คราวนี้เป็เซี่ยงเหมยที่ต้องประหลาดใจบ้างแล้ว “เอ๊ะ? นี่...นี่...คนมันจะไม่เยอะไปหน่อยหรือ? ฉันคิดว่าแค่เฝิงหย่งคนเดียวก็ไม่น่ามีปัญหานะ...”
“เขาคนเดียวมีแค่สองมือเท่านั้น แถมยังไปได้แค่ที่ละเมืองด้วย จะขายของได้สักเท่าไหร่กันเชียว?” ซย่านีกล่าว “พี่ลองคิดดูสิเมื่อวานพวกพี่ขายดีมาก นั่นเป็เพราะว่าพวกพี่ช่วยกันขายสองคนใช่ไหมล่ะคะ? อีกอย่างดูจากเื่ในวันนี้แล้ว หากเราสามารถจ้างใครสักคนให้ล่วงหน้าไปดูลาดเลาที่เมืองอื่นก่อนได้ล่ะก็ เราจะได้ไม่ต้องให้พี่เฝิงหย่งไปที่นั่นให้เสียเที่ยวหรอกใช่ไหม?”
เซี่ยงเหมยฟังที่ซย่านีพูดก็พยักหน้าตามแต่เธอก็ยังลังเลอยู่ “แผงขายของของพวกเราใหญ่โตแบบนี้จะถูกคนอื่นพูดว่าเป็การค้าแบบทุนนิยมหรือเปล่า?”
หากเป็เช่นนั้นคงจะเป็ชื่อเสียงที่แย่มากๆ! โดยเฉพาะการปฏิวัติใน่ระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา คนจำนวนมากยังคงมีความหวาดกลัวหลงเหลืออยู่
ซย่านีกล่าว “ไม่หรอกค่ะ ไม่ใช่ว่าต้องจ้างแรงงานมากกว่าแปดคนขึ้นไปถึงจะเป็ระบบทุนนิยมหรอกหรือคะ? พวกเราจ้างคนงานแค่สามคนเองน้อยกว่าแปดคนตั้งเยอะเลยนะ ต่อให้ถูกคนฟ้องร้องก็ไม่เป็ไรหรอก อย่างไรพวกเราก็มีเหตุผล”
แน่นอนว่าไม่ถูกฟ้องร้องน่าจะดีที่สุด แต่เื่นี้หากเยอะคนก็เยอะปากตามไปด้วย เมื่อคนอื่นเห็นว่าคุณหาเงินได้เยอะย่อมจะเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นหากจะหาใครสักคนก็ต้องเลือกคนที่ไว้ใจได้และปากมีหูรูดสักหน่อย
ซย่านีถามเซี่ยงเหมย “พี่พอจะมีญาติที่เชื่อถือได้บ้างไหมคะ พี่เรียกเขาให้มาช่วยงานพวกเราก็ได้นะ พวกเราก็ไม่ต้องบอกคนอื่นว่าเราจ้างคนแต่ให้บอกว่าพวกเราขอให้ญาติสนิทมาช่วยงานก็พอ”
เซี่ยงเหมยเสนอวิธี “เธอบอกว่าพรุ่งนี้น้องสาวคนรองของเธอจะมาเมืองปักกิ่งไม่ใช่หรือ? ฝีมือเย็บปักของน้องเธอเป็อย่างไรบ้าง? แล้วใช้จักรเย็บผ้าเป็ไหม ถ้าน้องรองของเธอทำเป็เช่นนั้นก็ให้เธอมาช่วยงานพวกเราก็ได้นะ”
ซย่าซานนีมาปักกิ่งเพื่อช่วยงานเธอจริงๆ นั่นแหละ แต่น้องรองมาเพื่อช่วยดูแลลูกๆ ให้ซย่านี ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “น้องของฉันน่าจะทำไม่ได้หรอก พี่สะใภ้ลองหาญาติสนิทของพี่ดูดีกว่านะ”
เซี่ยงเหมยนั้นแตกต่างจากซย่านี แม้จะบอกว่าเซี่ยงเหมยเป็สะใภ้จากชนบทแต่บ้านของเธอก็คือชนบทที่อยู่ใกล้ๆ กรุงปักกิ่ง หลังจากผ่านไปอีกยี่สิบปี ที่โน้นก็จะไม่ใช่ชนบทอีกต่อไปแต่จะกลายเป็สถานที่ที่มีชื่อว่าอู่หวนแทน!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือครอบครัวฝั่งบ้านภรรยาของเซี่ยงเหมยนั้นอาศัยอยู่ใกล้ๆ กันนี่เอง ทำให้สะดวกในการหาใครสักคนมาช่วย
เซี่ยงเหมยใช้สมองครุ่นคิด เธอพอจะคิดถึงคนที่เหมาะสมกับงานนี้ได้อยู่สองคนซึ่งก็คือพี่สะใภ้และลูกพี่ลูกน้องของเธอ สองคนนี้ต่างก็มีจักรเย็บผ้าเป็สินเดิมเ้าสาวกันทั้งคู่ นอกจากนี้พวกเธอยังเป็คนอดทนขยันทำงานและไม่ชอบยุ่งเื่ชาวบ้าน
เธอบอกคุณสมบัติของสองคนนี้ให้ซย่านีฟัง เมื่อได้ฟังแล้วซย่านีก็กล่าวว่า “ฉันคิดว่าพวกเขาเหมาะสมกับงานแบบนี้จริงๆ...ส่วนเื่การจ่ายค่าแรง พี่ก็เลือกเอาเองเลยนะคะ ว่าอยากจะจ่ายเป็เงินค่าจ้างให้พวกเธอแบบทุกเดือนหรือจะจ่ายค่าจ้างให้พวกเธอโดยอิงจากจำนวนยางรัดผมที่พวกเธอทำได้”
เซี่ยงเหมยตอบทันที “ฉันว่าเลือกข้อหลังดีกว่า”
ซย่านียิ้ม เธอพบว่าแม้เซี่ยงเหมยจะทำงานได้ไม่นานแต่เธอกลับมีพร์ในการเป็นายทุนยิ่งนัก! ใน่ชีวิตเมื่อชาติก่อน ตอนที่ซย่านีเคยทำงานอยู่ที่โรงงานที่นั่นก็จ่ายค่าแรงตามจำนวนชิ้นงานที่พนักงานผลิตได้เช่นกัน
“แล้วเราจะหาใครมาช่วยเฝิงหย่งออกไปทำการค้าดีล่ะ?” เซี่ยงเหมยเป็กังวลในเื่นี้มากที่สุด คนที่ออกไปทำการค้าจะรู้ดีที่สุดว่ายางรัดผมสามารถขายได้เงินเท่าไหร่ ดังนั้นจึงจะต้องหาคนที่ไว้ใจได้เต็มร้อยเท่านั้น
เฝิงหย่งคิดไว้ตั้งนานแล้ว เขากล่าวว่า “ฉันมีน้องชายคนหนึ่ง...”
เฝิงหย่งมีน้องชายคนสนิทที่เติบโตมาด้วยกันั้แ่เด็กอยู่หนึ่งคน น้องชายของเขาเป็คนที่จิตใจดียิ่งนัก ในตอนนั้นประเทศสนับสนุนให้ไปเป็ยุวเยาวชนที่ต้องลงไปทำงานในชนบท ทุกครอบครัวต้องส่งใครไปหนึ่งคน เดิมทีครอบครัวอยากส่งน้องสาวของเขาไปแต่ว่าน้องสาวของเขานั้นสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เลยทำให้น้องชายคนนี้ตัดใจไม่ลงที่จะต้องส่งน้องสาวตัวเองไปลำบากในชนบทเพราะเหตุนี้เขาก็เลยขออาสาไปแทนเอง
ต่อมาเขาก็ได้แต่งงานกับสะใภ้จากชนบทไปโดยปริยายและภรรยาของเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ไม่นานก็ตั้งครรภ์ลูกของเขาแล้วแถมยังได้ตั้งครรภ์คู่หงส์ั[1] อีกด้วย แต่โชคไม่ดีที่ระหว่างคลอดลูกภรรยาของเขากลับตกเือย่างหนักจนทำให้เสียชีวิต หลังจากนั้นเขาก็เลี้ยงดูลูกทั้งสองคนอย่างยากลำบากคนอื่นๆพากันแนะนำให้เขาแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่เขาก็กลัวว่าภรรยาใหม่จะปฏิบัติต่อลูกๆ ของเขาไม่ดีจึงไม่ยอมแต่งงานใหม่ ต่อมาภายหลังยุวปัญญาชนได้กลับบ้านเกิดของตนเขาก็พาลูกๆ กลับบ้านมาด้วย แต่เพราะเขาไม่มีงานทำและต้องเลี้ยงดูลูกๆ ไปด้วยดังนั้นเขาจึงมีชีวิตลำบากเป็อย่างยิ่ง
เมื่อเฝิงหย่งพูดถึงน้องชายคนนี้ขึ้นมา เขาก็อยากจะช่วยเหลือน้องชายของตนยิ่งนัก
พอซย่านีได้ฟังที่เฝิงหย่งเล่าถึงสถานการณ์ของน้องชายคนนี้จบ เธอก็ตอบตกลงทันที “งั้นก็เลือกเขาก็แล้วกัน” คนผู้นี้ปฏิบัติต่อน้องสาวและลูกของตนเป็อย่างดีและที่ผ่านมาเขาก็ถือว่าเป็คนที่มีอุปนิสัยใช้ได้เลยทีเดียว
เฝิงหย่งถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ยืนขึ้นพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดีเลย งั้นฉันขอไปคุยกับเขาก่อนนะ”
เซี่ยงเหมยเองก็ลุกขึ้นตามไปด้วย จากนั้นเธอก็บอกว่า “ถือโอกาสที่ฟ้ายังไม่มืดจนเกินไป ฉันคงต้องกลับไปบ้านฝั่งมารดาก่อนแล้วจะลองไปถามพี่สะใภ้กับลูกพี่ลูกน้องของฉันดูว่าพวกเธออยากมาทำงานด้วยกันไหม”
ซย่านีลุกขึ้นอีกคนพลางกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อนค่ะ วันนี้ฉันทำยางรัดผมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ฉันจะเข้าไปเอามาให้พวกพี่ก่อนนะ เพื่อที่พรุ่งนี้พี่เฝิงหย่งจะได้ไม่ต้องมาที่นี่แต่เช้า”
เฝิงหย่งรับคำ “ได้เลย”
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากซย่านีส่งลูกสองคนไปโรงเรียนแล้ว เธอก็อุ้มลูกชายคนเล็กไปขึ้นรถประจำทางเพื่อเตรียมตัวมุ่งหน้าไปรับซย่าซานนีที่สถานีรถไฟ
หลังจากย้อนกลับมาเกิดใหม่ นี่เป็ครั้งแรกเลยที่ซย่านีได้นั่งรถประจำทาง ภายในรถประจำทางมีลักษณะเฉพาะตัวของยุคนี้ ป้ายสีแดงแขวนอยู่ตรงด้านหลังคนขับ ข้างๆ กันนั้นยังมีหนังสือทั่วไปและหนังสือพิมพ์เตรียมไว้ให้ผู้โดยสารอีกด้วย
บนรถประจำทางมีพนักงานเก็บตั๋วอยู่อีกหนึ่งคน ในมือของเขาถือกล่องเล็กๆ ซึ่งด้านในเต็มไปด้วยตั๋วใบจิ๋ว เมื่อผู้โดยสารขึ้นรถมาเขาก็จะะโว่า “ผู้โดยสารที่ขึ้นรถทุกท่าน โปรดซื้อตั๋วด้วย”
ซย่านีซื้อตั๋วรถเสร็จก็หาที่นั่งต่อ แต่ว่าบนรถมีคนอัดแน่นอยู่เป็จำนวนมาก ไม่มีที่ว่างให้เธอเลย พอพนักงานเก็บตั๋วเห็นดังนั้นก็ะโขึ้นมาว่า “มีผู้โดยสารท่านใดยินดีจะสละที่นั่งให้สหายที่อุ้มลูกคนนี้บ้างไหม?”
ทันใดนั้นก็มีสหายหลายคนพากันลุกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “นั่งที่ของฉันนี่สิ”
จากนั้นก็มีสหายชายที่นั่งติดหน้าต่างคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเช่นกันว่า “นั่งที่ผมก็ได้ เดี๋ยวผมจะลงป้ายหน้าแล้ว”
ซย่านีจึงเดินไปนั่งบนที่ของเขา หลังจากนั่งลงแล้วเธอก็หันไปขอบคุณอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สหายชายโบกมือและบอกว่า “ขอบคุณอะไรกันครับ คุณอุ้มลูกอยู่นะ ผมสมควรสละที่นั่งให้คุณน่ะ ถูกต้องแล้ว”
ซย่านียิ้ม เธอชอบัักลิ่นอายความเป็มนุษย์ในสังคมยุคนี้เหลือเกิน หลังจากผ่านไปสองถึงสามทศวรรษ กลิ่นอายความอารีย์ของผู้คนก็จางหายไปตามกาลเวลา เมื่อเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อยๆ จังหวะชีวิตก็เร็วตามไปด้วย แม้แต่เวลาก็ดูเหมือนจะหมุนเร็วขึ้นดังนั้นผู้คนจึงได้แต่สนใจแค่เื่ของตนเองเท่านั้น
พอรถประจำทางเริ่มออกตัว มันก็โคลงเคลงไปมา นั่งไม่สบายเหมือนรถประจำทางในศตวรรษที่ 21 เลย แต่เพราะรถประจำทางขับช้ามากจึงไม่ได้เลี้ยวหรือหยุดรถอย่างกะทันหัน ทำให้ช่วยบรรเทาอาการเมารถของซย่านีได้ซึ่งเธอต้องประสบปัญหานี้มาเป็เวลานานหลายปี
ซย่านีอุ้มซิงซิงพร้อมกับมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง เธอชี้มือไปยังตึกสูงหรืออาคารโบราณที่อยู่นอกหน้าต่างพลางบอกกับเด็กชายตัวน้อยว่าที่นี่คือสถานที่ไหนและมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง
“ดูสิจ้ะ ที่นี่ก็คือพระราชวังต้องห้ามเป็สถานที่ที่ฮ่องเต้เคยอยู่ในอดีต ลูกรู้ไหมว่าฮ่องเต้คืออะไร? ฮ่องเต้ก็คือผู้ปกครองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ในสมัยก่อน ประชาชนทั้งประเทศต้องเชื่อฟังเขาเพียงคนเดียว ช่างน่าทึ่งมากเลย รอลูกโตขึ้นอีกหน่อยแม่จะพาลูกเข้าไปดูพระราชวังต้องห้ามนะจ้ะ ให้ลูกลองนั่งบนเก้าอี้ั แล้วลูกรู้ไหมว่าเก้าอี้ัคืออะไร? มันก็คือเก้าอี้ที่ฮ่องเต้นั่ง...”
ซิงซิงเหมือนจะฟังเข้าใจเขาร้อง ‘อ้อแอ้’ พร้อมกับเอามือตบหน้าต่างอย่างตื่นเต้นดีใจเพื่อเป็การตอบสนองต่อคำพูดของซย่านี
[1] ครรภ์คู่หงส์ั 龙凤胎 หมายถึงแฝดชายหญิง
