ชายหนุ่มมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความหลงใหล
ผิวบนใบหน้าดุจหินหยกสีขาวระดับสูงที่สะอาดหมดจดกระจ่างใส ดวงตาราวกับดวงดาวในยามค่ำคืนที่เปล่งประกายทำให้คนฉงน จมูกรั้นเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม ริมฝีปากอ่อนนุ่มอมชมพู เส้นผมดำสนิท ไม่มีส่วนไหนไม่งดงาม
ั้แ่เมื่อไรกันที่เมืองไท่ผิงมีเด็กสาวงดงามเลิศล้ำปรากฏออกมา ทำไมเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“แม่นาง ขอบังอาจถามสักหน่อยว่าเป็คนที่ใดกัน มาทำอันใดถึงเมืองไท่ผิงหรือ ข้าน้อยหงซื่อเจี๋ย บ้านอยู่ในอำเภอเจิ้นอัน มาเยี่ยมคนรู้จักที่เมืองไท่ผิง บังเอิญพบแม่นาง ตกตะลึงจนนึกว่าได้พบเทพเซียน ไม่ทราบว่าแม่นางบอกชื่ออันไพเราะให้ทราบได้หรือไม่?” เด็กหนุ่มหันมาคารวะทางนาง ดวงตาจ้องมองอย่างเลื่อนลอย
“…” เจินจูพูดไม่ออก ถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว “คุณชายท่านนี้ ท่านเสียมารยาทแล้ว นามของเด็กสาวสอบถามตามอำเภอใจได้อย่างไร โปรดหลบทางด้วยเ้าค่ะ”
เสียงใสไพเราะอ่อนหวานชวนคล้อยตาม ราวกับน้ำเย็นบริสุทธิ์และใสสะอาดระหว่างูเา ดวงตาของหงซื่อเจี๋ยเต็มไปด้วยใบหน้าแสนเยือกเย็นของคนงาม จะยอมถอยไปหนึ่งก้าวได้เสียที่ไหน
“แม่นาง ข้าน้อยไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แค่ชื่นชมในสาวงามเท่านั้น”
เจินจูไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเองแม้แต่นิด มองบนใส่เขาออกไปตามตรง น้ำเสียงกล่าวด้วยความเ็า “ข้าว่าคนเช่นท่านนี้ ไม่ได้พกหูมาด้วยใช่หรือไม่? รู้ว่าตนเองทำให้คนรำคาญบ้างไหม? รู้หรือไม่ว่าเติงถูจื่อ [1] หมายถึงอะไร? เห็นสาวงามก็ขวางคนไม่ปล่อย ท่านมีคุณธรรมบ้างหรือไม่?”
หงซื่อเจี๋ยกับผู้ติดตามสองคนของเขาตกตะลึงตาค้างพูดอะไรไม่ออก คนงามโกรธจนด่าสาดเสียเทเสีย แม้หน้าตางดงามเพียงนั้นแต่ความหมายในคำพูดที่กล่าวออกมาช่างทำให้คนรับมือไม่ได้อยู่บ้าง
“…ข้า ข้าน้อย แค่… ชื่นชอบ…” หงซื่อเจี๋ยพูดจาตะกุกตะกักขึ้นทันที เขาไม่เคยพบเด็กสาวที่กล้าดุด่าเขาเสียงดังต่อหน้าด้วยความกล้าหาญที่ไร้ความประหม่าเช่นนี้เลยจริงๆ
“หลบ! ขวางทางสาวงามช่างไม่เป็สุภาพบุรุษเอาเสียเลย” เจินจูสะบัดมือ เหมือนกับไล่แมลงวัน
มองเขาอย่างรังเกียจแวบหนึ่ง และเดินหลีกสิ่งกีดขวางไปเอง
ทิ้งสามคนตกตะลึงอยู่ที่เดิม
“คุณชาย จะปล่อยนางไปเช่นนี้หรือขอรับ?” ผู้ติดตามถาม
“…นี่ แม้นางจะหน้าตางดงาม แต่นิสัยไม่น่าให้ชื่นชอบเกินไปแล้ว ท่านปู่ไม่ชอบหรอก” หงซื่อเจี๋ยมองสาวงามที่ไกลออกไป รู้สึกเสียดายอย่างมาก หน้าตางดงามจริงๆ แม้แต่ท่าทางมองบนเมื่อสักครู่ เขาก็รู้สึกว่าน่ารักนัก ทว่าน้ำเสียงเ็ากับวาจาน่ารังเกียจนั่น ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลยจริงๆ
“ใช่ๆ หน้าตางดงามแล้วมีประโยชน์อะไร สตรีควรอ่อนโยนและสำรวม คุณชาย เมื่อครู่นางจ้องมองท่านออกมาตรงๆ ไม่มีความเหนียมอายและโอนอ่อนผ่อนตามอย่างสตรีเลยสักนิด ความกล้าหาญมากยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีกขอรับ” ผู้ติดตามอีกคนหนึ่งกล่าว
น่าเสียดายใบหน้ารูปไข่ที่งดงามนั้น เขาตามหามาแสนนานกว่าจะพบสาวงามที่ทำให้เขาใจเต้นได้ไม่ง่ายเลย แต่ชั่วพริบตาเดียวกลับถูกทำลายจินตนาการอันงดงามจนแตกกระเจิงเสียได้
เื่นี้สำหรับเจินจูแล้ว เป็เพียงบทแทรกเล็กๆ เท่านั้น
แต่หูฉางกุ้ยที่ได้ทราบจากปากคนอื่นกลับเป็กังวลจนทนไม่ได้
นับั้แ่นั้นมาก็ไม่เคยให้นางไปเดินเล่นในตลาดคนเดียวอีกเลย
เจินจูจนปัญญา ในใจด่าเติงถูจื่อผู้นั้นเสียเละเทะ
หูฉางกุ้ยกับเจิ้งซวงหลินมาส่งเจินจูถึงหน้าประตูฝูอันถัง บอกนางให้รอพวกเขาอยู่ที่นี่แล้วจึงไปตลาดได้อย่างสบายใจ
เฮ้อ... วันเวลาที่เดินตลาดได้อย่างอิสระ ถูกลิดรอนไปเช่นนี้เสียแล้ว เจินจูถอนหายใจ
“แม่นางหู ท่านมาแล้ว เชิญด้านในก่อน เ้าของร้านอยู่หลังบ้าน ข้าน้อยจะรีบไปเรียกเขามาให้ขอรับ” เสี่ยวฟางลูกจ้างภายในร้านฝูอันถังที่คุ้นเคยดี เดินเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หลังจากนั้นจึงยกตะกร้าไผ่สานข้างขาของเจินจูขึ้นอย่างรู้งาน
เมื่อเข้าไปยังโถงรับแขกของฝูอันถัง เสี่ยวฟางก็ยกชาร้อนมาให้ และหลิวผิงไล่ตามเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“โอ้ะ แม่นางหู ท่านมาได้บังเอิญจริงๆ ข้ากำลังเก็บกวาดห้องที่อยู่ข้างโถงใหญ่หลังบ้านอยู่เลย อีกไม่กี่วันคุณชายของพวกข้าจะมาถึงแล้ว ท่านได้ข่าวแล้วหรือ?” หลิวผิงเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีอกดีใจ วันหยุดเตรียมเสื้อหนาวปีที่แล้วคุณชายก็ตั้งใจมาหนึ่งรอบเป็พิเศษ วันหยุดเตรียมเสื้อหนาวของปีนี้ล้วนสิ้นสุดลงแล้วแต่ก็กลับมาอีกครั้งเสียได้
กู้อู่จะมา? เจินจูชะงักงัน บังเอิญจริงๆ
“ข้าไม่ได้รับข่าวอะไรเลยนะเ้าคะ วันนี้ข้าแค่เดินทางผ่านมา และนั่น... เขากวางเ้าค่ะ”
นางชี้ไปที่ตะกร้าไผ่สานบนพื้น
“อ้อ สิ่งเ่าั้ไม่ต้องรีบร้อน อีกเดี๋ยวค่อยจัดการก็ได้ คุณชายของพวกข้าบอกในจดหมายว่าคุณหนูลูกพี่ลูกน้องอาจมาถึงก่อน ให้ข้าทำความสะอาดลานบ้านพักในเมืองขึ้นใหม่สักรอบ ข้าจะไปสั่งงานลูกน้องให้ไปดำเนินการก่อน ท่านจิบชารอสักเดี๋ยว” กล่าวจบเขาก็รีบออกไปด้วยความรวดเร็ว
คุณหนูลูกพี่ลูกน้อง? ไม่ใช่โหยวอวี่เวยหรือ? หรือเป็ลูกพี่ลูกน้องคนอื่นของกู้อู่?
ในจดหมายที่ติดต่อกันครั้งก่อน ไม่เห็นบอกเลยว่านางจะมายังเอ้อโจว เมืองหลวงห่างไกลเพียงนั้นคุณหนูของขุนนางไม่สามารถออกจากบ้านมาไกลได้ง่ายๆ กระมัง?
หรือนางมาพร้อมกับกู้อู่? ไม่ใช่สิ เมื่อสักครู่หลิวผิงกล่าวว่าเป็คุณหนูลูกพี่ลูกน้องมาถึงก่อน เช่นนั้นกู้อู่ก็จะมาถึงทีหลัง สองคนนี้ทะเลาะอะไรกันขึ้นมากระมัง
หลิวผิงกลับมาอย่างรวดเร็ว เจินจูจึงถือโอกาสถามออกไป “คุณหนูลูกพี่ลูกน้องที่มา เป็คุณหนูสี่ของจวนสกุลโหยวหรือเ้าคะ?”
“ไม่ผิด เป็คุณหนูสี่สกุลโหยว ไม่ใช่ว่าท่านส่งของวันเทศกาลไปให้นางบ่อยๆ หรือ น่าจะค่อนข้างสนิทกันมากทีเดียว” ไม่กี่ปีมานี้ของขวัญวันเทศกาลที่สกุลหูมอบให้คุณชาย ส่วนใหญ่จะเตรียมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชุดเพื่อส่งไปจวนท่านโหวเหวินชาง ระบุชื่อว่าส่งให้คุณหนูสี่สกุลโหยว
เจินจูพยักหน้า เป็โหยวอวี่เวยจริงด้วย “นางมาทำไมหรือเ้าคะ ไม่ใช่ว่ากันว่า คุณหนูของครอบครัวขุนนางตระกูลสูงศักดิ์จะเดินทางออกไปไหนไกลไม่ได้ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ? ทำไมคนในครอบครัวนางถึงวางใจให้นางวิ่งมาไกลคนเดียวอย่างนั้นล่ะเ้าคะ?”
“ฮ่าๆ คุณหนูลูกพี่ลูกน้องเป็บุตรสาวคนเดียวของครอบครัวที่สามในสกุลโหยว ได้รับความรักและถูกตามใจมาั้แ่เล็ก นายท่านโหยวคนที่สามกับฮูหยินเอ็นดูบุตรสาวนัก น้อยครั้งจะขัดใจนาง ดังนั้นเมื่อเทียบกับคุณหนูของครอบครัวขุนนางครอบครัวอื่นแล้ว อืม... จะมีอิสระมากกว่าเล็กน้อย” ข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็กู้จงบอกกับเขาในเมื่อก่อน
“เช่นนั้นทำไมคุณหนูสกุลโหยวมาถึงก่อน และพี่ชายกู้อู่มาถึงช้ากว่าหน่อยเล่า?” จุดมุ่งหมายปลายทางเดียวกันทำไมแยกกันมา
“เช่นนี้ก็ไม่อาจทราบได้” หลิวผิงก็งงเช่นกัน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรสอบถาม
เจินจูเลิกคิ้วขึ้น คร้านที่จะสอบถามเพิ่มขึ้นไปอีก พวกเขามาก็ดีเช่นกันจะได้ลดความวุ่นวายในการฝากบอก รอนางกะประมาณวันเวลาคร่าวๆ ดีแล้ว จึงจะบอกเื่โสมคนกับเขา ให้เขาหาวิธีกันเอาเองแล้วกัน
“หากจวนสกุลกู้ของพวกท่านยังมีลานบ้านพักอื่นอยู่ในเมือง เช่นนั้นทำไมพี่ชายกู้อู่ไม่ไปอยู่ที่นั่นล่ะเ้าคะ?” นางถามไปเรื่อยเปื่อย
“ลานบ้านพักอื่นของจวนสกุลกู้อยู่บริเวณประตูทางเหนือ คุณชายไม่ชอบอยู่ที่นั่น บอกว่าใหญ่เกินไป อยู่คนเดียวแล้วเงียบเหงานัก ดังนั้นตลอดมาเลยมาอยู่ด้านหลังของฝูอันถัง” หลิวผิงกล่าวอธิบาย
อ้อ... ไม่ชอบบ้านพักที่ใหญ่เกินไป? ชิ คนมีเงินที่แสร้งทำตัวธรรมดานี่เอง
ฮ่าๆ นางคิดถึงสิ่งของต่างๆ ในมิติช่องว่างของตนเองขึ้น สิ่งของมีค่าในหนึ่งลิ้นชักนั่น เอามาซื้อทรัพย์สินบ้านเรือนสักหลังในเมืองดีหรือไม่นะ?
ซื้อมาไม่น่ายาก แต่ผู้ใดจะไปอยู่กันล่ะ? ที่บ้านมีคนแค่นี้เอง หากซื้อบ้านมาก็ต้องหาคนดูแลอีก ช่างเถอะ ค่อยคิดอีกทีตอน้าใช้แล้วกัน
คุยเล่นอยู่กับหลิวผิงครู่หนึ่งก็นำเขากวางมาคิดเงิน หลังจากนั้นมอบเนื้อแพะพะโล้ให้เขาหนึ่งโถ
รอจนหูฉางกุ้ยกับเจิ้งซวงหลินมาถึงจึงอำลาแล้วกลับบ้านไป
...กู้ฉีนั่งอยู่บนรถม้าที่ควบเดินทางอย่างรวดเร็ว ทัศนียภาพที่ถอยหลังไปตลอดทางนั้นช่างจืดชืดไม่มีอะไรให้น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย
ในมือของเขาถือตำราอยู่หนึ่งเล่ม แต่อ่านไม่เข้าสมองเลยสักนิด
เวลาเช่นนี้ของปีที่แล้วเขานั่งเกวียนออกจากเมืองไท่ผิง คิดว่า่ระยะเวลาอันสั้นจะไม่ก้าวมาเหยียบชายแดนเอ้อโจวอีก
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเว้นไปหนึ่งปี เขาจะมาอีกครั้ง
ป่าหงเฟิงที่แดงฉานราวกับลูกไฟผืนนั้น ยังคงพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางป่าเขากระมัง
ที่จริงกู้ฉีเข้าใจดี เขาไม่ควรอาลัยอาวรณ์เงากายใต้ทิวทัศน์สีแดงเพลิงภาพนั้นอีก
ฐานะและลำดับศักดิ์ในวงศ์ตระกูลของเขา กำหนดไว้แล้วว่าไม่สามารถขอเด็กสาวครอบครัวเกษตรกรชนบทแต่งงานได้ ความอาลัยอาวรณ์ในใจจึงกลายเป็เพียงเครื่องพันธนาการอย่างหนึ่ง
ในเมื่อเขาไม่สามารถรับปากว่าจะให้ความสุขได้ จึงไม่อยากเอาเปรียบนาง ด้วยการให้นางมาอยู่กับเขาเหมือนเป็อนุ
นางเหมือนกุหลาบพันธุ์ไม้เลื้อยที่ผลิบานตามอำเภอใจและเติบโตขึ้นมาในทุ่งกว้าง พลิ้วไหวไปตามสายลมเต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา เขาไม่อยากให้นางถูกกักขังอยู่ภายในลานบ้านเล็กๆ เป็ดอกไม้น้อยหนึ่งต้นในห้องอบ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ในใจของเขาชื่นชอบเลย
แน่นอนว่าเขาไม่อยากยอมรับเล็กน้อย สำหรับเด็กสาวผู้นั้นแล้วไม่ได้คาดหวังความสัมพันธ์เกินกว่าสหายกับเขาเลย สายตาที่นางมองเขามักจริงใจและเผยความรู้สึกออกมาตามตรง ไม่มีความอาลัยอาวรณ์และความคลุมเครือ ราวกับทั้งหมดมีเพียงเขาที่ครุ่นคิดถึงอดีตไปเองฝ่ายเดียว
หน้าอกของเขามีความรู้สึกเจ็บแปลบ รู้สึกทั้งน้อยใจทั้งกลัดกลุ้ม
“คุณชาย วันนี้ยังต้องเร่งเดินทางตอนค่ำหรือไม่ขอรับ?” เฉินเผิงเฟยที่ขับเกวียนเอ่ยถาม
“เร่งเดินทางต่อไป เมื่อถึงตำบลและเมืองถัดไปให้ซื้ออาหารมาให้เพียงพอ หากพลาดจุดพักม้าก็พักแรมในที่โล่งแจ้งเอา” กู้ฉีกล่าวอย่างเ็า
“ขอรับ” เฉินเผิงเฟยตอบรับเสียงหนักแน่น “แต่... คุณชายขอรับ ขณะนี้ชายแดนะเิไฟาขึ้นฉับพลัน สถานการณ์ถนนภายในพื้นที่เริ่มไม่ปลอดภัย โจรลักลอบปล้นตามถนนจำนวนหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหวสร้างความวุ่นวาย สถานที่โล่งแจ้งพักแรมของพวกเราคงต้องระมัดระวังหน่อยนะขอรับ”
“อื้ม เ้าดูแล้วจัดการได้เลย” กู้ฉีไม่ได้สนใจมากนัก การเดินทางครั้งนี้เขามีผู้คุ้มกันตามมาด้วยยี่สิบคน ล้วนเป็ผู้มีฝีมือสูงที่ฝึกอบรมอย่างดีที่สุดในจวน โจรดักปล้นข้างถนนธรรมดา เห็นขบวนของพวกเขาเข้าก็ไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว
ครั้งนี้เขาเร่งมารีบร้อนไปหน่อย แม้แต่กู้จงก็ไม่ได้พามาด้วย พามาเพียงเฉินเผิงเฟยและผู้คุ้มกันยี่สิบคนในการออกเดินทาง
ส่วนท่านหมอเหวยจื่อยวนที่อยู่ข้างกายในเมื่อก่อน หลังจากร่างกายของเขาฟื้นฟูกลับมาดีขึ้นก็ไม่ได้เรียกเข้าพบนานแล้ว
เฉินเผิงเฟยค่อนข้างกลุ้มใจอย่างมาก คุณชายออกเดินทางโดยพามาเพียงผู้คุ้มกัน การปรนนิบัติปัจจัยสี่ของคุณชายล้วนต้องให้เขาควบคุมดูแลทำหน้าที่พ่อบ้านไปด้วย
เมื่อรถม้าผ่านชุมชนหนึ่ง พวกเขาหยุดลงหน้าโรงเตี๊ยมเพราะคนจำเป็ต้องทานข้าวและเข้าส้วม ม้าจำเป็้าหญ้าและกินน้ำ
พวกเขาหนึ่งขบวนยี่สิบกว่าคน ล้อมรอบเต็มโรงเตี๊ยม เฉินเผิงเฟยให้ลูกน้องสั่งอาหารและพากันพักผ่อน ส่วนเขาไปปรนนิบัติอยู่รอบกายกู้ฉี
ไปปลดทุกข์ ล้างมือ ล้างหน้า กลับมาถึงห้องโถงดูแลการทานอาหาร
ขณะนี้กู้ฉีร่างกายแข็งแรง สามารถปรับตัวเข้ากับอาหารภายนอกได้แล้ว แต่เขาชินกับวัตถุดิบอาหารของสกุลหูเป็พิเศษ ด้วยเหตุนี้วันคืนที่ต้องเร่งเดินทาง เวลาส่วนใหญ่เขาจึงทานได้น้อยมาก
ทานอาหารเสร็จจึงพักผ่อนอยู่ชั่วขณะ คนหนึ่งขบวนก็คิดเงินและเร่งเดินทางต่อไป
ก่อนที่โหยวอวี่เวยจะไปถึงหมู่บ้านวั้งหลิน กู้ฉีอยากสกัดนางไว้ก่อน เขาคิดไม่ตกจริงๆ ว่าทำไมนางเกิดความคิดประหลาดๆ วิ่งไปถึงหมู่บ้านวั้งหลินอย่างกะทันหันได้ นางสนิทสนมกับเจินจูมากเพียงนั้นเลยหรือ?
ทำไมวันนั้นจู่ๆ นางก็ไม่สบายขึ้นมา? ต่อให้นางรู้ว่าภาพวาดูเาและแม่น้ำธรรมชาติบนผนังนั้น คล้ายกันกับทัศนียภาพของบ้านสกุลหูแต่นั่นก็ไม่สามารถเป็ตัวแทนอะไรได้กระมัง
กู้ฉีไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกของตนเองกับผู้ใด โหยวอวี่เวยจะรู้ความในใจของตนได้จากที่ไหน
เขาจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ...
ที่จริงแล้วเขาไม่รู้เลยว่าลางสังหรณ์ของสตรีด้านอารมณ์ความรู้สึก มักมีความว่องไวและเฉียบแหลมอย่างโดดเด่น
สายตาอ่อนโยน การกระทำอันน่าประหลาดใจก็สามารถคิดไปถึงเื่ราวออกมาได้มากมายแล้ว
โหยวอวี่เวยเติบโตมาพร้อมกับเขานับเป็เพื่อนเล่นกันแต่เด็ก ย่อมเข้าใจลักษณะนิสัยของเขาอยู่มาก สามารถคาดเดาความแปรเปลี่ยนทางอารมณ์อันเล็กน้อยจากรายละเอียดเล็กๆ ออกมาได้
อันที่จริงโหยวอวี่เวยก็ไม่รู้เลยว่า พอนางไปถึงบ้านสกุลหูแล้วจะทำอะไรได้?
เชิงอรรถ
[1] เติงถู่จื่อ คือ ชื่อของขุนนางคนหนึ่งที่คาดว่าไม่มีตัวตนอยู่จริง เป็เพียงตัวละคร โดยมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาแต่บ้าตัณหาราคะ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้