หลังจากเงียบเป็เวลานาน กลุ่มคนเริ่มระงับเสียงแล้วพูดคุยกันเสียงเบา จากนั้นเปิดปากอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ราวกับเก็บเื่สำคัญเป็ความลับ
ทว่าไป๋เจ๋อจวินไม่รีรอมากเกินไป เขาหันไปสบตากับหนีรั่วหลีแวบหนึ่งแล้วถามเสียงดัง “สิ่งที่ฉิงชางจวินหมายถึงคือ...‘หลียาง’?”
เจียงเฉิงเยว่ตอบด้วยรอยยิ้มแทน ค่อนข้างเ็ายิ่ง
การหลอมอาวุธวิเศษที่มีชื่อเสียงของสามโลกเ่าั้อย่างไร ต่างก็เป็หัวข้อสนทนาที่ผู้คนพูดคุยกันยามว่างอย่างเพลิดเพลิน ไม่นับว่าเป็ความลับอะไร โม่หลงของเจียงเฉิงเยว่นั้น แน่นอนตัวเขาเองเข้าใจอย่างชัดเจน ร่างเดิมของมันคือปีศาจ พูดแล้วมันน่าสังเวชยิ่งนัก บ่มเพาะมากว่าเจ็ดร้อยปีอย่างยากลำบากจึงสำเร็จในด้านคุณธรรมอย่างเต็มเปี่ยม กำลังจะเลื่อนขั้นกลายร่างเป็ั หลังจากนั้นกลายร่างได้เพียงครึ่งหนึ่งกลับล้มเหลวในการประสบด่านเคราะห์ ร่างที่เป็ครึ่งัครึ่งปลาถูกสายฟ้าฟาดจนตาย ิญญาพลันกลายเป็ิญญามืดที่เดิมทีควรจะสลายไป ไม่รู้ว่านับเป็โชคดีหรือโชคร้ายที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวล่องลอยอยู่ในโลก ก่อนบังเอิญถูกเผ่าปีศาจลิ่งชิวที่เชี่ยวชาญในการหลอมอาวุธวิเศษจับิญญาที่เหลืออยู่หลอมให้เป็อาวุธวิเศษ ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติทั้งสามนี้ในเวลาเดียวกัน
ส่วนหลียาง แม้ว่าฉิงชางจวินจะไม่สามารถอธิบายรายละเอียดได้อย่างชัดเจน แต่กลับได้ยินว่าเทพัแห่ง์ที่ทำอะไรบางอย่างผิดพลาดจนถูกลดระดับเป็ปีศาจ ต่อมาไม่รู้ว่าตายอย่างไร กลับกลายร่างเป็กระดูกขาว ส่วนกระดูกสันหลังของันั้นถูกหลอมเป็แส้กระดูก ฉะนั้นหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว หลียางจึงอาจมีลมปราณั ปีศาจและภูตผีรวมเข้าด้วยกัน และยังมีคุณสมบัติทั้งสามนี้ในเวลาเดียวกันด้วย นอกจากนี้ เ้าของมันยังเป็าาผีแห่งปรโลก ด้วยเหตุนี้ ทุกอย่างราวกับสอดคล้องกันอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนในที่นี้ต่างนิ่งเงียบไม่พูดจา ภายในใจของแต่ละคนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ก็ไม่อาจทราบ
เวลานี้ สวี่ฮ่วนเจ๋อที่เคยถูกฉิงชางจวินชมเชยว่าเป็ ‘คนเฉลียวฉลาด’ ในใจก็ลุกขึ้นยืน จากนั้นประสานมือแล้วถามอย่างสุภาพ “ฉิงชางจวิน...ข้าน้อยมีคำถาม ไม่ทราบว่าถามได้หรือไม่?” บางทีอาจเห็นจุดจบที่น่าลำบากใจของคนที่ปากมากหลายคนก่อนหน้านี้ จึงเรียนรู้แล้วว่าต้องขอความคิดเห็นก่อน
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย รีบบอก “ถามมาเถอะ”
หลังจากนั้นสวี่ฮ่วนเจ๋อจึงถาม “เื่ที่ฉิงชางจวินพูดเมื่อครู่ หากมีความตั้งใจจะชี้ว่าผู้ร้ายที่ควบคุมอยู่เื้ันี้และนำหยกคู่เพลิงสุวรรณไปล้วนเป็อีกผู้หนึ่ง...เช่นนั้นเมื่อครู่นี้ เหตุใดอาวุธวิเศษของฉิงชางจวินจึงอยู่ในมือของอัครเสนาบดี? นอกจากนี้ อีกฝ่ายทำให้อัครเสนาบดีเชื่ออย่างสนิทใจได้อย่างไรว่าาาผีที่ทำสัญญากับเขาในตอนนั้นคือฉิงชางจวิน? ยังมี...สัญญาระหว่างมนุษย์กับผี...ต้องใช้ิญญาเป็สื่อกลาง โปรดอภัยให้ความโง่เขลาของข้าน้อย...หรือว่านั่นเป็ของปลอม?”
เจียงเฉิงเยว่มองไปที่อีกฝ่าย แม้ว่าคนผู้นี้จะตั้งคำถามและโต้แย้งตนเองหลายครั้ง ทว่าประการแรก ท่าทีของอีกฝ่ายจริงใจและมีถ้อยคำสุภาพ ประการที่สอง ความคิดกับตรรกะชัดเจน ประการที่สาม นับได้ว่าเป็ผู้ที่สงบนิ่ง ความคิดแน่วแน่ ไม่มีอคติ ดังนั้น แม้แต่หลี่อวิ๋นหังเองก็ดูเหมือนจะค่อนข้างชื่นชม และอนุญาตให้เขาสอบถาม
แม้ว่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้ทั้งหมดจะวุ่นวาย แต่หลังจากพบผู้ต้องสงสัยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างกลับชัดเจนขึ้นมา เจียงเฉิงเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบกลับ “อีกฝ่ายได้อาวุธวิเศษมาได้อย่างไรข้าไม่ทราบชัด แต่พึ่งพาเพียงเครื่องหมายนั่นกลับทำให้พวกท่านยืนยันว่าเป็ข้าแล้ว ทั้งยังมีเพียงพาเครื่องหมายนั่นกลับทำให้อัครเสนาบดียืนยันว่าเป็ข้าเช่นกัน สุดท้ายแล้ว...ตัวตนที่แท้จริงของข้ากลับไม่มีใครล่วงรู้ ส่วน...การใช้ิญญาทำสัญญานั้นปลอมไม่ได้ เื่เป็เช่นนั้นจริง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดีแอบแฝง หรืออาจมีหนทางที่ผู้ทำสัญญากับอัครเสนาบดีหลิวนั้นไม่ใช่ข้า แต่ิญญาที่ทำสัญญาเป็ของข้าจริง”
ทุกคนต่างถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งความงุนงงกับสิ่งที่เขากล่าว เจียงเฉิงเยว่เห็นว่าหลายคนเผยสีหน้าไม่เข้าใจจึงรีบอธิบายอีกครั้ง “ตัวอย่างเช่น แม้ว่าอีกฝ่ายปลอมตัวเป็ข้า แต่ิญญาที่ใช้ในการทำสัญญากับอัครเสนาบดีหลิวเป็ของข้าจริงๆ เล่า? ใช้ิญญาทำสัญญา ใช้เพียงเศษเสี้ยวิญญาเพื่อนำทางก็ได้แล้ว หากอีกฝ่ายวางแผนมานาน แล้วนำชิ้นส่วนิญญาของข้าไปก่อน...เช่นนั้นการทำสัญญากับอัครเสนาบดีหลิวโดยที่ข้าไม่อาจทราบสถานการณ์...ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เื่ที่เป็ไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”
สวี่ฮ่วนเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย พลันนึกคำถามใหม่ขึ้นมาได้ ก่อนที่จะพยักหน้าช้าๆ เพื่อแสดงความเห็นด้วยกับความเป็ไปได้นี้ จากนั้นจึงถามเจียงเฉิงเยว่ต่อ “หากบอกว่าสามารถขโมยชิ้นส่วนิญญาของฉิงชางจวินได้ ผู้ร้ายตัวจริงจะต้องเคยใกล้ชิดกับฉิงชางจวินเป็อย่างยิ่ง ฉิงชางจวินกับาาผีแห่งแดนใต้ผู้นี้รู้จักกันมาก่อนหรือ? นอกจากนี้...หากใช้ิญญาของฉิงชางจวินในการทำสัญญาจริงอย่าที่ฉิงชางจวินกล่าวเมื่อครู่ ยามที่พี่ชายฝาแฝดของอัครเสนาบดีหลิวถูกาาผีผู้ทำสัญญาแย่งชิงิญญาไปเมื่อหลายปีก่อน การบ่มเพาะทั้งหมดควรนับได้ว่าเหนือกว่าฉิงชางจวิน หรือว่าฉิงชางจวินไม่ได้ให้ความสนใจกับการบ่มเพาะเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันกัน?”
เจียงเฉิงเยว่ครุ่นคิดอย่างละเอียดก่อนตอบ “ข้ากับเ้าเมืองยวนโส่วไม่ได้รู้จักกันมาก่อน เพียงมีวาสนาได้พบกันสองครั้ง และยามพบกันครั้งสุดท้าย...” เขาหยุดชั่วคราว โดยนึกถึงหลี่อวิ๋นหังที่ทั่วร่างเปียกโชกไปด้วยโลหิต ร่างค่อยๆ เย็นเยียบในอ้อมกอดของเขาในคืนนั้นอย่างอธิบายไม่ได้ เจียงเฉิงเยว่สูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นกัดฟันละทิ้งความคิดนั้น “ครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน ข้าถึงขั้นใช้เคล็ดวิชาแผดเผาิญญาในการต่อสู้...หากเ้าเมืองยวนโส่วมีแผนการร้ายในใจเวลานั้น การนำเศษเสี้ยวิญญาของข้าไปก็นับว่าไม่ใช่เื่ยาก”
หลังถ้อยคำนี้กล่าวจบทุกคนต่างตกตะลึง ก่อนอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกันอย่างเผ็ดร้อน “ใช้เคล็ดวิชาแผดเผาิญญาในการต่อสู้? นี่เป็สถานการณ์การต่อสู่ที่น่าสลดใจเพียงใด?”
“เคยมีการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างสองาาผีผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลกเชียวหรือ?! ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเื่นี้มาก่อน...น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดายนัก”
ฉิงชางจวินคิดในใจ นี่เป็ความดุเดือดเพียงด้านเดียว ดังนั้นแน่นอนว่าเ้าต้องไม่เคยได้ยิน! เื่ฉาวโฉ่ที่ถูกทุบตีจนจมูกเขียวใบหน้าบวมเป่งและปัสสาวะเล็ดจำพวกนี้ ข้าจะพูดออกไปตามอำเภอใจได้หรือ?
“ส่วนอีกเื่หนึ่ง…” เจียงเฉิงเยว่ไม่สนใจคนเ่าั้แล้วอธิบายต่อไป “ร้อยกว่าปีมานี้ข้าได้เร้นกายจากโลกเพื่อบ่มเพาะธรรมดาอยู่ในโลกมนุษย์ ทั้งหมดที่ใช้คือพลังิญญา ขณะนี้ก็ได้ละทิ้งพลังแห่งปรโลกแล้ว...จึงไม่เคยประลองฝีมือกับเขา ต่อให้การบ่มเพาะเพิ่มขึ้นจะสามารถรู้ได้อย่างไรกัน?”
ในความเป็จริงแล้ว เหตุผลที่แท้จริงเพราะเขาถูกขังไว้ในเขาฉู่อวิ๋นมานานกว่าร้อยห้าสิบปี การบ่มเพาะกับพลังิญญานั้นหมดสิ้น แม้แต่ิญญาก็แตกสลายไม่ครบสมบูรณ์ อีกทั้งยังถูกขับไล่ออกจากปรโลก ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือตี้จวินแห่งปรโลกเป็ผู้ลงมือด้วยตนเอง...การบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นในหลายทศวรรษของเขานี้ เปรียบได้กับกระชอนที่ใส่น้ำเอาไว้ ราวกับสายลมพัดเนินเขาที่พอเข้าไปแล้วกลับเล็ดลอดออกมา กระชอนนี้สามารถรับรู้ได้ก็น่าแปลกใจแล้ว! ทว่าข้อเท็จจริงนี้เกี่ยวข้องกับความลับที่ซ่อนไว้มากเกินไป แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเอ่ยความจริงในที่สาธารณะ
ดีที่คำอธิบายของเขาบังคับให้ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน และทุกคนก็ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรอีก ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาต่างจ้องหน้ากันอย่างตกตะลึง ตกอยู่ในความสับสน
เจียงเฉิงเยว่เงียบไปพร้อมกับชาวสำนักเต๋าในที่แห่งนี้ วันนี้อาจเรียกได้ว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ หยกคู่เพลิงสุวรรณกับผู้ร้ายตัวจริงที่อยู่เื้ัก็ยังไม่อาจทราบ ทว่ากลับเพิ่มความน่าสงสัยให้ตนเอง...โชคดีนักที่ได้รับเบาะแส ‘หลียาง’ ไม่มากก็น้อยเช่นนี้ อาจฝืนนับได้ว่าได้รับอะไรอยู่บ้าง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเจียงเฉิงเยว่ไม่้าที่จะอยู่ต่อ เขาเพียงประกาศเสียงดัง “คดีโซ่วหลิง...ข้าจะไม่ยอมรามืออย่างเด็ดขาด! จะสืบหาจนถึงที่สุด...เช่นเดียวกับที่ไป๋เจ๋อจวินกล่าวไว้ จะให้คำอธิบายกับใต้หล้า”
หลังจากเขาหันกลับมาก็เห็นว่าชาวสำนักเต๋าไม่ได้เตรียมที่จะขัดขวาง จึงเปิดใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้าย ทิ้งคนเ่าั้ไว้แล้วจากไปก่อนทันที
.............................
เจียงเฉิงเยว่ออกมาจากเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายแล้ว ขณะที่หลี่อวิ๋นหังยังคงยืนรอเขาอยู่ในป่าทึบ
สีหน้าของเจียงเฉิงเยว่หงุดหงิดอยู่เล็กน้อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของหลี่อวิ๋นหัง มารยาทที่ควรทำทั้งหมดยังต้องทำ ดังนั้นจึงประสานมือแบบจั้วอี[1] กล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณซ่างเซียนที่ยื่นมือช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม...” จากนั้นเขานึกถึงกำไลเงินหยกขาววงนั้นอีกครั้ง จึงหลุบตาลงถอนหายใจพลางเอ่ยเสียงเบา “และขอบคุณซ่างเซียนที่ชี้แนะ”
หลี่อวิ๋นหังไม่สนใจอารมณ์ที่แปรปรวนของเขา กลับถาม “เ้าแน่ใจหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่เงยหน้าขึ้น
หลี่อวิ๋นหังถามต่อ “ว่าผู้ร้ายที่อยู่เื้ันั้น...เป็เ้าเมืองยวนโส่วจริง?”
ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่มืดมน เขาพยักหน้า “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง! ประการแรก ผู้ที่สร้างสถานการณ์นี้...ต้องรู้จักข้าเป็อย่างดีและมีความสามารถยอดเยี่ยม...” แม้แต่ชื่อจริงของเขายังรับรู้ และตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเ้าเด็กนั่นรู้จักเขาอย่างลึกซึ้งมากเพียงใด สิ่งเดียวที่รู้คือ เกรงว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะเหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้
“ประการที่สอง...คนผู้นี้ต้องมีความบาดหมางกับข้ามาก่อน” โยวหยวนเคยต่อสู้กับเขาถึงสองครั้ง ด้วยนิสัยใจคอของอีกฝ่ายย่อมทำเื่เล่ห์เหลี่ยม เป็ผู้อยู่เื้ัในการโยนความผิดให้ผู้อื่นแน่
“ประการที่สาม เข้าใจในคำสาปชั่วร้ายอย่างคำสาปร้อยผีกลืนใจเป็อย่างดี...ถึงขั้นมีประวัติอาชญากรรมมาก่อนด้วย...” หากไม่มีประวัติอาชญากรรมนี้ เขาคงจะไม่ได้พบอาหัง
“ประการที่สี่ ได้รับเศษเสี้ยวิญญาของข้าโดยบังเอิญ...” ครั้งที่ต่อสู้ด้วยเคล็ดวิชาแผดเผาิญญา ใครจะรู้ว่าเ้าเด็กนั่นจะมีความคิดบิดเบี้ยวแล้วถือโอกาสเก็บเศษเสี้ยวิญญาของเขาไปหรือไม่
เจียงเฉิงเยว่พูดต่อ “หากคิดดูแล้ว...ในบรรดาสามโลกที่มีความสอดคล้องกับสี่ข้อนี้...มีเพียงผู้เดียว”
หลี่อวิ๋นหังขมวดคิ้วราวกับครุ่นคิด
“ซ่างเซียน?” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเป็เวลานาน เจียงเฉิงเยว่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หลี่อวิ๋นหังถามโดยพลัน “เกิดอะไรขึ้นกับเคล็ดวิชาแผดเผาิญญา?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าจะโดนถามถึงเื่นี้อย่างกะทันหัน จึงทำได้เพียงผ่อนหนักให้เป็เบา พูดด้วยรอยยิ้มงดงามแลดูลำบากใจ “ข้ามีความแค้นต่อเ้าเมืองยวนโส่วเช่นนั้น ศัตรูเมื่อพบหน้ายิ่งโกรธแค้น ต่อสู้กันอย่างไม่ยอมแพ้และข่มกันเท่านั้น ฮ่าๆ”
หลี่อวิ๋นหังไม่ได้ซักถามต่ออย่างที่คาดไว้ เจียงเฉิงเยว่จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
.............................
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงโรงเตี๊ยม อี้จื่ออีผู้ซึ่งอุทิศตนกับหน้าที่เพิ่งจะกล่อมให้ไป้เอ๋อร์หลับไป
หลังจากเห็นทั้งสองเข้ามาในห้อง ดวงตาของอี้จื่ออีเปล่งประกายอย่างไม่สามารถยับยั้งได้ สุดท้ายคลายความตื่นเต้นลง เจียงเฉิงเยว่ขบขันกับตนเองอย่างลับๆ คิดในใจว่าทำให้อีกฝ่ายลำบากเสียแล้ว ช่างน่าสงสารที่เขาก็เป็นักพรตสำนักเต๋าที่ยิ่งใหญ่และสง่างามเช่นกัน ทว่า่นี้กลับต้องดูแลเด็กน้อยให้ตนเอง
เขาคิดในใจก่อนกล่าวขอบคุณอย่างดี อี้จื่ออีจึงเกาศีรษะอย่างเขินอายเล็กน้อย ราวกับว่าปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว “ฉิงชางจวินเกรงใจแล้ว! ข้าถูกชะตากับไป้เอ๋อร์น้อย เมื่อครู่ยังพูดคุยกันอยู่นาน...” จากนั้นถามด้วยความเป็ห่วง “ฉิงชางจวิน ข้าได้ยินไป้เอ๋อร์น้อยพูดถึงโรคประหลาดของเขา...หากเอ่ยถึงผีนับร้อยที่ทะยานมาในวันนั้น ภูตผีเ่าั้ต่างพุ่งเข้าไปหาเด็กคนนี้...หรือว่าเด็กคนนี้มีชะตาหยินขั้นสูงสุดใช่หรือไม่? ดังนั้นฉิงชางจวินจึงนำอาวุธวิเศษอย่างหยกคู่เพลิงสุวรรณสวมไว้บนตัวของไป้เอ๋อร์น้อย?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ลำคอพลันแห้งผากเล็กน้อยอย่างไม่มีเหตุผล หลี่อวิ๋นหังอยู่ข้างกาย เขากำลังคิดจะลอบมองสีหน้าของอีกฝ่ายแวบหนึ่ง แต่กลัวว่าตนเองจะทำท่าทางมีพิรุธจนก่อให้เกิดความสงสัย จึงทำได้เพียงแสร้งมีท่าทีสง่าผ่าเผยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่ายโดยตรง จากนั้นพาทั้งสองคนไปโถงดอกไม้[2] เมื่อนั่งแยกกันแล้วจึงตอบกลับ “แน่นอน บังเอิญยามแรกที่ข้าได้ร่างนี้ เห็นว่าบนตัวของเขามีอาวุธวิเศษนี้อยู่ซึ่งใช้ไม่ได้ผลกับข้า แต่เมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้ช่างน่าสงสาร...จึงให้เขา”
เมื่อหลี่อวิ๋นเฉินสิ้นอายุขัย ิญญาจึงออกจากร่าง ทว่าิญญาของเจียงเฉิงเยว่ที่ถูกกักไว้ในร่าง หยกคู่เพลิงสุวรรณกลับไร้ประโยชน์สำหรับเขา
อี้จื่ออีมีสายตาเฉียบแหลม หลังจากนั่งลงแล้วหยิบกาน้ำชาสมุนไพรบนโต๊ะเล็กๆ ในโถงดอกไม้อย่างมีสติรินน้ำชาให้เซียนจวินทั้งสอง พูดอย่างขุ่นเคืองกับความไม่เป็ธรรม “ไม่แปลกใจเลย...เพียงแต่น่าเสียดายนักที่ดันถูกไป๋เจ๋อจวินและคนจากสำนักจงหลีซานเอาไป...อ้ะ ใช่แล้ว ฉิงชางจวิน...ได้ของกลับคืนมาหรือไม่?”
ขณะที่เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะด้วยใบหน้ามืดมน เขาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้กับอี้จื่ออีอย่างคร่าวๆ ขณะเดียวกันเขาลอบให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวอันเงียบเชียบของหลี่อวิ๋นหัง อีกฝ่ายนิ่งเงียบจนไม่มีเสียงใด ทว่ายิ่งเป็เช่นนี้ เจียงเฉิงเยว่กลับยิ่งไม่แน่ใจขึ้นเรื่อยๆ แผ่นหลังเกร็งไปหมด ถึงขั้นรู้สึกถึงความเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากหลี่อวิ๋นหังจางๆ ราวกับ้าแช่แข็งผู้คน
เขาแสร้งทำสีหน้าปกติ ขณะเดียวกับที่พูดก็ยกชาสมุนไพรเข้าปาก แต่หัวใจกลับเคร่งเครียดเป็อย่างยิ่ง ต้องรู้ไว้ก่อนว่าข้านำสิ่งของที่เป็ของเสด็จพี่ของเขานำไปมอบให้คนอื่นตามอำเภอใจ อีกทั้งสิ่งของนั้น...ค่อนข้างจะพิเศษต่อหลี่อวิ๋นเฉินกับหลี่อวิ๋นหัง ซ่างเซียนผู้นี้จะไม่สับข้าด้วยดาบแห่งความพิโรธชั่วขณะใช่หรือไม่!
------------------------
[1] จั้วอี หมายถึง การประสานมือโค้งคารวะ
[2] โถงดอกไม้ หมายถึง สถานที่รับแขกในสวนดอกไม้
