ผู้กล่าวคำนี้ก็คือ เยี่ยนอ๋องโจวปิง ที่ไม่ชอบกินของหวาน ทว่าในตอนนี้กลับกำลังกินขนมไหว้พระจันทร์รสหวานอย่างเอร็ดอร่อย
ฉินไท่เฟยชี้ไปที่ทุกคนพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเ้าอย่าบอกเขา ให้เขาเดาดู”
ขณะนี้เจียงชิงอวิ๋นเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ จึงคิดจะลองชิมดูเสียหน่อย เขาหยิบขนมไหว้พระจันทร์รสหวานขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกัดเข้าไปคำหนึ่ง ััอันอ่อนนุ่มของขนมไหว้พระจันทร์ปรากฏขึ้นในปาก มีกลิ่นหอมอันเป็เอกลักษณ์โชยลอดไรฟัน ความหวานกำลังพอดี ทั้งเอร็ดอร่อยและมีเอกลักษณ์มากกว่าขนมไหว้พระจันทร์ทั้งหมดที่เคยกินมาเสียอีก กระทั่งอดไม่ได้ที่จะกัดคำต่อไป
ทุกคนไม่กล้าคัดค้านฉินไท่เฟย ด้วยกลัวว่าจะทำให้นางโกรธ ทั้งยังกลัวว่าหากเดาผิดจะกลายเป็เื่น่าขบขัน
เยี่ยนหวังเฟยใช้นิ้วจุ่มน้ำชาแล้วเขียนคำว่า น้ำมันงา ลงบนโต๊ะ ในขนมไหว้พระจันทร์รสหวานมีส่วนผสมของน้ำมันงาอยู่ นี่เป็สิ่งที่โจวโม่เสวียนบอกกับเยี่ยนหวังเฟยก่อนมาร่วมชมจันทร์
โจวปิงหรี่ตามองตัวอักษรบนโต๊ะก่อนกล่าวอย่างคาดเดาว่า “เสด็จแม่ ข้าทราบว่าขนมไหว้พระจันทร์นี้ใช้แป้งขาวทำ”
ฉินไท่เฟยมองไปยังใบหน้าที่หล่อเหลาของบุตรชาย พลางถามขึ้นว่า “นอกจากแป้งขาวแล้วยังมีอะไรอีก?”
“งา” โจวปิงชี้ไปที่งาบนขนมไหว้พระจันทร์รสหวาน
ฉินไท่เฟยกล่าวต่อไป “แล้วยังมีอะไรอีก?”
“น้ำตาล”
“นี่ข้าเองก็รู้ แต่เหตุใดขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่จึงหอมเช่นนี้เล่า นั่นก็เป็เพราะพวกเขาใช้น้ำมันอย่างหนึ่ง เ้าลองดูสิว่าเป็น้ำมันอะไร?”
โจวปิงเอ่ยด้วยสีหน้าคาดหวัง “เสด็จแม่ของข้า เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น้ำมันอะไร มิสู้ท่านบอกข้ามาเถิด”
ฉินไท่เฟยหัวเราะ “เ้ากินดูแล้วไม่รู้หรือ เป็น้ำมันงา มีเพียงน้ำมันงาจากภาคเหนือของพวกเราเท่านั้น”
โจวปิงจงใจกล่าวด้วยสีหน้าเข้าใจกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็น้ำมันงานี่เอง เสด็จแม่มีความรู้มากจริงๆ ทำให้ข้าเติบโตมารอบรู้ด้วยแล้ว”
ฉินไท่เฟยแย้มยิ้ม ชี้ไปที่โจวโม่เสวียนและโจวปิงก่อนกล่าวขึ้นว่า “โม่เสวี่ยนรู้จักคิดจริงๆ สามารถทำให้พวกเรากินขนมไหว้พระจันทร์ตระกูลหลี่ที่มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน ใน่เทศกาลไหว้พระจันทร์ได้เช่นนี้เชียว”
โจวโม่เสวียนรีบร้อนกล่าวขึ้นว่า “ท่านย่า นี่เป็สิ่งที่ข้าสมควรทำอยู่แล้วขอรับ”
โจวจิ่งวั่งผู้เป็รัชทายาทแห่งเยี่ยนอ๋องกล่าวเสริมว่า “ท่านพ่อ น้องห้าจัดแจงให้พ่อบ้านนำขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ไปแจกจ่ายให้ทหารใต้บัญชาในนามของจวนอ๋องแล้วขอรับ”
โจวปิงมองไปยังโจวโม่เสวียนผู้เป็บุตรชายชายาเอก พยักหน้าเล็กน้อย “พวกเราแบ่งปันอาหารเลิศรสให้เหล่าทหารเช่นนี้ ภายภาคหน้าเมื่ออยู่ในสนามรบเหล่าทหารจะบุกน้ำลุยไฟเพื่อพวกเรา”
“ท่านพ่อสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วขอรับ” เมื่ออยู่นอกจวนโจวโม่เสวียนเป็เ้านายที่พูดคำไหนคำนั้น ยามอยู่เบื้องหน้าโจวปิงกลับทำได้เพียงเชื่อฟัง
ขณะที่เจียงชิงอวิ๋นฟังบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความสุขของครอบครัวแห่งจวนเยี่ยนอ๋อง ก็กินขนมไหว้พระจันทร์รสหวานเข้าไปอีกสามชิ้นโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้สึกว่าตนกินจนเริ่มจุกก็กัดขนมอันที่สี่ไปสองคำแล้ว อดคิดในใจไม่ได้ว่าขนมที่ ตระกูลหลี่ทำช่างเลิศรสโอชาจริงๆ เมื่อขนมไหว้พระจันทร์รสหวานมาอยู่ตรงหน้าแล้วความยับยั้งชั่งใจของเขากลับไม่เป็ผล
โจวลั่วเหยียน อายุสิบขวบ เป็บุตรชายของว่านเช่อเฟย[1]กับโจวปิง ที่ผ่านมาเขาไม่มีโอกาสกล่าวแสดงความคิดเห็น ยามนี้จึงอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ท่านย่า พวกเรามาเล่นตีกลองส่งดอกไม้กันเถิด หากส่งถึงมือผู้ใดผู้นั้นจะต้องแต่งกลอน ดีหรือไม่ขอรับ?”
ฉินไท่เฟยกล่าวอย่างอ่อนโยน “ข้าอายุมากจนลืมวิธีแต่งกลอนไปหมดแล้ว พวกเ้าเล่นกันเถิด ข้าไม่เล่นแล้ว” เทศกาลไหว้พระจันทร์ปีที่ผ่านๆ มา ที่จวนอ๋องจะเล่นตีกลองส่งดอกไม้กันทุกปี ทว่าปีนี้ยุ่งอยู่กับการดูแลเจียงชิงอวิ๋นจึงไม่ได้เตรียมการ
เจียงชิงอวิ๋นคิดจะไปอยู่แล้วจึงถือโอกาสนี้ไปยังสวนดอกไม้หลังจวนพร้อมฉินไท่เฟยเสียเลย
โจวโม่เสวียนฉลาดเฉลียวที่สุด เมื่อเห็นโจวปิงคิดจะตามไป จึงรีบร้อนกล่าวขึ้นว่า “ท่านพ่อ เดี๋ยวข้าไปกับท่านย่าและท่านอาเองขอรับ”
ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง เจียงชิงอวิ๋นสวมใส่อาภรณ์สีขาวที่ทำจากผ้าป่าน ผมสีดำขลับที่ยาวถึงเอวถูกมวยขึ้นไปและปักด้วยปิ่นหยกขาว แผ่นหลังยืดตรง ไหล่แคบดูผอมบาง เงาทอดยาวแลโดดเดี่ยวดูคล้ายโฉมงามขี้โรคในภาพวาด
ฉินไท่เฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากเ้าย้ายออกไปข้าคงไม่ได้เห็นเ้าแล้ว”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวขึ้นว่า “ท่านป้า ที่ที่ข้าจะไปอยู่ก็คือ หมู่บ้านนอกอำเภอฉางผิง อยู่ไม่ไกลจากเมืองเยี่ยน ขี่ม้าไปครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้วขอรับ”
ฉินไท่เฟยกล่าวด้วยความเป็ห่วง “หากเ้าไปอยู่ด้านนอกแล้วมีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะมีหน้าไปพบมารดาเ้าได้อย่างไร?”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจเล็กน้อย “โรคระบาดในคราวนั้นย่ำแย่เพียงใด แต่ข้าก็ยังไม่ตาย ยังมีชีวิตรอดอยู่ดี ์คงยังไม่้าชีวิตของคนดวงแข็งเช่นข้าหรอก ท่านวางใจเถิด”
ในจวนเยี่ยนอ๋องลือกันว่า เขาดวงแข็งจนกดข่มดวงชะตาของคนตระกูลเจียง ทำให้ตายตกไปตามกันทั้งตระกูล
หลายวันก่อนหน้านี้ โจวเว่ยผู้เป็บุตรชายเพียงคนเดียวของโจวจิ่งวั่ง ผู้เป็รัชทายาทแห่งเยี่ยนอ๋อง และพระชายานามหม่าหวั่นป่วยหนัก ถึงกับมีคนกล่าวกันว่า เป็เพราะถูกดวงชะตาของเจียงชิงอวิ๋นกดข่ม คำกล่าวเช่นนี้เล่าลือจนไปถึงหูของเจียงชิงอวิ๋น แล้วเขายังจะอาศัยอยู่ที่นี่อีกทำไมกัน
ฉินไท่เฟยกล่าวโน้มน้าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “เ้าอย่าไปสนใจข่าวลือเ่าั้เลย คนเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง” เมื่อหลายปีก่อนในขณะที่เยี่ยนอ๋องคนก่อนยังมีชีวิตอยู่ เขาหลงใหลอนุจนละเลยภรรยาเอก นางและบุตรชายที่กำลังเติบใหญ่จึงต้องใช้ชีวิตราวกับเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ทุกวัน ผู้ที่กล่าววาจามาดร้ายกับนางมีมากมาย หากนางสนใจคงโมโหตายไปนานแล้ว นางหวังว่าโจวปิงจะปล่อยวางได้ ส่วนคนที่กล่าวว่าร้ายเจียงชิงอวิ๋นล้วนถูกนางทำโทษไปหลายคนแล้ว
“ท่านอา ข้าหาท่านเสียนาน ที่แท้ท่านก็อยู่ที่นี่กับท่านย่าของข้านี่เอง” โจวโม่เสวียนยืนฟังอยู่ใกล้ๆ มาครู่หนึ่งแล้ว เขากลัวว่าทั้งสองจะพูดถึงเื่น่าเศร้าอีกจึงได้แสดงตัวออกมา
โจวปิงกล่าวถาม “โม่เสวียน เ้าชอบความครึกครื้นเป็ที่สุด เหตุใดจึงไม่อยู่เล่นตีกลองส่งดอกไม้เล่า?”
โจวโม่เสวียนผายมือทั้งสองข้างออกพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ข้าย่อมชอบความครึกครื้น แต่มิได้มีความสามารถหรือคารมคมคายเช่นท่าน อีกทั้งข้าก็แต่งกลอนไม่เป็ ที่สำคัญคือ ไม่ชอบทำเื่ขายหน้าในสถานการณ์ที่ไม่ได้เตรียมตัวเช่นนั้น”
ฉินไท่เฟยหัวเราะ “ั้แ่เล็กจนโตโม่เสวียนก็กลัวการแต่งกลอนที่สุดแล้ว เ้าลิงไร้อนาคตนี่”
เจียงชิงอวิ๋นรีบกล่าวขึ้นว่า “ในจวนอ๋อง โม่เสวียนนับเป็ผู้ที่มีวรยุทธ์ดีคนหนึ่ง นำทหารเข่นฆ่าศัตรูอย่างวีรบุรุษกล้าหาญ แต่งกลอนไม่เป็ก็ไม่เป็ไร”
โจวโม่เสวียนยิ้ม “ผู้ที่เข้าใจข้าที่สุดคือท่านอาจริงๆ”
ฉินไท่เฟยมองไปยังหลานชายของตน จากนั้นจึงมองไปยังบุตรของน้องสาวตนอีกครั้ง ทั้งคู่ล้วนเป็หนุ่มน้อยผู้หล่อเหลา “พวกเ้าทั้งสองมีอายุใกล้เคียงกัน อยู่ด้วยกันให้มากเสียหน่อย”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวเสียงอ่อนโยน “โม่เสวียน อีกสองสามวันข้าจะย้ายไปอยู่ที่อำเภอฉางผิงแล้ว หากเ้าว่างก็ไปหาข้าได้ทุกเมื่อ”
โจวโม่เสวียนเห็นสีหน้าไม่ค่อยสบายใจของฉินไท่เฟย จึงรีบร้อนกล่าวว่า “ท่านอา ฤดูหนาวของทางเหนือหนาวเย็นยิ่งนัก ท่านก็อยู่ในจวนอ๋องก่อนจะดีกว่า หากไปอยู่ที่อำเภอฉางผิง ่ที่หนาวที่สุดจะหนาวจนแช่แข็งผู้คนได้เลย”
เจียงชิงอวิ๋นกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เ้าเห็นข้าเป็คนโง่หรือไร ฤดูหนาวจุดไฟก็ทำให้อบอุ่นได้แล้ว จวนอ๋องมีฟืน เรือนใหม่ ของข้าก็มีฟืนเช่นกัน”
โจวโม่เสวียนเบิกตากว้าง “ที่จวนอ๋องนอกจากมีฟืนแล้วยังมีอาหารอร่อยมากมายอีกด้วย อ่า... มีผักสดด้วย หากท่านไปอยู่ที่อำเภอฉางผิงคงไม่ได้กินผักสดๆ”
เมื่อเจียงชิงอวิ๋นได้ยินคำว่า อาหารอร่อย ก็อดนึกถึงขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ไม่ได้ อาหารอร่อยเช่นนี้หากินได้ที่จวนเยี่ยนอ๋องเท่านั้นจริงๆ
ฉินไท่เฟยจับมือเจียงชิงอวิ๋น และกล่าวด้วยความโศกเศร้า “อยู่ด้านนอกจะดีเท่าที่จวนอ๋องที่ไหนกัน หากเ้าอยากจะไปจริงๆ รอให้ผ่านปีใหม่เข้าฤดูใบไม้ผลิก่อนค่อยไปเถิด”
“ท่านเคยป่วยหนักมาแล้วครั้งหนึ่ง ร่างกายยังไม่ฟื้นฟูดีจะต้องดูแลร่างกายให้ดี” โจวโม่เสวียนจับบ่าของเจียงชิงอวิ๋น พลางกระซิบบอก “ข้าขอพูดตามตรง ท่านพึ่งมาอยู่จวนข้าได้ไม่นานก็จะจากไปแล้ว เช่นนี้คนไม่ทราบเื่ราวจะคิดว่าจวนของพวกเรารังแกท่าน”
“จริงๆ เ้ากับข้าหากไม่ดี คงไม่มาคุยกันอยู่ที่นี่หรอก” น้ำเสียงของเจียงชิงอวิ๋นเต็มไปด้วยความจริงใจ “ตระกูลข้าเหลือข้าแค่เพียงคนเดียวแล้ว ข้าอยากเริ่มต้นใหม่ด้วยตนเองให้เร็วที่สุด”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] เช่อเฟย หมายถึง ชายารอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้