“เ้าจะอยากรู้ไปทำไม ข้าเคยมอบให้นางหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเ้า” พูดจบ จึงหันตัวเดินจาไปโดยไม่แม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนอี้หนิงจะรวบรวมความกล้า แล้วเดินไปดักหน้าอีกฝ่าย
“หากพระองค์ช่วยสงเคราะห์ หม่อมฉันมีวิธีทำให้จือซินกุ้ยเฟยตอบรับรักพระองค์” คำพูดของนางทำให้ชายหนุ่มหรี่ตามองั้แ่ศีรษะจรดปลายเท้า นางพูดได้อย่างชาญฉลาด แถมยังกล้าเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับเขาที่เป็ฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ ดวงตากลมแป๋วของนางจ้องมองเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนที่เขาจะยิ้มมุมปาก แล้วหยิบผ้าไหมผืนนั้นกลับมา พลางตอบกลับด้วยสุรเสียงนุ่มลึกที่เต็มไปด้วยความคิด
“ผ้าปักลายัที่เ้าว่า มีใช้อยู่ทั่ววังหลวงราวสิบกว่าผืน”
“สิบกว่าผืน!” อี้หนิงทวนคำพร้อมเบิกตากว้าง ก่อนชายหนุ่มจะอธิบายต่อ
“เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ต่างใช้กันทั้งนั้น ไม่ได้มีแค่ข้าที่ใช้มัน ซึ่งข้าไม่เคยมอบผ้าปักลายัให้กับจือซิน และไม่คิดจะมอบให้ เพราะสิ่งที่นางชอบคือการทำเครื่องหอมธรรมดา ไม่ใช่ปักสูงค่าเช่นนั้น” หญิงสาวนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ความหวังที่จะหาผ้าปักลายั เพื่อกลับโลกปัจจุบันดูเหมือนลดน้อยถอยลงไปทุกที
“ข้าสงเคราะห์เ้าแล้วตามคำขอ เช่นนั้น ที่เ้าบอกว่าจะทำให้จือซินตอบรับรักข้า เ้าจะทำเช่นไร” เขาสบสายตาอีกฝ่ายแน่นิ่ง ก่อนนางจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วตอบกลับ
“หม่อมฉันขอเวลาคิดหนึ่งวันเพคะ” เขายิ้มมุมปาก ไม่คิดคาดหวังอะไรจากนาง ก่อนหันตัวเดินจากไป พร้อมสายตาสั่นไหวของอี้หนิงหันมองร่างอีกฝ่ายจนลับสายตา แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย
‘สิบกว่าผืน จะตามหายังไงหมด จะรู้ได้ยังไง ว่าผ้าผืนแท้จริงนั้นอยู่ที่ไหน ฉันต้องอยู่ในยุคนี้ไปจนตายจริง ๆ งั้นเหรอ’
ตลอดทั้งคืนหญิงสาวนอนพลิกกายไปมาอย่างใช้ความคิด คนไม่เคยมีแฟนมาก่อนทั้งชีวิต จะคิดแผนการให้จือซินกุ้ยเฟยตอบรับรักฮ่องเต้ได้ยังไงกัน ก่อนนางจะเด้งตัวลุกขึ้นนั่งพลันถอนหายใจ
‘มอบดอกไม้เพื่อเอาใจงั้นเหรอ? ขนาดปลูกให้ทั้งสวนยังรั้งใจจือซินกุ้ยเฟยไม่ได้ หนักหนาเพียงนี้ควรใช้วิธีใดล่ะ’ หญิงสาวคู้เข่าขึ้นมากอดไว้แล้วใช้ความคิดวนเวียนไปมา เวลาผ่านไปไม่นานรู้ตัวอีกที แสงจากด้านนอกก็สาดเข้ามา พร้อมนางกำนัลเปิดประตูเข้ามาดูแลปรนนิบัติตามหน้าที่
“พระสนมหาวสองสามครั้งแล้วนะเพคะ เมื่อคืนหลับไม่สนิทเหรอ” ขณะที่ซูหนิงกำลังสางผมให้กับหญิงสาว สังเกตเห็นความผิดปกติจึงเอ่ยถาม
“หากจะมอบของกำนัล จือซินกุ้ยเฟยก็มีมากมายจนล้นหีบ เหลือวิธีใดเอาใจนางได้อีก” อี้หนิงหลุดพูดบางอย่างออกมา ก่อนซูหนิงจะขมวดคิ้วแล้วชักมือเล็กน้อย
“พระสนมตรัสว่าอะไรนะเพคะ”
“ซูหนิง เ้าช่วยข้าคิดหน่อยได้หรือไม่” นางเอ่ยถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนซูหนิงจะวางหวีไม้ลงช้า ๆ แล้วย่อตัวลงใกล้กับอี้หนิงกุ้ยเหริน
“ช่วยคิดสิ่งใดเพคะ”
“ทำให้คนที่รัก ประทับใจมีวิธีใดบ้าง” ซูหนิงเข้าใจได้ในทันที ว่าอีกฝ่ายคงอยากเอาใจฮ่องเต้ เหมือนกุ้ยเหรินคนอื่น ๆ จึงปล่อยยิ้ม แล้วเอื้อมไปหยิบหวีสางผมให้อีกครั้ง
“เช่นนั้น ทำอาหารให้ดีหรือไม่เพคะ” อี้หนิงเอียงศีรษะ ขบคิดเล็กน้อย
“เป็ความคิดที่ดี” นางตอบรับ พร้อมรอยยิ้มอ่อน
ใน่บ่ายของวันนั้น อี้หนิงกุ้ยเหริน ตัดสินใจมุ่งตรงไปยังตำหนักเฉิงเทียนที่ประทับของฮ่องเต้ ทว่าไม่อาจเข้าไปอย่างง่ายดาย มีกฎระเบียบขั้นตอนยุ่งยาก นางยืนรออยู่นานกว่าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในที่ประทับส่วนพระองค์ ร่างของหญิงสาวเดินเข้าไปตามลำพัง สายตาของนางหันมองไปรอบ ๆ สถานที่ประทับขนาดใหญ่ ภายในตบแตะด้วยไม้แกะสลักและมุกมีค่า หลายอย่างที่นางอยากนำกลับไปในยุคปัจจุบัน แต่ต้องเก็บอาการแล้วเดินตรงไปด้วยกิริยาสำรวมอย่างถึงที่สุด
ก่อนจวิ้นเทียนที่นั่งทรงอักษรอยู่จะเงยหน้าขึ้นมองนาง แล้วไล่ให้ทุกคนในที่นั้นออกไป เพียงเวลาไม่นานเหลือเพียงเขาและนาง ก่อนชายหนุ่มจะเอ่ยขึ้น
“มาพบข้าถึงที่นี่ คิดออกแล้วเหรอ ว่าจะทำเช่นไรให้จือซินรับรักข้า” สุรเสียงนุ่มลึก พร้อมใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยถามด้วยสายตาไม่คาดหวังมากนัก
“หม่อมฉันคิดทั้งคืนแล้วเพคะ” เขาวางพู่กันในมือแล้วเอ่ยถาม
“เช่นนั้น เ้าคิดอะไรออกบ้าง”
“วิธีที่จะทำให้จือซินกุ้ยเฟยประทับใจ พระองค์ต้องลงมือทำอาหารอร่อย ๆ ให้เพคะ”
“ทำอาหาร?” สายตาของเขาฉายแววสงสัย ก่อนที่อี้หนิงจะยิ้มกว้างแล้วพยักหน้า
“เอาใจด้วยการทำอาหาร อาจเป็วิธีหนึ่งที่ทำให้จือซินกุ้ยเฟยประทับใจ”
“แต่ข้าทำไม่เป็” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เช่นนั้นหม่อมฉันช่วยเพคะ” นางยิ้มกว้าง แล้วเผลอก้าวเท้าเข้าไปหาเขาอย่างลืมตัว พลันยื่นมือไปรับ เหมือนที่เคยทำกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
“หม่อมฉันเตรียมครัวไว้แล้ว ลองไปทำอาหารดูสักครั้งนะเพคะ” เขามองมือของนางที่เอื้อมมารับ หากแต่ไม่เอื้อมไปจับ พลันลุกขึ้นแล้วเดินนำมา ก่อนอี้หนิงจะก้มมองมือตัวเองที่ยื่นค้างไว้ แล้วรีบดึงกลับมาพร้อมเดินตามหลังชายหนุ่มไปยังโรงครัวด้วยสีหน้าภูมิใจ
“เริ่มจากจุดไฟในเตานั้นก่อนเพคะ”
“จุดเตา?” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นับจากเด็กจนโตไม่เคยลงมือทำอะไรไร้สาระเช่นนี้มาก่อน เมื่อได้สติจึงเตรียมหันตัวเดินออกจากห้องครัว ทำให้อี้หนิงรีบวิ่งมาดักหน้าแล้วสบสายตาชายหนุ่มนิ่ง
“พระองค์จะถอดใจไม่ได้ หากไม่ลองจะรู้ได้อย่างไรว่าได้ผลหรือไม่ ลองดูไม่เสียหายนะ ดีกว่าหันหลังกลับไปแล้วไม่ได้อะไรเลย” เขาจับจ้องไปยังั์ตาจริงจังคู่นั้น ก่อนตัดสินใจหันหลังกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง มองเตาฟืนแล้วย่อตัวลงนั่ง
“ต้องทำยังไง?” สุรเสียงเอ่ยถามพร้อมสายตาเลื่อนมองหาอุปกรณ์
“เริ่มจากจุดไฟเพคะ” อี้หนิงค่อย ๆ สอนสิ่งที่เรียนรู้มาจากซูหนิงให้กับจวิ้นเทียนฮ่องเต้ เขาเอื้อมไปหยิบท่อนฟืน แล้วค่อย ๆ จุดไฟตามลำดับ พยายามอยู่สองสามครั้งก่อนไฟจะลุกขึ้น
“ติดแล้วเพคะ” สิ้นเสียงของนาง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกโล่งใจจนเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว
“ทำยังไงต่อ?” ดวงตากลมโตของเขา แสดงความไร้เดียงสาออกมาทำให้หญิงสาวตอบกลับ