่นนี้ไม่ได้”
“ท่านออกกำลังน้อยเกินไป ต้องเคลื่อนไหวตัวให้มากๆ วิ่งไม่ไหวก็เดินเอา เดินเอาคงได้กระมังเ้าคะ”
“ของกินชนิดใหม่ที่ทำมาครานี้ถูกปากท่านหรือไม่เ้าคะ”
“ขอบคุณที่ท่านไปเป็เพื่อนข้าตรวจรักษาผู้ป่วยที่จวนแม่ทัพเ้าค่ะ”
ถ้อยคำเหล่านี้ที่หลี่หรูอี้เคยเอ่ย เื่ที่นางเคยทำ ส่วนใหญ่แล้วคล้ายมาจากความเป็ห่วงเป็ใยที่นางมีต่อเขา ซึ่งครานี้หากมิใช่เพราะเขา หลี่หรูอี้ก็จะไม่ออกไปรักษาที่จวนแม่ทัพ
หลี่หรูอี้ทำเื่นานาตั้งมากมาย แต่เจียงชิงอวิ๋นทำได้แค่เพียงชี้แนะเื่การเรียนให้หลี่เจี้ยนอันสี่พี่น้องเท่านั้น
เจียงชิงอวิ๋นนึกถึงเด็กหนุ่มฝาแฝดสองคู่ของสกุลหลี่ พวกเขาหน้าตาไม่เหมือนกัน นิสัยก็ต่างกัน แต่กลับตั้งใจร่ำเรียนอย่างยิ่ง พลันคิดในใจว่า เช่นนั้นข้าก็ต้องทำเื่นี้ให้ดี ให้พวกของเจี้ยนอันสอบเข้าสำนักศึกษาให้ได้เสียก่อน
ภายใต้แสงเทียน เจียงชิงอวิ๋นกำลังก้มตัวลงเขียนหนังสือ และหากขยับเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะพบว่า สิ่งที่เขากำลังเขียนก็คือ ข้อสอบหลายข้อ
วันที่สิบเดือนหนึ่ง เกี้ยวเ้าสาวสีแดงถูกหามเข้าไปในหมู่บ้านหลี่พร้อมเสียงประทัดดังสนั่นจนหูแทบหนวก
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] สุนัขป่ากลืนพยัคฆ์ขย้ำ หมายถึง กินอย่างตะกละตะกลาม
[2] คนข้างในขุ่นมัว คนข้างนอกแจ่มชัด หมายถึง คนที่อยู่ในสถานการณ์เองมักมองเห็นไม่ชัดเจน แต่คนที่มองจากข้างนอกจะเห็นได้ชัดเจนกว่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้