ทุกคนต่างตกตะลึง แม้แต่ฉินอวี่ก็ยังต้องหันกลับไปมองทางที่มาของเสียง
นึกไม่ถึงว่าแค่ถูกคนเข้าใจผิด แต่กลับกลายเป็จุดดึงดูดความสนใจได้
ภาพที่เห็นในตอนนี้ คือคนคนหนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากฝูงชน คนผู้นี้มีอายุราวยี่สิบปี มีหน้าผากโหนกยื่นออกมา เส้นผมสีม่วงบนศีรษะดูกระจัดกระจาย มีพลังงานและความกระฉับกระเฉงอยู่ระดับหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่มีสีม่วง เมื่อมองผ่านดวงตาคู่นั้นเข้าไป กลับรู้สึกเหมือนมีแสงสว่างของสายฟ้าเปล่งประกายอยู่ในส่วนลึก
ฉินอวี่ตกตะลึงอยู่ในหัวใจ นี่คือร่างอสุนีลึกลับที่แท้จริง และยังเป็สายเืแข็งแกร่งที่เกี่ยวข้องกับสายฟ้าบางชนิด
เมื่อเทียบกับร่างอสุนีลึกลับของตนเองแล้ว ชายหนุ่มคนนี้มีความแข็งแกร่งในด้านของสายฟ้ามากกว่า เพราะนี่คืออำนาจโดยธรรมชาติ
เพียงแต่ เมื่อรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้กำลังชำเลืองมองหอกศึกในมือ ฉินอวี่ก็แอบถอนหายใจ ดูเหมือนจะมีเจตนาร้ายแน่นอน
“เ้าเป็ใคร? จึงกล้าสวมรอยเป็คนตระกูลเหลยของตี้หวัง?” ชายหนุ่มคนนี้เดินออกมาจากฝูงชน ตรงเข้ามาเบื้องหน้าของฉินอวี่ และพูดอย่างเ็า
ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบด้านต่างมองมายังชายหนุ่มผมสีม่วง นึกไม่ถึงว่าจะมีคนตระกูลเหลยของตี้หวังโผล่ออกมาจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ในอดีต หลังจากตี้หวังแห่งตระกูลเหลยซึ่งเป็หนึ่งในสองตี้หวังผู้ยิ่งใหญ่ได้เสียชีวิตในสนามรบ ตระกูลของเขาก็ไปตั้งถิ่นฐานเก็บตัวอยู่ในเขตเหลยถิงทางตะวันตกสุดของแดนต้าโหมวเทียน และน้อยนักที่จะได้ยินชื่อของตระกูลเหลยของตี้หวัง แต่กลับไม่นึกเลยว่า ครั้งนี้จะมีคนออกมายังโลกภายนอก
ผู้ฝึกตนจำนวนมากที่อยู่โดยรอบต่างครุ่นคิดอย่างนิ่งเงียบ ตระกูลเหลยออกมาภายนอกเช่นนี้ จะบ่งบอกอะไรกันแน่? เป็ไปได้หรือไม่ว่า... หลังจากติดอยู่ที่นี่นานนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็สามารถโจมตีค่ายกลอันน่ากลัวนั่นได้แล้วหรือ?
ชายหนุ่มที่ดูโเี้และสยงถูกลับไม่คิดอะไรมาก โดยเฉพาะสยงถู เดิมทีคิดว่าตนเองได้ล่วงเกินตระกูลเหลยของตี้หวัง แต่กลับนึกไม่ถึงว่าฉินอวี่จะไม่ใช่ตัวจริง และในตอนนี้ ตระกูลเหลยของตี้หวังตัวจริงได้ปรากฏตัวขึ้น... เช่นนี้ก็คงมีเื่สนุกให้ดูกันแล้ว
ส่วนทางหวังจงและหลิวเจ๋อต่างนิ่งผงะไปด้วยความตกตะลึง หวังจงพยายามสงบสติอารมณ์ไว้อย่างดีที่สุด แต่หลิวเจ๋อก็เกือบจะใหมดสติไปกับ ‘ตระกูลเหลยของตี้หวัง’
ฉินอวี่มองไปยังชายหนุ่มผมม่วง และนำหอกศึกเก็บกลับเข้าไปในวงแหวนมิติ พลางพูดว่า “ข้ายังไม่ได้พูดเลยนะว่าข้าคือ...” ฉินอวี่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกชายหนุ่มผมม่วงพูดขัดจังหวะ “ช้าก่อนสหาย เหตุใดเมื่อพบข้าแล้วจึงต้องเก็บหอกศึกเล่มนั้นด้วย? หรือมีเื่อะไรที่ไม่สามารถบอกใครได้?”
“ตระกูลเหลยของตี้หวัง ก็แค่นี้เอง” ฉินอวี่เยาะเย้ยในใจ เหลือบมองไปทางชายหนุ่ม และพูดอย่างเฉยเมย “ไม่สามารถบอกใครได้หรือ? อาวุธของข้า ข้าอยากจะเก็บไม่ได้หรือ ของของข้า ต้องขออนุญาตเ้าด้วยหรือ?”
“ไม่ต้องอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ข้ามองเห็นรอยประทับของตระกูลข้าบนหอกศึกของเ้า หอกศึกนั่นอาจจะเป็หนึ่งในอาวุธของตระกูลข้าที่สูญหายไปเมื่อหลายปีก่อน ขอสหายนำออกมาเถอะ” ดวงตาสีม่วงของชายหนุ่มชุดม่วงเปล่งประกาย และพูดอย่างช้าๆ
“เหตุใดสหายจึงไม่นำอาวุธของเ้าออกมาให้ข้าชมบ้างล่ะ?” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย
“หรือว่า สหายมีอะไรแอบแฝง” ชายหนุ่มผมม่วงเริ่มพูดอย่างร้อนใจ จ้องมองมาด้วยสายตาที่เฉียบคม
ฉินอวี่ไม่ได้ตอบอะไร และยื่นโซ่เส้นนั้นให้กับสยงถู เหลือบมองชายหนุ่มผมม่วง พลางพูดขึ้น “ตระกูลเหลยของตี้หวังที่สง่างาม คิดจะฉกชิงอาวุธคนอื่นกลางวันแสกๆ เชียวหรือ?”
“สหาย หากอาวุธนั่นไม่ใช่ของตระกูลเหลย ข้าก็ไม่้าไปเอาของเ้าหรอก แต่หากเป็สิ่งของของตระกูลข้า ขอสหายโปรดคืนมาด้วย และตระกูลเหลยจะชดเชยให้เ้าอย่างดี”
“ของของตระกูลเหลย? หรือเ้าจะเห็นอาวุธทุกชิ้นที่เ้าอยากได้ว่าเป็ของตระกูลเหลยไปเสียหมด?” ฉินอวี่พูดอย่างเ็า และเตรียมจะออกไป แต่กลับถูกชายหนุ่มผมม่วงขวางเอาไว้
“ร่างอสุนีลึกลับของสหาย คงได้มาจากอาวุธวิเศษใช่หรือไม่? ในแดนต้าโหมวเทียน อาวุธทุกชิ้นที่มีพลังของสายฟ้า คืออาวุธของตระกูลข้า ขอสหายโปรดให้ความร่วมมือ ให้ข้าเหลยหย่วนได้ตรวจสอบเสียก่อน” ชายหนุ่มผมม่วงเหลยหย่วนกดดันอย่างหนัก
“หากข้าบอกว่าไม่ล่ะ?” ฉินอวี่เพิกเฉย
“เช่นนี้ก็โทษข้าไม่ได้” เหลยหย่วนพูดพลางยิ้มออกมา ระดับฝึกฝนของเขาเป็ขั้นเทพ์ระดับต้น จึงมีความมั่นใจว่าจะสังหารฉินอวี่ได้
ในแดนต้าโหมวเทียน เป็เื่ปกติที่ผู้อ่อนแอย่อมถูกกำจัดโดยผู้แข็งแกร่ง หากพูดอะไรไม่เข้าท่า ก็ต้องรับผลที่ตามมาอย่างสิ้นหวัง เป็เพราะไม่มีศัตรูจากภายนอก คนระดับสูงของแดนต้าโหมวจึงมักจะต่อสู้กันเอง ดังนั้นแล้ว จึงไม่อาจอ่อนแอให้ถูกรังแกได้
“ตอนแรกก็ยังคิดว่าเป็คนของตระกูลเหลย ที่แท้ก็คิดจะแย่งชิงจะสมบัติของตระกูลเหลย ช่างกล้าหาญเสียจริง” ชายหนุ่มที่โเี้พูดอย่างเฉยเมย ในมุมมองของเขา เหลยหย่วนพูดได้ถูกต้อง ในแดนต้าโหมวเทียนทุกคนต่างรู้ว่า ตระกูลเหลยมีความสามารถควบคุมพลังสายฟ้าได้ั้แ่กำเนิด และอาวุธที่เกี่ยวข้องกับพลังสายฟ้า ก็มักจะออกมาจากตระกูลเหลย
ไม่เพียงเขาเท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกตนที่อยู่รอบด้านต่างก็รู้สึกเช่นนี้ มองไปทางฉินอวี่ด้วยสายตาที่เย้ยหยันเล็กน้อย คิดจะของของตระกูลเหลยหรือ?
“เ้าหนุ่ม เ้าไปเอาสิ่งของของตระกูลเหลยมาได้อย่างไร? หากเ้าเอาออกมาเสียดีๆ ข้าอาจจะไว้ชีวิตเ้าสักครั้ง”
“โลภมากมักลาภหายนะ ได้ร่างอสุนีคำรามไปแล้ว ยังคิดจะเอาของตระกูลเหลยไปเป็ของตนเองอีกหรือ”
ผู้ฝึกตนจำนวนมากที่อยู่รอบด้านต่างเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน
ฉินอวี่ทำหูทวนลม ในใจของเขาได้แต่คิดว่าจะออกไปจากวงล้อมนี้อย่างไร ศิษย์ตระกูลเหลยบิดเบือนความจริง หากไม่ใช่ว่าหอกศึกนี้ได้มาจากสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ฉินอวี่ก็คงคิดว่ามันเป็ของตระกูลเหลยจริงๆ หากนำหอกศึกออกมา ชายหนุ่มผมม่วงก็คงจะต้องกัดฟันยืนกรานว่าเป็สมบัติของตระกูลเหลยแน่นอน ถึงเวลานั้น ฉินอวี่คิดจะเอากลับคืนมาก็คงทำไม่ได้แล้ว
หากนำออกมา หอกศึกจะต้องถูก่ชิงไปแน่นอน แต่หากไม่นำออกมา ก็เท่ากับเป็การไปยอมรับว่านำสมบัติตระกูลเหลยมา จึงบอกได้เลยว่า นี่คือแผนการที่วางไว้ของเหลยหย่วน
“เ้าแน่ใจหรือว่าคือสมบัติของตระกูลเหลย?” ฉินอวี่ไม่ใช่วิธีการสร้างเื่ให้วุ่นวาย แต่กลับใช้การย้อนถาม
“จะใช่หรือไม่ ก็ขอสหายนำมันออกมาให้พิสูจน์” เหลยหย่วนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ตระกูลเหลยในตอนนี้ถึงแม้จะมีอาวุธในตระกูลของสายฟ้าอยู่ไม่มากนัก และเขาก็เป็เพียงลูกหลานของตระกูลเหลย แล้วจะมีสิทธิ์อะไรที่จะได้อาวุธในกลุ่มตระกูลสายฟ้า? เมื่อเห็นฉินอวี่นำหอกศึกในกลุ่มตระกูลสายฟ้าออกมาก่อนหน้านี้ ทำให้เหลยหย่วนประหลาดใจยิ่ง และเริ่มมีความโลภเกิดขึ้นมาในใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่รอบด้าน เหลยหย่วนยิ่งพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ และคำถามย้อนกลับของฉินอวี่ ก็ยิ่งทำให้ก็ทำให้เหลยหย่วนดีใจ จนแทบจะ่ชิงหอกศึกมาในทันที แต่เขาก็รู้ว่ายิ่งอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย หรือเป็สถานการณ์วิกฤตมากขึ้นเท่าไร ก็ไม่สามารถแสดงอะไรออกไปได้มากขึ้นเท่านั้น
“เหอๆ คิดให้ดีก่อนที่จะพูดนะ ไม่เช่นนั้น ข้าว่าเ้าอาจจะรับไม่ไหว!” ฉินอวี่เยาะเย้ย
“ฮ่าๆ รับไม่ไหว? ช่างอวดดียิ่งนัก ข้าว่า เขาคิดว่าตนเองเป็คนในตระกูลของตี้หวังสินะ?”
“รับไม่ไหว? สิ่งของของตระกูลเหลย ทำไมคนในตระกูลเหลยจะรับไม่ไหว? ดูเหมือนเ้าคนนี้จะบ้าไปแล้ว?”
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ตอนนี้ยังจะคิดเอาสมบัติตระกูลเหลยมาเป็ของตนเองอีก ไม่รู้ว่าเขากล้าบ้าบิ่น หรือว่าโง่สุดๆ กันแน่”
“เ้าหนุ่มน้อย ของบางอย่าง มีชะตาได้มา ก็จำเป็ต้องมีวาสนาได้ใช้งานด้วย”
ผู้ฝึกตนทั่วสารทิศต่างไม่สามารถทนดูได้อีกแล้ว ต่างพากันกล่าวหา และพูดจาถากถางฉินอวี่
ชายหนุ่มที่เืเย็นก็ได้เผยรอยยิ้มที่เย้ยหยันขึ้นตรงมุมปาก และพูดขึ้น “ไม่เจียมตัว!”
“จะเอาออกมาหรือไม่?” เหลยหย่วนตะคอกออกมาทันที คำพูดของฉินอวี่ทำให้เขาโกรธมาก แม้ว่าจะเป็ลูกหลานตระกูลเหลย แต่ไม่ว่าจะไปในแห่งหนใด ก็มีแต่ผู้คนต้อนรับขับสู้ แล้วคนผู้นี้ยังจะกล้าพูดว่าตนเองรับไม่ไหวอีกหรือ?
ฉินอวี่นำหอกศึกออกมา ค่อยๆ ลูบหอกศึกเบาๆ ในตอนนี้เหลยหย่วนััได้ถึงผนึกตรารูปร่างสายฟ้าที่แผ่ออกมาจากหอกศึก ดวงตาของเขาเปล่งประกาย และพูดขึ้นเสียงดัง “นี่เป็สมบัติของตระกูลเหลยที่หายไป ขอสหายโปรดคืนกลับมาด้วย!” พูดจบ เหลยหย่วนก็ยื่นมือออกไปเตรียมคว้าหอกศึก
มือขวาของฉินอวี่เก็บหอกศึกใส่กลับวงแหวนมิติทันที และพูดอย่างเฉยเมย “เ้าแน่ใจนะว่าเป็สมบัติของตระกูลเหลย?”
“แน่ใจมากที่สุด!” เหลยหยวนกล่าวอย่างจริงจัง
“เ้าอยากรู้หรือไม่ว่า ข้าได้มันมาจากไหน?” ฉินอวี่พูดอย่างเฉยเมย
“บอกมา!”
“ของชิ้นนี้อาจารย์ของข้าเป็ผู้มอบให้ ดังนั้น หากเ้า้า ก็คงต้องไปถามอาจารย์ข้าก่อนว่าจะยอมให้หรือไม่” ฉินอวี่กล่าว
“อาจารย์ของเ้าเป็ใคร?” เหลยหย่วนถามกลับ คนผู้นี้มีระดับฝึกฝนธรรมดา แต่งตัวธรรมดา มีต้นกำเนิดมาจากสามัญทั่วไป อีกทั้ง ในฐานะลูกหลานตระกูลเหลย นอกจากเต้าหวังและเต้าจวินเ่าั้แล้ว ต่อให้เป็โห่วเหย่ก็ยังต้องยอมไว้หน้า
“ข้าน้อยหลี่โหย่วฉาย เป็ศิษย์ผู้เฒ่าร้องไห้!”
เสียงของฉินอวี่เหมือนก้อนหินที่สั่นะเืผืนน้ำ เสียงที่ดังวุ่นวายอยู่แต่เดิมได้เงียบสงบลงทันที ผู้ฝึกตนที่เดินเตร็ดเตร่อยู่เต็มท้องถนนต่างหยุดนิ่ง
