อีกด้านหนึ่งของทะเลทราย
ห้าคนของสำนักโลหิตที่มีอวี๋ถงเป็ผู้นำกำลังนั่งอยู่บนเนินทรายด้วยความสงบราวกับกำลังรอคอยอะไรอยู่
อวี๋ถงที่สวมอาภรณ์สีแดงสดในมือเรียวยาวกำลังประคองเถาสวิน[1]ชิ้นหนึ่งริมฝีปากอวบอิ่มแดงปลั่งเป่าลงไปเป็จังหวะเบาๆ
ที่น่าแปลกก็คือไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาจากเถาสวิน
ห่างออกไปหลายสิบลี้ในมือโม่ซีแห่งสำนักภูตผีก็มีเถาสวินในลักษณะเดียวกัน เขาเอาเถาสวินนั่นมาวางแนบหูไว้เป็ระยะๆ คล้ายกำลังตั้งใจฟังอะไรบางอย่าง
เหมือนว่าเขากำลังแยกแยะทิศทางจากเถาสวินชิ้นนั้น
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ภายใต้การนำของเขาลูกศิษย์อีกสี่คนของสำนักภูตผีก็มาถึงจุดที่อวี๋ถงพักอยู่
และเวลานี้อวี๋ถงก็ได้หยุดเป่าเถาสวินนั่นไปนานแล้ว
“ผลการต่อสู้ของพวกเ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
หลังจากที่โม่ซีมาถึงก็สั่งความให้อีกสี่คนที่เหลือหาที่นั่ง ส่วนเขาเดินไปหยุดอยู่ข้างกายอวี๋ถงใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนมองอวี๋ถงอย่างลึกล้ำ
ในส่วนลึกของดวงตาเขาแฝงเร้นไว้ด้วยกระหายความใคร่ที่ไม่ควรเอ่ยถึง
“ผู้ประลองของสำนักหลิงอวิ๋นอยู่ที่ทะเลทรายร้างพวกเขาฆ่ากิ้งก่าดินตัวนั้นได้ก่อนหน้าที่จะต่อสู้กันพวกเราสังหารคนของพวกเขาไปสองคนหลังจากที่พวกเขาต่อสู้กับกิ้งก่าดินเสร็จ พวกเราก็ฆ่าคนไปอีกสองคน”อวี๋ถงสีหน้าเ็า“สำนักหลิงอวิ๋นยังเหลือคนที่รอดชีวิตอีกหกคนเดิมที... พวกเราสามารถสังหารพวกเขาได้หมด”
“มีเหตุอันใดรึ?” โม่ซีขมวดคิ้ว
“ถึง่เวลาสำคัญ คนของหอหลิงเป่าตามมาทัน” อวี๋ถงแค่นเสียงหนึ่งที “หอหลิงเป่ามาจากเกาะน้ำแข็งเป็เพราะพวกเ้าไม่ได้จัดการพวกมันให้สิ้นซากถึงได้ทำให้พวกเราพลาดแบบนี้”
“อวี๋ถง! ในเกาะน้ำแข็งพวกเราไม่เพียงแต่เจอคนของหอหลิงเป่ายังเจอคนของหุบเขาเทาด้วย!” ตู้คุนตวาดเสียงดัง
หากเนี่ยเทียนอยู่ที่นี่จะต้องมองออกทันทีว่าตู้คุนก็คือคนผู้นั้นที่สวมรอยเป็คนของหุบเขาเทา
โม่ซีโบกมือบอกเป็นัยว่าไม่ให้ตู้คุนขัดจังหวะจากนั้นจึงกล่าวว่า “หุบเขาเทาสิบคนพวกเราสังหารไปแปดคนเหลือเพียงหยวนเฟิงและน้องชายของมันเท่านั้นที่หนีไปได้ ส่วนฝ่ายของหอหลิงเป่าพวกเราก็ฆ่าไปได้คนหนึ่งน่าเสียดายที่พวกเราใช้เวลามากมายไปตามหาหยวนเฟิงไม่ได้จัดการหอหลิงเป่าไปพร้อมกันด้วย”
“อ้อ” อวี๋ถงตอบรับอย่างไม่แยแส “ตอนนี้หอหลิงเป่ารวมตัวกับสำนักหลิงอวิ๋นแล้ว ข้าสังเกตเห็นว่าพวกเขากำลังรีบเดินทางไปที่เขตูเาไฟ”
“ทางฝ่ายของเขตูเาไฟคนของอารามเสวียนอู้น่าจะกำลังล่าสัตว์อยู่พวกเราต้องรีบลงมือให้เร็วที่สุดอย่าให้พวกเขารวมตัวกับอารามเสวียนอู้ได้”
โม่ซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “สำนักหลิงอวิ๋นมีหกคนหากหยวนเฟิงของหุบเขาเทารวมตัวกับพวกเขาก็เท่ากับแปดคน ตอนที่ตู้คุนเจอกับหอหลิงเป่าเป็ครั้งสุดท้ายพวกเขามีกันสิบสามคนตู้คุนฆ่าไปคนหนึ่งพวกเขาก็ยังเหลืออีกสิบสองคน”
“หากภายหลังคนของหอหลิงเป่าไม่ได้าเ็หรือล้มตายเมื่อบวกกับหอหลิงเป่าและหุบเขาเทาแล้วอีกฝ่ายจะมียี่สิบคนพอดี”
“ส่วนพวกเราสองฝ่ายรวมกันมีเพียงสิบคน”
พูดมาถึงตรงนี้เขาก็แสยะปากยิ้มอย่างชั่วร้าย “ยี่สิบคนนั้นหลายคนล้วนไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ขอแค่พวกเราตามไปทันน่าจะกำจัดพวกเขาได้ง่าย”
เขาพูดไปพลางลูบคลำกระดูกนิ้วมือบนลำคอของตัวเอง
อวี๋ถงมองแวบเดียวก็พบว่าสร้อยกระดูกบนลำคอของเขายาวขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน
นี่หมายความว่าตอนที่อยู่ในเกาะน้ำแข็งเขาสังหารศัตรูระดับเดียวกันไปได้อีกหลายคน
“หอหลิงเป่ามีคนหนึ่งชื่อว่าเนี่ยเทียนเ้ารู้ที่มาของเขาหรือไม่?” อวี๋ถงถามขึ้นมากะทันหัน
“เนี่ยเทียนรึ?” โม่ซีส่ายหน้าถามด้วยความสงสัยว่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหตุใดเ้าถึงให้ความสนใจกับคนผู้นี้เป็พิเศษเล่า?”
“ข้าาเ็เพราะเขา” ั์ตาอวี๋ถงเย็นเยียบ
โม่ซีมองนางด้วยสายตาแปลกประหลาด “ด้วยฝีมือของเ้าต่อให้เป็อันอิ่งแห่งหอหลิงเป่าก็ยังถูกเ้าจับมาเล่นในกำมือได้อย่างง่ายดาย ลำพังแค่เด็กหนุ่มคนเดียวที่ไม่รู้ชื่อจะทำร้ายเ้าจนาเ็ได้เชียวหรือ? เ้าไม่ทันระวังตัวหรือไม่?”
อวี๋ถงปั้นหน้าเคร่งไม่ตอบคำถาม
“เ้าเนี่ยเทียนนั่นข้าพอจะจำได้” เวลานี้ตู้คุนก็พูดขึ้นเสียงเบา
โม่ซีและอวี๋ถงหันไปมองเขาพร้อมกัน
“ข้าสวมอาภรณ์ของหุบเขาเทาปลอมตัวเข้าไปในกลุ่มคนของหอหลิงเป่ากำลังคิดจะฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาไม่ทันตั้งตัวไล่ฆ่าพวกเขาไปทีละคนก็เป็เพราะเ้าเนี่ยเทียนนี่แหละที่มองออกถึงความผิดปกติ จึงเป็ฝ่ายลงมือกับข้าก่อนหากไม่ถูกเขาขัดจังหวะคราวนั้น อย่างน้อยข้าก็ต้องข้าลูกศิษย์ของหอหลิงเป่าได้สามคน”
ตู้คุนหรี่ตาลง ั์ตาเผยความเหี้ยมโหดกล่าวอย่างดุดัน
“เนี่ยเทียนผู้นั้น... ค่อนข้างน่าสนใจ” โม่ซีพยักหน้าเบาๆ จดจำชื่อนี้ไว้ในใจจากนั้นก็กล่าวกับอวี๋ถงว่า “รอให้ตามพวกเขาทันเมื่อไหร่ข้าจะจับเ้าเด็กเนี่ยเทียนนั่นมาเป็ๆ ให้เ้าใช้เวทหลอมเืมาหลอมร่างเขาเพื่อให้เ้าได้ระบายความโกรธแค้น”
“หากข้าจะฆ่าคนผู้นั้น ข้าจะลงมือด้วยตัวเองไม่ต้องให้เ้าเปลืองแรง”อวี๋ถงไม่รับน้ำใจ
“หึหึ! ข้าไม่สนว่าเ้าจะคิดอย่างไร เอาเป็ว่าข้าเองก็หมายหัวเ้าเนี่ยเทียนนั่นไว้แล้ว ข้าจะจับตัวเขามาให้ได้ก่อนเ้า พอถึงเวลาหากเ้าไม่้าข้าก็จะฉีกกระชากเขาเป็ชิ้นๆ” โม่ซีหัวเราะเสียงดัง
“ไปกันเถอะอย่ามัวเสียเวลาอีกเลยไปสกัดกั้นพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะออกไปจากทะเลทรายอย่าให้พวกเขารวมตัวกับอารามเสวียนอู้ได้” อวี๋ถงสีหน้าไร้อารมณ์
......
และเวลานี้เองเนี่ยเทียนที่อยู่ในทะเลทรายร้าง ก็เริ่มสวาปามอาหารอีกครั้ง
หลังจากที่หยวนเฟิงและอวิ๋นซงมาถึงพวกเขาทั้งกลุ่มเดินทางกันมาได้สองวันแล้ว
สองวันมานี้ทุกคนเร่งรีบเดินทางอยู่ตลอดเวลา่เวลาพักผ่อนนั้นก็สั้นเหลือเกิน
พวกเขา้าออกจากทะเลทรายร้างให้ได้เร็วที่สุดเพื่อไปที่เขตูเาไฟและรวมตัวกับพวกเจิ้งปินแห่งอารามเสวียนอู้
เนื่องด้วยไม่มีเวลามากพอในการฝึกบำเพ็ญตบะ แผนการที่เนี่ยเทียนคิดจะใช้เนื้อกิ้งก่าดินช่วยให้เหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตหลอมลมปราณที่แปดภายในสิบวันเกรงว่าคงยากที่จะสำเร็จได้
กว่าจะหยุดพักได้ไม่ใช่เื่ง่าย แน่นอนว่าเนี่ยเทียนย่อมไม่ยินดีเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เขารีบหยิบเอาเนื้อแห้งของกิ้งก่าดินออกมาแล้วกินเข้าไปด้วยเวลาที่เร็วที่สุด
เขากินเข้าไปมากพอหลายสิบจินเมื่อเขารู้สึกว่าร่างกายแบกรับไม่ไหวอีกต่อไปเขาถึงได้หยุดลง
เขารีบโคจรคาถาหลอมลมปราณทันที
ขณะที่เขากำลังใช้คาถาหลอมลมปราณมาเปลี่ยนแปลงมหาสมุทริญญา พลังงานเ่าั้ที่ไม่สามารถหลอมรวมเข้าไปในมหาสมุทริญญาได้ในระยะเวลาอันสั้นก็แผ่ออกไปตามเืเนื้อของเขาอีกครั้ง
ไม่นานนักเขาก็รู้สึกถึงความร้อนรุ่มไปทั้งตัวเหงื่อมากมายไหลซึมออกมาจากรูขุมขน
เช่นเดียวกันในหยาดเหงื่อเ่าั้ที่ไหลออกมานอกร่างต่างก็ปะปนไว้ด้วยสิ่งสกปรกขุ่นมัวเช่นเดิม
ผ่านไปพักใหญ่เขาจึงลืมตาขึ้นใช้จิตรับััพบว่ามหาสมุทริญญาขยายออกไปเกือบหนึ่งส่วนจริงดังคาด
เขาแผ่กระแสจิตออกไปรอบด้านอีกครั้งโดยใช้ตัวเองเป็จุดศูนย์กลางพบว่าระยะที่พลังจิตแผ่ปกคลุมไปนั้นเพิ่มมากขึ้นประมาณเจ็ดสิบแปดเมตร
“ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่นัก”
เขาขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิดถึงรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนรู้สึกได้ว่าเหมือนรอบๆ นี้ พลังงานที่เกิดขึ้นในช่องท้องของเขาจะลดน้อยลงไปหลายส่วน
“พลังงานที่ซุกซ่อนอยู่ในสัตว์วิเศษน่าจะเผาผลาญลงไปอย่างต่อเนื่องเนื้อสัตว์วิเศษที่เพิ่งตายไปมีพลังงานสมบูรณ์แบบที่สุดและก็ถูกดูดซับเอาไปได้ง่ายที่สุด”
“หลังจากที่สัตว์วิเศษตายไป เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ พลังงานในเืเนื้อของมันก็จะค่อยๆ สลายหายไปเช่นกัน”
“เมื่อเอาเนื้อสัตว์วิเศษมาทำเป็เนื้อแห้งก็จะยิ่งทำให้พลังงานในเืเนื้อเสียหาย”
“...”
เขาพยายามเฝ้าหาสาเหตุอย่างละเอียดยิบ
อันที่จริงตอนที่ยังอยู่เกาะน้ำแข็งเขาก็รู้แล้วว่าพลังงานที่แฝงเร้นอยู่ในเนื้อสัตว์วิเศษจะหายไปตามกาลเวลา
ทว่าเนื่องจากเกาะน้ำแข็งนั้นเป็สถานที่ที่เย็นสุดขั้ว เนื้อสัตว์วิเศษเ่าั้จึงยังรักษาความสดใหม่เอาไว้ได้ตลอดเวลา นี่ทำให้การไหลออกของพลังงานในเนื้อไม่ได้มากนัก
เมื่อมาถึงทะเลทรายร้างเขาจึงััได้อย่างชัดเจนว่าความเร็วในการไหลออกของพลังงานในเนื้อสัตว์วิเศษมีเพิ่มมากขึ้น
หลังจากที่ทุกคนเอาเนื้อสัตว์วิเศษมาทำเป็เนื้อแห้งก็เหมือนว่าจะทำให้พลังงานในเนื้อสัตว์สูญเสียไปเร็วมากยิ่งขึ้น
เมื่อพอจะเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว พอเขาหันไปมองเนื้อกิ้งก่าดินแห้งหลายร้อยจินที่พกมาด้านหลังจึงรู้สึกปวดหัวขึ้นมากะทันหัน
เขาตระหนักได้ว่าคิดจะใช้เนื้อกิ้งก่าดินมาช่วยเพิ่มพละกำลังให้แข็งแกร่งขึ้นเขาจำเป็ต้องรีบกินเนื้อพวกนั้นให้หมดโดยเร็วที่สุด
อีกทั้งเขาต้องหยุดเดินทางและฝึกบำเพ็ญตบะทั้งวันทั้งคืนอย่างต่อเนื่อง
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นเขาถึงจะสามารถใช้เนื้อกิ้งก่าดินมาเพิ่มขอบเขตการบำเพ็ญตบะให้ถึงขั้นแปดได้ใน่ระยะเวลาอันสั้น
ยิ่งถ่วงเวลาออกไปเท่าไหร่ผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากเนื้อกิ้งก่าดินก็ยิ่งลดน้อยลงเท่านั้น
และเวลานี้คนทั้งกลุ่มที่มีอันอิ่งและเจียงหลิงจูเป็ผู้นำก็คิดแต่อยากจะออกจากทะเลทรายร้างโดยเร็วที่สุดเพื่อจะรีบไปรวมตัวกับฝ่ายของอารามเสวียนอู้
คนเ่าั้ย่อมไม่มีทางลดความเร็วในการเดินทางเพื่อให้เขาได้บำเพ็ญตบะอย่างแน่นอน
หากไม่จากไปเพียงลำพังหาพื้นที่รกร้างแห่งหนึ่งในทะเลทรายแห่งนี้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเจอคนของสำนักภูตผีและสำนักโลหิตบำเพ็ญตบะทั้งวันทั้งคืนเพื่อฝ่าทะลุขั้นแปดให้ได้โดยเร็วที่สุด
หรือไม่ก็พลาดโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้ไปรวมตัวอยู่กับทุกคนตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
สีหน้าเขาเปลี่ยนมาเป็สงบนิ่งเกินคาดเดา หลังจากครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานเขาพลันลุกพรวดขึ้นยืนกล่าวว่า “ทุกท่านข้าต้องขออภัยด้วยข้าไม่สามารถเดินทางไปหาอารามเสวียนอู้กับพวกเ้าได้แล้ว”
-----
[1] เถาสวิน(陶埙)เครื่องดนตรีที่ทำด้วยดินในสมัยโบราณลักษณะคล้ายกับไข่ไก่มีรูทั้งหมดหกช่องด้วยกัน