ไป๋หยางไป่จ้องนางด้วยสายตาเย้ยหยัน พลางหัวเราะเ็า “เ้าอยากเป็อาจารย์ของข้าหรือ? ฝันไปเถอะ เ้ามีความสามารถอันใดที่จะเป็อาจารย์ข้า มีคุณสมบัติอันใดที่ข้าต้องก้มหัวให้? ไม่กลัวอายุสั้นหรืออย่างไร”
เหอตังกุยได้ยินดังนั้นกลับไม่บันดาลโทสะ นางกล่าวตรงไปตรงมา “ความจริงแล้ว ข้าไม่ได้มีความสามารถเท่าท่าน มิเช่นนั้นคงไม่นั่งพูดเงื่อนไขกับท่านอยู่ตรงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หานอวี๋เจิง องค์ชายแปดแห่งราชวงศ์ถังซ่งเคยกล่าวว่าอาจารย์ไม่จำเป็ต้องเก่งกว่าลูกศิษย์เสมอไป ความสามารถด้านศัลยศาสตร์ของท่านเป็เลิศ ข้าไม่อาจเก่งกว่าท่านในทุกด้าน ทว่ามีบางสิ่งที่ข้าแข็งแกร่งกว่า มิเช่นนั้นท่านคงไม่ตกอยู่ในกำมือข้ากระมัง?”
เหอตังกุยถอนหายใจ “ทุกคนมีสิทธิ์ของตน เมื่อท่านนักพรตไม่ยินยอม ข้าก็ไม่อาจบังคับ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน ท่านนักพรตโปรดทำตามกำหนดเวลาด้วย หากท่านยังเลือกไม่ได้ ข้าจะเลือกให้” กล่าวจบก็ล้วงขวดลายครามออกจากถุงคาดเอวที่เพิ่งซื้อ เปิดฝาแล้วสูดดมกลิ่นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่คือสิ่งที่คนอื่นมอบให้ข้า ได้ยินว่าเป็ยาดีชนิดหนึ่ง ข้าเห็นท่านนักพรตดูเศร้าหมองจึงนึกสงสารยิ่งนัก ท่านรับเม็ดนี้ไปกินเถิดเ้าค่ะ ถือเสียว่าข้าทำความดี”
ไป๋หยางไป่จ้องขวดเล็กด้วยแววตาสงสัย ก่อนเอ่ยถาม “ยาอันใดกัน?”
นิ้วชี้ของเหอตังกุยปิดตัวอักษร “เย่าซือถัง” บนขวดมิดชิด นางลูบไล้ขวดเล็กอย่างทะนุถนอม เอ่ยตอบด้วยถ้อยคำเรียบง่าย “ยาดี” นางไม่ได้โป้ปด ยาขวดนี้ คือ “ยาดี” ที่ต้วนเสี่ยวโหลวมอบให้นางบำรุงร่างกาย
ไป๋หยางไป่ส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่กิน ตีข้าให้ตายก็ไม่กิน หากเ้ากล้าบังคับ ข้าก็จะร้องะโไม่เกรงใจเ้าแล้ว”
เหอตังกุยชะงัก ความเสียดายฉายชัดบนใบหน้า ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านนักพรตไม่อยากกินหรือ? ไม่กินก็ไม่กินเ้าค่ะ ข้าน้อยเจรจาง่ายที่สุด” กล่าวจบก็ลุกขึ้นทันที มือขวากดจุดบนไหล่ของไป๋หยางไป่ มือซ้ายจับคอเสื้อของเขา ท่าทางเช่นนี้คือ้าลากอีกฝ่ายออกไป ไป๋หยางไป่ใกลัวขอร้องเสียงอ่อน “ก็ได้ ๆ แม่นาง ท่านเทพธิดา มีเื่อันใดก็เจรจากันได้”
เหอตังกุยกล่าว “รีบคำนับข้าเป็อาจารย์สิ”
ไป๋หยางไป่ส่ายศีรษะไม่หยุด “เ้าเด็กกว่าข้ายี่สิบกว่าปี คนที่สมควรคำนับคือเ้า ไม่ใช่ข้า เ้าคำนับข้าเป็อาจารย์จะดีกว่า ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาพิเศษที่สุดให้แก่เ้า กลิ่นหอมยั่วยวนใจและศิลปะลับเื่บนเตียงที่ดีเป็อย่างไร? รับรองว่าสามีในอนาคตต้องรักต้องหลงเ้าเพียงคนเดียว ไม่มีทางปันใจแน่นอน ”
เหอตังกุยดึงเสื้อไป๋หยางไป่แรงขึ้น... เขาหน้าซีดพลางเอ่ยเสียงเบา “ท่านอาจารย์ โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย ท่านอาจารย์ โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย ช่วยคลายจุดที่ขาของข้าก่อนขอรับ”
มือซ้ายของเหอตังกุยตบจุดหวนเที่ยวของเขาเบา ๆ มือขวาก็ปล่อยคอเสื้อให้เป็อิสระ
ขาที่ด้านชาค่อย ๆ มีความรู้สึก เขาหันกลับไปมองเหอตังกุยพลางหัวเราะพร้อมเอ่ย “ฮ่า ๆ ๆ แม่นางกล้าดึงคอเสื้อนักพรตต่อหน้าคนอื่นหรือ หากเื่แพร่งพรายคงไม่เป็ผลดีต่อชื่อเสียงเ้าแน่ ใจของข้ามีเพียงธรรมะเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกต่อสตรีแล้ว โปรดรามือและปล่อยข้าไปเถิด” ไม่นานก็ดึงดูดสายตาทุกคนในร้านอาหารแห่งนี้ได้ ลูกจ้างในร้านเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งมาสอบถามสถานการณ์
เหอตังกุยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเ้าหมาจิ้งจอกเ้าเล่ห์ต้องไม่ยอมจำนนง่าย ๆ นางจึงแสร้งใ ร้องะโด้วยน้ำเสียงแหลมยิ่งกว่าไป๋หยางไป่ “ว้าย ๆ ๆ ท่านนักพรต แย่แล้ว ข้าเห็นกับตาว่ามีแมงมุมพิษตัวใหญ่ไต่เข้าไปในเสื้อของท่าน รีบถอดเสื้อเร็วเข้า มิเช่นนั้นอาจถูกพิษแมงมุมกัดกินจนตาย เดี๋ยวผู้อื่นจะคิดว่าท่านกินอาหารในร้านแล้วถูกพิษได้นะเ้าคะ หรือท่านถูกแมงมุมพิษกัดแล้วจึงคิดจะมาพูดจาเหลวไหลที่นี่ใช่หรือไม่?”
ลูกจ้างในร้านได้ยินดังนั้นก็ใถอยหลบหลังโต๊ะ พลางร้องะโ “ไอหยา ท่านรีบถอดเสื้อโยนออกไปด้านนอกเสีย ท่านนักพรตเป็นักบวช อย่าทำให้ร้านอาหารของพวกข้าต้องถูกฟ้องร้องเพราะท่านเลยขอรับ รีบถอดเสื้อออกเถิด มิเช่นนั้นข้าจะเรียกทหารคุ้มกัน”
คิดไม่ถึงว่าเหอตังกุยจะแผนสูงเช่นนี้ เขาจึงยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี “ตุบ” เขาคุกเข่าโขกศีรษะสามครั้งตรงหน้าเหอตังกุย ก่อนร้องะโ “ฉวินจุนคารวะท่านอาจารย์ขอรับ”
เหอตังกุยรู้ว่า “ฉวินจุน” คือชื่อเล่นของไป๋หยางไป่ ในเมื่อเขายอมคำนับนางเป็อาจารย์ เช่นนั้นเป้าหมายก็บรรลุแล้ว นางไม่คิดจะทำให้เขาลำบากอีกจึงเอ่ย “ศิษย์ข้าลุกขึ้นเถิด” ชาติที่แล้วนางเคยได้ยินจูฉวนพูดว่าไป๋หยางไป่คือผู้สืบทอดพรรคต้ากว้าเหมินแห่งเขาอู่อี้ กฎข้อแรกของพรรคคือเคารพและยกย่องผู้เป็อาจารย์ ดังนั้นแม้จูฉวนจะเป็องค์ชายผู้สูงศักดิ์ แต่เขาก็จะยกมือคำนับไป๋หยางไป่ทุกครั้งที่พบ ตอนนี้ไป๋หยางไป่โขกศีรษะคำนับตนเป็อาจารย์แล้ว นางจึงไม่กลัวว่าเขาจะกลับคำ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรู้จุดอ่อนของเขาไม่น้อยทีเดียว
ไป๋หยางไป่ลุกจากพื้น พลางถามด้วยสีหน้าเศร้าหมองราวกับมะเขือเปราะ “ท่านอาจารย์มีสิ่งใดจะสั่งสอนศิษย์หรือ?”
เหอตังกุยครุ่นคิดก่อนเอ่ย “ตอนนี้ยังคิดไม่ออก เ้าไปก่อนเถอะ”
ไป๋หยางไป่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ให้ข้าไปหรือ? ข้า... ข้าไปได้จริง ๆ หรือ? เ้า... ท่านอาจารย์จะไม่ตามจับข้าใช่หรือไม่?” เด็กสาวปีศาจผู้นี้พยายามอย่างมากที่จะให้เขาคำนับนางเป็อาจารย์ นางไม่ได้คิดจะใช้ฐานะเรียกร้องสิ่งใดจากเขาหรือ? กลับปล่อยเขาไปง่าย ๆ เช่นนี้ หากภายหลังเขาหนีไม่มาพบหน้านางอีกล่ะ หากเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งก็ไม่นับว่าหลอกลวงอาจารย์ ทำลายบรรพบุรุษ เช่นนี้นางจะไม่เสียเวลาเปล่าหรือ?
เหอตังกุยกลับไปนั่ง มือขวาหยิบตะเกียบคีบอาหาร มือซ้ายโบกไล่แมลงวัน พลางเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย “เ้าไปเถอะ หากอาจารย์มีธุระค่อยไปหาเ้า”
ไป๋หยางไป่เดือดดาลในอกแต่ไม่กล้าเอ่ยอันใด เขาก้มหน้าพลางคิดในใจ “เห็นได้ชัดว่านางเป็เพียงเด็กวัยสิบขวบ แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ ด้วยกลัวว่าเหอตังกุยจะเปลี่ยนใจจึงไม่กล้าอยู่ตรงนี้นาน เขารีบคว้าป้าย “พยากรณ์ศักดิ์สิทธิ์” พลันวิ่งออกจากร้านทันที
เจินจิ้งถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดนางก็มีโอกาสเอ่ยถาม “เสี่ยวอี้ เหตุใดจึงอยากได้นักพรตชราเป็ลูกศิษย์? เขาบอกว่าตัวเองเป็จอมโกหกในยุทธภพเชียวนะ”
เหอตังกุยไหวไหล่ก่อนกล่าว “อธิบายยากนัก” ด้วยความสามารถในการเข้าใจของเ้า คงเป็เื่ยากที่จะอธิบายให้เ้าฟัง
ลูกน้องในร้านโผล่หัวออกจากหลังโต๊ะไม่ใกล้ไม่ไกลนัก พลางเอ่ยถาม “ท่านลูกค้า แมงมุมพิษล่ะขอรับ? ท่านนักพรตไปไหนแล้วขอรับ?”
เหอตังกุยชี้นอกหน้าต่าง ก่อนบอกเขาด้วยถ้อยคำเรียบง่าย “หนีไปแล้ว เสี่ยวเอ้อร์คิดเงินให้พวกข้าที นำอาหารเหล่านี้ไปห่อ แล้วนำห่อขนมห้าจินที่ข้าสั่งมาด้วย”
เหอตังกุยและเจินจิ้งถือห่ออาหารเล็กใหญ่ออกจากร้าน มุ่งตรงไปจ้างรถม้าก่อนไปที่ร้านเงินเพื่อรับของที่ฝากไว้ จากนั้นก็นั่งรถม้ากลับวัดสุ่ยซัง เย็นวันนั้นเหอตังกุยนำเงินห้าตำลึงไปที่ลานขู่เฉียวเพื่อไถ่สัญญาเช่านาที่ครอบครัวเจินจิ้งค้างไว้ เมื่อกลับไปยังห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออก เจินจิ้งก็นำถังไม้บรรจุน้ำแร่เย็นเฉียบจากห้องยามาตามคำสั่งนางเรียบร้อยแล้ว
เหอตังกุยส่งสัญญาการค้างค่าเช่าให้เจินจิ้ง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าให้เ้า ทำลายมันเสีย นับแต่นี้ไป เ้าเป็อิสระ เป็คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตทางโลก”
เจินจิ้งรับหลักฐานลายลักษณ์อักษรใบนั้น แม้นางจะไม่รู้หนังสือแต่มือทั้งสองก็พลิกใบดังกล่าวดูอย่างละเอียดหลายรอบแล้วฉีกมันเป็ชิ้น ๆ เมื่อหันกลับมาก็เห็นเหอตังกุยนำวัตถุดิบสมุนไพรที่ซื้อวันนี้ผสมกับวัตถุดิบสมุนไพรจากห้องยา นำพวกมันแช่ในน้ำแร่ก่อนนำไปอบบนเตาไฟ
เจินจิ้งรีบเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวอี้ เ้าทำสิ่งใด? อาการป่วยของเ้ายังไม่หายดีจึงอยากกินยาบำรุงร่างกายหรือ?”
เหอตังกุยเพิ่มไฟพลางเอ่ยอย่างมีเลศนัย “ยาเหล่านี้มีประโยชน์มากแต่ไม่ได้ต้มไว้กิน รอให้ข้าแน่ใจก่อน เมื่อถึงเวลาข้าจะบอกเ้า”
เจินจิ้งเอ่ยถามต่อ “เหตุใดทั้งล้างทั้งอบ หรือเ้ากลัวสมุนไพรไม่สะอาด?”
เหอตังกุยส่ายศีรษะ อธิบายให้นางฟังด้วยความอดทน “เมื่อครู่ข้าดูสมุนไพรเหล่านี้ทีละชิ้น พบว่าพวกมันยังไม่ดีพอ ประสิทธิผลอยู่ในระดับต่ำ ต้องล้างสามน้ำและอบอีกสามครั้งจึงจะนำออกได้” นางสั่งเจินจิ้ง “เ้ามาช่วยข้าซิ ไปรินเหล้าสักส่วนหนึ่ง นำพุทราห่อใหญ่ที่ข้าซื้อจากร้านอาหารแห้งไปล้างทำความสะอาด แล้วนำมาแช่ในไหเหล้าใบใหญ่นั่น”
“เ้าไปร้านอาหารแห้งแต่เช้าตรู่เพื่อซื้อพุทรามาทำเหล้ายาหรือ?” เจินจิ้งเปิดห่อกระดาษก็พบพุทราลูกใหญ่ นางร้องอุทานอย่างอดไม่ได้ “ใหญ่มาก นี่มันพุทราอะไรกัน?”
เหอตังกุยนำสมุนไพรที่อบแห้งแล้วแช่ในน้ำเป็ครั้งที่สอง ก่อนเอ่ยแนะนำ “พุทราดำเหล่านี้เรียกว่า “พุทราซาอวี้” เป็พันธุ์ตะวันตก ข้าซื้อพุทราเก้าลูกนี้ด้วยเงินเกือบสองตำลึง ฉะนั้นจึงไม่ให้เ้าเข้าไปในร้าน เพราะกลัวว่าเ้าจะคิดว่ามันแพงเกินไปจนไม่ยอมให้ข้าซื้อ และข้าก็ไม่สามารถอธิบายให้เ้าเข้าใจได้ในระยะเวลาเพียงนิดเดียว”
“สองตำลึง?” เจินจิ้งอุทานด้วยความประหลาดใจ ก่อนกล่าวเสียงแหลม “เ้าจ่ายสองตำลึงเพียงเพื่อซื้อพุทราเก้าลูกหรือ? สองตำลึงเชียวนะ พวกเรากินข้าวเที่ยงมากมายเพียงนั้น ทั้งกินทั้งห่อยังจ่ายเงินไม่ถึงหนึ่งตำลึง สองตำลึงสามารถซื้อข้าวสารได้ร้อยกว่าจิน ซื้อแม่ไก่ได้กว่าสิบตัว”
เหอตังกุยคิดจะปลอบนางให้เย็นลง แต่จู่ ๆ กลับได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาทางห้องพวกนางด้วยความเร็ว เหอตังกุยจึงเดินไปดู
เจินิเดินสลับวิ่งเข้ามาในลานของเรือนฝั่งตะวันออก เห็นเหอตังกุยยืนมองนางเงียบ ๆ จึงตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทุกครั้งที่พบเหอตังกุย หัวใจของนางมักหวาดระแวงและกลัวอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อก่อนตอนนางอาศัยอยู่ในชนบท เจินิมองเห็นเงาสีขาวห้อยบนต้นไม้ทุกวันจนถึงหกเจ็ดขวบ นางชี้ให้คนอื่นดูแต่คนเ่าั้กลับมองไม่เห็น ทั้งยังหัวเราะเยาะว่านางพูดจาเหลวไหล นางใจนร้องไห้ ท่านยายจางบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับนางเรียกว่า “ดวงตาหยินหยาง” เด็กบางคนมีสิ่งนี้ เมื่อโตแล้วก็จะมองไม่เห็นอีก หลังจากที่นางบวชเป็แม่ชีที่วัดสุ่ยซังก็ไม่ค่อยเห็น “เงาประหลาด” แล้ว แต่เหตุใดทุกครั้งที่ได้พบเหอตังกุยจึงมักจะรู้สึกว่าตนมองเห็น “เงาประหลาด” เหมือนตอนยังเด็ก อีกทั้งยังตัวสั่นอย่างอดไม่ได้?
เหอตังกุยกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “ท่านแม่ชีเจินิ เหตุใดจึงมีเวลาว่างมาถึงที่นี่ได้เ้าคะ? ด้านนอกอากาศเย็น รีบเข้ามานั่งในห้องดีกว่าเ้าค่ะ”
เจินิรีบโบกไม้โบกมือกล่าว “ไม่ ๆ ๆ ข้าต้องรีบกลับไปต้มยาให้ท่านอาจารย์... อาจารย์ให้ข้ามาที่นี่ ข้า... ข้าไม่รบกวนการพักผ่อนของเ้าจะดีกว่า...”
เหอตังกุยเลิกคิ้วกล่าว “อ๋อ? ท่านแม่ชีไท่ซั่นไม่สบายหรือ?”
เจินิพยักหน้า “เมื่อวานตอนเช้าอาการปวดเอวของท่านอาจารย์กำเริบ นางจึงนึกได้ว่าคราวที่แล้วคุณหนูเหอบอกว่าเก็บสมุนไพรชางจู๋มาทำเป็หมอนอิงรักษาอาการปวดเอวให้ท่านอาจารย์ นางจึงให้ข้ามาถามว่าเมื่อไรถึงจะ...”
เหอตังกุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หมอนอิง? อ้อ พรุ่งนี้ตอนเช้าข้าจะส่งไปให้ ช่างเสียมารยาทจริง ๆ ก่อนหน้านี้ข้ายังจำได้แท้ ๆ แต่หลังจากนั้นก็ลืมเสียสนิท”
เจินิถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนรีบเอ่ยอำลา “เช่นนั้นข้ากลับไปบอกท่านอาจารย์ก่อน คุณหนูเหอรีบกลับเข้าห้องเถิดเ้าค่ะ”
เหอตังกุยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เดินกลับดี ๆ นะเ้าคะ” นางทอดมองแผ่นหลังของเจินิเดินจากไป รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างกว่าเดิม แม่ชีไท่ซั่นทวงหมอนอิงรักษาอาการปวดเอวกระนั้นหรือ? เช่นนั้นคงต้องเร่งทำทั้งคืนจึงจะเสร็จ