ในกลุ่มคนมีจวงเหิงซิ่งที่อาการาเ็หายดีแล้วและเฉิ่นลั้งที่ยังไม่หายดีรวมไปถึงหวินยู่ก็มาด้วยโดยทั้งสามคนต่างก็มีสีหน้าที่เหมือนอดใจรอให้ข้าพ่ายแพ้ต่อโอวเย่หยิงไม่ไหว
“แม**งเอ๊ย! ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเ้าจะอวดดีได้สักแค่ไหน!”
จวงเหิงซิ่งมีสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเคียดแค้นพูดขึ้นมา“เ้าคิดว่าพี่สาวจะปกป้องเ้าได้นานแค่ไหน คอยดูเถอะพลังของโอวเย่หยิงกับศิษย์ในสำนักจวี๋ฉีอย่างพวกเรามันคนละชั้นกัน!”
เฉิ่นลั้งเองก็แสะยิ้มก่อนจะพูดขึ้นมา“ขนาดยังไม่ทันเริ่มข้าก็นึกสภาพของมันตอนที่คุกเข่าขอให้โอวเย่หยิงไว้ชีวิตออกแล้วล่ะ!”
หวินยู่ได้แต่เงียบไม่ยอมพูดจา
จริงๆแล้วไม่ว่าตระกูลจวงหรือตระกูลหวินต่างก็เป็ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งพวกนั้นไม่ได้กลัวพี่เสวียนยินเลยสักนิดเพราะถึงนางจะแข็งแกร่งแต่ก็ตัวคนเดียวต่างจากคนพวกนั้นที่เื้ัเป็เหล่าผู้มีฝีมือดีตั้งมากมาย!
…
กระบี่ธารามรกตในมือของโอวเย่หยิงแผ่พลังที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆออกมา ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่นพร้อมกับพลังที่พุ่งทะยานขึ้นมาจากพื้นดินบรรยากาศโดยรอบเย็นเยือกราวกับอยู่ในดินแดนน้ำแข็งก่อนจะมีเทพัพุ่งออกมานึกไม่ถึงว่าเวลาเพียงสามวันเขาจะฝึกฝนระดับกลางของวิชาลมหายใจัขั้นที่แปดได้สำเร็จ!พลังระดับสมบูรณ์ของขั้นเทวิญญาแผ่ซ่านออกมาอย่างกล้าแกร่งจนแทบหายใจไม่ออก
“ว้าว...พลังของเขาแข็งแกร่งมากจริงๆ”
“ก็เพราะเขาคือโอวเย่หยิงที่อยู่ในสิบสองอันดับแรกของสำนักชั้นในอย่างสำนักสีเลี้ยนยังไงล่ะ!”
“โอวเย่หยิงต้องชนะ!”
“โอวเย่หยิงเขาบำเพ็ญจนเข้าขั้นเทวิญญามาเกือบสามเดือนแล้วแถมพลังหนึ่งขั้นการบำเพ็ญก็เท่ากับหนึ่งฟากฟ้าขนาดนั้นปู้อี้เชวียนที่อยู่ในขั้น์จะสู้ได้ยังไง? ข้าว่าที่เขาทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะฝึกกับคนเก่งให้ตัวเองแข็งแกร่งแต่เป็การไม่รู้จักเจียมตัวเสียมากกว่า!”
ผู้คนรอบข้างส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายกันจ้าละหวั่นชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร
“ข้าไม่มีทางออมมือให้เ้าเด็ดขาด!”แววตาของโอวเย่หยิงบ่งบอกถึงความดุร้าย เขาไม่มีทางออมมือให้ข้าแน่นอนอยู่แล้วเพราะพวกคนเก่าๆ ต่างก็ไม่มีใครยอมให้คนที่เพิ่งจะแข็งแกร่งได้โงหัวในสำนักหมื่นิญญาแห่งนี้อยู่แล้ว
เพราะการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของพวกเขาคือการเหยียบข้าให้จมดินยังไงล่ะ
แต่ข้าไม่มีทางจะยอมง่ายๆ หรอกนะ!
ข้าเดินขึ้นหน้าไปสามก้าวก่อนที่กระบี่คมจันทราจะเปล่งแสงออกมาตามพลังที่ข้าแผ่ออกไปพลังลมหายใจัระดับเซียนขั้นที่แปดถูกปล่อยออกมาแล้วแข็งตัวอยู่ในอากาศทำให้ใบไม้ที่ลอยปลิวอยู่เมื่อครู่ลอยตัวอยู่ท่ามกลางอากาศไม่ขยับ
“พระเ้า...”
คนจำนวนมากที่เพิ่งจะเห็นพลังของข้าต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้าเพราะมันไม่ใช่พลังที่ศิษย์ของสำนักจวี๋ฉีควรจะมี...
แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากข้าได้ปล่อยพลังเคล็ดวิชาาออกมาพลังที่แท้จริงของข้าก็เผยออกมาทีละเล็กทีละน้อยพลังอันแข็งแกร่งของข้าแผ่ซ่านออกไปทั่วสารทิศจนชุดของสำนักที่สวมอยู่ปลิวไปตามแรงพลังและนี่ก็คือพลังระดับสมบูรณ์ของขั้นเทวิญญานั่นเอง!
ตอนนี้บรรยากาศโดยกลายเป็เสียงลมหายใจที่บ่งบอกถึงความตะลึงออกมาแทน...
“พระเ้า...เป็ไปได้ยังไงกัน? เ้านี่มันเพิ่งเข้ามาในสำนักไม่เท่าไรเองทำไมถึง...ทำไมถึงพัฒนาจากขั้นเบิกิญญาจนถึงขั้นเทวิญญาแล้วล่ะ!?”
“แถมมันยังเป็ระดับสมบูรณ์ของขั้นเทวิญญาอีกต่างหาก...”
“พลังของเขาแข็งแกร่งไม่แพ้พลังของโอวเย่หยิงเลยนะ!”
...
โอวเย่หยิงมีสีหน้าไม่สู้ดีนักก่อนจะตวาดขึ้นเสียงดังแล้วพุ่งเข้ามาด้วยกระบี่ธารามรกตของเขาที่เหมือนกับลูกธนูอันคมกริบและในเวลาเดียวกันก็มีพลังระลอกคลื่นน้ำที่แผ่ออกมาเพื่อป้องกันตัวเองด้วยเช่นกัน
ข้าจับตามองเขาอย่างไม่ละสายตาแล้วใช้พลังพร์การดูดกลืนวิเคราะห์การโจมตีของเขาอย่างชัดเจนก่อนจะตวัดกระบี่คมจันทราขึ้นมาสกัดกระบี่ของเขาอย่างไม่ต้องเปลืองแรง
หลังจากที่กระบี่ของเรากระทบกันจนเกิดเสียงดัง ตั้ง!ข้าก็เบนร่างกายเล็กน้อยเพื่อหลบพลังที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้เราสองคนอยู่ในท่าที่หันมามองหน้ากันอยู่ และพักเดียวข้าก็ซัดหมัดหนักๆเข้าไปอย่างรวดเร็ว
พลังสายฟ้าอรหันต์!
ปั้ง!
เสียงจากการปะทะกันของพลังดังขึ้นก่อนที่เราทั้งสองจะต้องถอยรุดไปคนละสามก้าวทว่าพลังที่ใช้ป้องกันของโอวเย่หยิงกลับเกิดเสียงดัง เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!แสดงให้เห็นว่าพลังสายฟ้าอรหันต์ของข้าได้แทรกซึมผ่านคลื่นน้ำเข้าไปยังตัวของเขาแล้ว
“หืม?”
เขาขมวดคิ้วเข้มเพราะนึกไม่ถึงว่าข้าจะมีพลังที่แปลกใหม่แบบนี้
“รนหาที่!”
เขาตวาดขึ้นเสียงดังแบบไม่ยอมรับการพ่ายแพ้ที่กำลังจะเกิดขึ้นเขาจึงยกกระบี่ขึ้นแล้วพุ่งมาทางข้าทันทีเป็เพราะความเดือดดาลจึงทำให้เขาไม่สนใจเพลงกระบี่ใดๆแต่กลับพุ่งเข้ามาด้วยพลังที่หมายจะกดดันข้าแทน
และนี่คือสิ่งที่ข้า้า!
ข้าใช้พลังส่วนมากส่งผ่านร่างกายออกไปยังเกราะรบเสี้ยวจันทรา แล้วยืนมองการโจมตีของโอวเย่หยิงไม่ขยับ
ดาบแรกพุ่งเข้าฟันลงมาที่หัวไหล่แต่เกราะรบของข้าก็ยังไร้ซึ่งการสั่นไหว
ดาบที่สองทำให้ข้ารู้สึกเจ็บเล็กน้อยแต่เกราะรบยังไร้ซึ่งรอยขีดข่วน
ดาบที่สามเริ่มทำให้เกราะรบของข้าเกิดรอยร้าวและแตกออกกระบี่ของเขาจึงฟันลงมาที่หัวไหล่อย่างจังทว่าการป้องกันในเนื้อแท้ของข้าก็ส่งผลให้กระบี่ของเขาต้องสะท้อนออกไปไกล
“เป็ไปได้ยังไงกัน?” โอวเย่หยิงพูดขึ้นขณะที่ถูกการสะท้อนกลับออกไปไกล
และสิ่งที่ทำให้ร่างกายของข้าแข็งแรงจนไม่มีผู้ฝึกฝนิญญาธรรมดาคนไหนจะเทียบได้ก็คือพลังของหญ้าิญญาเพลิงนั่นเอง
ขณะที่เขากำลังอ่อนแออยู่ข้าก็เข้าโจมตีอย่างรุนแรง โดยใช้กระบี่คมจันทราที่แฝงไปด้วยพลังของสายฟ้าฟาดฟันลงไปบนเกราะรบธารามรกตของเขาอย่างจัง
ปั้ง!
ถึงแม้คมกระบี่ของข้าจะแตกออกแต่เกราะรบของโอวเย่หยิงก็เกิดรอยร้าวออกมาทำให้พลังสายฟ้าไหลเข้าสู่ร่างกายจนเส้นผมของเขาชี้ฟูขึ้นมา
กลิ่นไหม้ที่ลอยออกมาบ่งบอกว่านี่คือจุดจบของพวกพลังน้ำเมื่อเจอกับสายฟ้า!
ข้าใช้กระบี่คมจันทราฟันลงไปอีกครั้งจนเกิดเสียงดังก่อนที่ร่างของโอวเย่หยิงจะปลิวไปชนกับต้นไม้ใหญ่ขนาดสองคนโอบจนแหลกเป็สองท่อนผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันหลบหลีกเมื่อต้นไม้ใหญ่นั้นโค่นลงมา
วูบ!ข้าะโลอยขึ้นในอากาศพร้อมกับให้พลังทั้งหมดหลอมรวมไปอยู่ในกระบี่คมจันทราที่จับเอาไว้ด้วยมือขวาที่มีพลังอันแข็งแกร่งเพียงข้างเดียวก่อนจะทิ้งตัวลงไปหาเขาด้วยคมกระบี่แห่งชัยชนะ!
เขาวาดกระบี่ธารามรกตขึ้นมากลายเป็พลังน้ำที่เสมือนเป็เกราะป้องกันแต่พลังแค่นั้นมันจะไปพออะไร...
เกร๊ง!เสียงจากการกระทบกันของกระบี่ที่เกิดขึ้นทำให้กระบี่ธารามรกตของเขาหลุดมือปลิวออกไปและสลายหายไปในอากาศส่วนข้าเองก็รีบยั้งกระบี่ไว้ก่อนที่มันจะแสกหน้าคนที่นั่งอยู่
ถึงข้าจะยั้งกระบี่ไว้ได้แต่มันก็สลายจากดาบกลายเป็ฝ่ามือใหญ่ตบลงไปบนหน้าของโอวเย่หยิงจนจมลงไปกับดินโคลน...
...
ลานกว้างพลันเงียบงันลงเพราะผู้คนต่างกำลังตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าการประลองครั้งนี้เกิดขึ้นและจบลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งระยะเวลาการประลองดำเนินไปไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำแต่ผลของการประลองกลับตาลปัตรจากที่ทุกคนคิดเอาไว้มากเพราะนอกจากโอวเย่หยิงจะแพ้แล้ว เขายังแพ้อย่างน่าอนาถอีกต่างหากคนที่แพ้อย่างราบคาบและตกลงไปในแอ่งโคลนขนาดนั้นย่อมไม่มีสภาพผู้แข็งแกร่งแห่งสำนักสีเลี้ยนหลงเหลืออยู่เลยด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นกว่าครึ่งนาทีก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นมาทั่วบริเวณโดยศิษย์ของห้าสำนักชั้นนอกต่างก็ปรบมือแสดงความดีใจกับข้าเป็ส่วนมาก เพราะถึงยังไงสำนักจวี๋ฉีก็ถือเป็สำนักชั้นนำของห้าสำนักนอกและอีกอย่างก็เพราะคนเ่าั้ต่างก็กำลังระบายความอัดอั้นตันใจที่เคยถูกพวกศิษย์ของสำนักสีเลี้ยนรังแกมาตลอดนั่นเอง
ชนะแล้ว!
ข้ารู้สึกโล่งเหมือนเพิ่งจะยกูเาออกจากอกความรู้สึกตื่นเต้นและกดดันได้หายไปสักที คราวนี้เงินที่ข้าพนันไว้สิบล้านเหรียญก็จะกลายเป็หนึ่งร้อยล้านเหรียญในพริบตา!เมื่อมาคิดดูแล้วก็เหมือนข้ากำลังฝันไปอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว!
ข้าไม่ได้ยืนรอฟังเสียงปรบมือจากผู้คนโดยรอบแต่กลับหันไปบอกฝันดีกับซูเหยียน ซ้งเชียนและคนอื่นๆ ก่อนจะกลับเข้าไปในโรงเกลากระบี่ของข้าดังเดิม
ดูเหมือนว่าการประลองเมื่อครู่จะทำให้ไอิญญาในตัวของข้าไหลเวียนสับสนปนเปไปหมดเพราะยังไม่ชินกับพลังสายฟ้าอรหันต์ดังนั้นเมื่อกลับเข้าไปในโรงเกลากระบี่จึงเคลื่อนพลังไปสามรอบก่อนจะเริ่มลงตัว
ต้มเนื้อกินดีกว่า!
พอกินข้าวเย็นเสร็จเวลาก็ล่วงเลยมาถึงสามทุ่มกว่าแล้ว เพราะการประลองเมื่อครู่ทำให้อดไปฝึกวิชากับเฉิ่นปู้หยุนแต่ขณะที่ข้ากำลังจะเริ่มฝึกฝนวิชาลมหายใจัก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
หรือจะเป็ซ้งเชียนกับพวกนั้นมาหา?
แต่นึกไม่ถึงว่าเมื่อเปิดประตูกลับเป็ไอลาที่ยืนอยู่ท่ามกลางลมเย็นๆในฤดูใบไม้ร่วง
“เ้ามีธุระอะไรหรือเปล่า?” ข้าถามอย่างสงสัยและมึนงง
นางได้ยินแล้วก็มองเข้าไปข้างในก่อนจะถามขึ้น“ข้างในไม่มีใครใช่ไหม?”
“ตอนนี้ไม่มี”
“ไม่เชิญข้าเข้าไปนั่งหน่อยหรือไง?”
“...”
ข้าปล่อยให้นางเดินเข้ามาก่อนจะรินน้ำชาให้แล้วถามขึ้น“เ้ามีอะไรอย่างนั้นเหรอ? ไอลา”
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไปนานก่อนจะค่อยๆพูดขึ้น “ข้าแค่อยากจะถาม ว่าเ้ายินดีที่จะรับข้าไว้หรือเปล่า?”
“รับเ้าไว้ หมายความว่าไง?”
นางขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “ก็หมายความว่า...ยอมรับข้าอย่างไรล่ะเ้าเองก็น่าจะเข้าใจความหมายของข้าดี ขอเพียงแค่เ้ายอมรับในตัวข้าพวกเราก็จะก้าวหน้าไปด้วยกัน ถึงแม้เ้าจะเป็น้องชายของท่านรองเ้าสำนักแต่ว่าศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาแต่ละคนต่างก็มีเบื้องลึกเื้ัเป็ตระกูลที่ยิ่งใหญ่กันทั้งนั้นโดยเฉพาะพวกสามสำนักใหญ่ชั้นในแต่ข้ากับเ้าต่างก็ไม่มีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลังเหมือนคนพวกนั้นดังนั้นพวกเราจึงต้องร่วมมือกันถึงจะสามารถต่อต้านพวกนั้นได้อย่างไรล่ะ”
ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี “ที่เ้าบอกว่าร่วมมือกันมันหมายความว่ายังไง? เป็แค่เพื่อน หรือ...อะไรที่มากกว่านั้น”
“ไม่ใช่แค่นั้น”
ไอลามองมาที่ข้าก่อนจะลูบเส้นผมที่อ่อนนุ่มของตัวเองเบาๆแล้วพูดขึ้น “ข้าจะเป็ผู้หญิงของเ้าและเ้าเองก็จะสามารถเสพสุขกับข้าได้ทุกอย่างและข้า...ก็จะคอยแบ่งปันทั้งวรยุทธ์และพลังพร์ให้แก่เ้า ศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาต่างก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นพวกผู้ชายที่มีคนรักก็ทำแบบนี้เหมือนกัน...”
ข้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะอิดสะเอียนออกมาในใจก่อนจะถามขึ้น“นี่เป็การทำเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันอย่างนั้นเหรอ?”
“ก็ประมาณนั้น เพราะเมื่อเรียนจบแล้วเราต่างก็ต้องแยกย้ายกันไปทำความฝันของตัวเองและครอบครัวดังนั้นตอนที่ยังอยู่ในสำนักจะเรียนรู้ได้มากแค่ไหนล้วนแต่ต้องพึ่งตัวเองทั้งนั้นผู้หญิงหลายๆคนในสำนักโดยเฉพาะห้าสำนักชั้นนอกอย่างพวกเราต่างก็ใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ตำแหน่งและวรยุทธ์กันทั้งนั้น แต่ข้าไม่เหมือนพวกนางเพราะข้าจะรักแค่เ้าคนเดียวถึงแม้วันข้างหน้าจะต้องแยกย้ายกันไปก็จะเก็บเ้าไว้ในใจเสมอ”
ว่าแล้วนางก็ปลดกระดุมเสื้อออกสองเม็ดทำให้ก้อนเนื้อขาวๆล้นทะลักออกมา
“พอแล้ว!”
ข้าว่าแล้วรีบลุกขึ้นและหันหน้าหนีไม่ยอมมองนางก่อนจะพูดต่อ“ประตูอยู่ทางนั้น เ้ารีบกลับไปซะข้าจะถือว่าเื่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นและพวกเราก็จะยังเป็เพื่อนกันได้เหมือนเดิม”
“อย่างนั้นเหรอ?”
อยู่ๆ ไอลาก็แสยะยิ้มขึ้นมาก่อนจะพูดต่อ “ปู้อี้เชวียนเ้าคิดว่าตัวเองเป็ใครฮะ? นี่ข้าอุตส่าห์เสนอตัวมาถึงที่แต่เ้ากลับปฏิเสธอย่างนั้นเหรอ?เ้าคิดว่าซูเหยียนกับตั้นไถเหยาจะอยู่กับเ้าตลอดไปได้หรือไงเ้าตาสว่างสักทีเถอะปู้อี้เชวียน ซูเหยียนเป็ถึงลูกสาวของท่านเสนาบดีซูซีเฉิงซึ่งไม่ใช่คนที่เ้าจะมีวันได้อย่างแน่นอนส่วนตั้นไถเหยาข้าเองก็เคยได้ยินว่านางมีฐานะเกี่ยวข้องกับเมืองกระบี่ไร้เงาต่างแดนแล้วแบบนี้เ้าคิดว่าตัวเองจะไต่เต้าขึ้นไปถึงอย่างนั้นเหรอ?”
ข้าหันกลับไปมองนางด้วยแววตาที่ดุดันก่อนจะพูดขึ้น“แล้วเ้าคิดว่าไงล่ะ? เ้าเอาจิตสำนึกต่ำๆแบบนั้นมาสอนข้าเพื่อจะบอกข้าก็เป็เพียงหิ่งห้อยโง่ๆที่คอยให้แสงสว่างแก่โลกอันมืดดำอย่างนั้นเหรอ?”
นางชะงักไปโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
ข้าสงบสติแล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ “ข้าเคยได้ยินประโยคที่ว่าหากโลกนี้มืดดำก็จงคลำหาทางสว่างถ้าหมดปัญญาจะเอาชนะความหนาวก็ให้ความอบอุ่นแก่ตัวถ้าต้องเจริญงอกงามแล้วอันตรายก็หดตัวอยู่ในความมืดแต่อย่าใช้ความเคยชินที่อยู่ในความมืดมาแก้ตัวเพราะไม่อยากเดินไปในทางสว่างอย่าได้ดูถูกคนที่แข็งแกร่งและกล้าที่จะต่อต้านพวกเราสามารถใช้ชีวิตดั่งฝุ่นละอองแต่จะต้อยต่ำเหมือนหนอนรอความตายไม่ได้ดังนั้นข้ายินยอมอยู่ในโรงเกลากระบี่อย่างหมดอนาคตมากกว่าต้องไปก้มหัวให้แก่ผู้ที่แข็งแกร่งและกฎเกณฑ์บ้าๆอะไรพวกนั้น!”
ว่าแล้วข้าก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะพูดต่อ “ไอลาร่างกายนี้เป็ของเ้า และของคนที่รักเ้าจากใจจริงแต่ไม่ใช่สิ่งของที่เ้าจะเอาไปแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ เ้าไปเถอะข้าไม่มีอะไรที่เ้าอยากได้หรอกนะ”
ไอลากัดปากแน่นพร้อมกับดวงตาแดงก่ำก่อนจะเดินออกไปแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวนางก็พูดขึ้นอีกครั้งแบบไม่ได้หันกลับมา “ปู้อี้เชวียนข้าเกลียดเ้า ข้าเกลียดเ้าที่สุดเลย!”
ขณะที่นางปิดประตูแล้วเดินออกไปนั้นก็เป็่เวลาที่ข้ารู้สึกโล่งใจที่สุด...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้