“เ้าพูดปด”
เสียงของหลี่ไหวฺอวี้ไม่ดังมาก แต่เปี่ยมไปด้วยแรงกดดัน ชายจมูกแดงคนนั้นใจนผงะถอยหลังไป
“เมื่อครู่มีอีกคนบอกข้าว่านางสวมใส่อาภรณ์สีชมพู ตกลงมันอย่างไรกันแน่ เ้าคิดให้ดีก่อนค่อยพูด” หลี่ไหวฺอวี้หรี่ตาเล็กน้อย ชายผู้นั้นก็ลนลานขึ้นมา
“ใช่ ใช่ ใช่ ข้านึกออกแล้ว เป็สีชมพู ข้าจำผิดไป ข้าจำผิดไป” ชายจมูกแดงยกมือลูบหน้าผากที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
“เ้าแน่ใจ?”
หลี่ไหวฺอวี้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สายตาเลื่อนมาที่ตัวเขาเล็กน้อย ทำให้ชายผู้นั้นรู้สึกเหมือนถูกนายอำเภอกดดันด้วยสายตา
น่าแปลกจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาโชคดีได้เข้าเมืองไปเยี่ยมเยือนนายอำเภอ
ทว่านายอำเภอแค่มองมาที่เขาปราดเดียวแต่ไกลๆ เขาก็แทบจะลงไปคุกเข่าที่พื้นอยู่แล้ว บุรุษตรงหน้านี้ ดูน่าครั่นคร้ามยิ่งกว่าขุนนางอย่างนายอำเภอเสียอีก
“ขะ... ข้าแน่ใจ”
“เช่นนั้นก็น่าแปลก” หลี่ไหวฺอวี้หมุนตัวกลับ เดินไปกลางฝูงชน
“ตอนข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่มีใครถามเกี่ยวกับเื่ของคุณหนูท่านนี้สักคน แต่กลับเชื่อถ้อยคำเหลวไหลประโยคเดียว ซ้ำยังจะพูดกลับไปกลับมา พยานเช่นนี้ก็เชื่อถือได้หรือ”
บัดนี้ิเถี่ยจู้ตระหนักได้แล้วว่าชายหนุ่มในชุดหรูหราดูเหมือนจะมีที่มาผู้นี้มาเพื่อช่วยิเป่าจู แต่ถ้าวันนี้ปล่อยนางไป ชีวิตของตนเองคงจะยากลำบากแล้ว
“เ้าวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ เขาก็ต้องใกลัวจนกลับคำอยู่แล้ว คนเยอะแยะล้วนแต่เห็นกับตา จะเป็เท็จไปได้อย่างไร หรือว่าคนเป็ลุงเช่นข้าจะจงใจใส่ร้ายหลานสาวของตนเอง”
เหล่าชาวบ้านต่างพากันเห็นด้วย แต่เพราะท่วงทีอันน่าเกรงขามของชายหนุ่มในชุดหรูหราผู้นี้ทำให้พวกเขาไม่กล้าพูด
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะหันหลังกลับ ใครที่แน่ใจว่าเห็นคุณหนูท่านนี้ลอบไปพบกับบุรุษอื่นกับตาให้ก้าวออกมายืนอยู่หลังข้า”
เหล่าชาวบ้านต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่ไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาสักคน
หลี่ไหวฺอวี้หันกลับมา
“สามคนกลายเป็เสือ [1] เมื่อมีเจตนาจะเพิ่มข้อกล่าวหาเสียอย่าง ต้องกังวลว่าไม่มีอะไรจะพูดด้วยหรือ พวกเ้าไม่มีแม้แต่พยานสักคน ก็ปรักปรำกล่าวโทษผู้อื่นตามอำเภอใจแล้ว หากสตรีนางนี้เป็บุตรสาวของพวกท่านคนใดคนหนึ่ง แล้วถูกตัดสินปะาชีวิตโดยไม่แยกแยะถูกผิดดีชั่วเช่นนี้ พวกท่านจะคิดอย่างไร”
ิเถี่ยจู้ยังอยากพูดต่อ แต่กลับถูกหลี่ไหวฺอวี้ตะคอกด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ส่วนเ้า เป็ถึงผู้าุโในตระกูล ไม่อบรมไม่เลี้ยงดู ทุบตีด่าทอบุตรกำพร้าที่สิ้นไร้ไม้ตอก ไร้ที่พึ่งพา หลงเชื่อข่าวลือเหลวไหลงมงาย ลอบวางเพลิงอย่างโเี้ หากไปที่ว่าการอำเภอ ข้าก็มีหนทางฟ้องร้องเ้าข้อหาฆาตกรรมด้วยเจตนามุ่งหมายต่อทรัพย์สิน กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของต้าเหลียงเรามิได้มีไว้ตั้งแสดงเท่านั้น”
“มีต้าซือชี้นำข้ามา” เขาใจนเริ่มวิงเวียนศีรษะ แต่ก็รู้ว่าหากตนเองไม่ยืนหยัดต่อไป เสียศักดิ์ศรีเป็เื่เล็ก ไม่แน่ว่าอาจถูกฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะเหตุนี้ก็เป็ได้
ิเถี่ยจู้นึกเสียใจภายหลังขึ้นมาบ้างแล้ว เขาก็แค่โมโหที่ไม่เห็นิเป่าจูมาคุกเข่าขอขมาถึงหน้าประตูก็เลยหัวเสีย หลงเชื่อความคิดตื้นเขินของภรรยาที่บ้าน
“ต้าซือ? ต้าซือท่านใด เอาล่ะ เมื่อเป็ต้าซือ ข้าก็พอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง ท่านพูดมาดีกว่าว่าเป็ท่านใด จิ้งเหนิงต้าซือ?”
“มะ... ไม่ใช่” ิเถี่ยจู้ทั้งตระหนกทั้งตื่นกลัว ส่ายหน้ายิกราวกับกลองป๋องแป๋ง จิ้งเหนิงต้าซือท่านนี้ฮ่องเต้เป็ผู้พระราชทานนามให้ด้วยองค์เอง
คนชนบทต้อยต่ำอย่างเขาไหนเลยจะเอ่ยอ้างถึงได้
“เช่นนั้นก็เป็ฮุ่ยอู๋ต้าซือ”
“ไม่... ไม่ใช่”
“ซือคงต้าซือ หรือว่า...”
บุรุษสูงใหญ่กำยำล่ำสันอย่างิเถี่ยจู้เวลานี้กลับถอยหลังกรูด สายตาเผยแววลนลานกระสับกระส่าย “ปะ... เป็นักพรตพเนจร หลังจากบอกข้า ก็เดินทางไปทางตะวันตกแล้ว”
“นั่นก็หมายความว่าเ้าก่อเื่นี้ ทั้งที่ไม่มีทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ ไม่มีอะไรที่จะเป็หลักฐานได้สักอย่าง หากพรุ่งนี้คุณหนูท่านนี้เข้าไปเผาเรือนขณะที่เ้านอนหลับอยู่บ้าง ก็สามารถอ้างได้ว่ามีต้าซือเป็ผู้ชี้นำใช่หรือไม่”
หลี่ไหวฺอวี้พูดเสียจนเขาจนปัญญาหาคำมาตอบโต้
ิเถี่ยจู้หันไปมองิเป่าจู แต่เห็นนางตาแดงก่ำทั้งสองข้าง หัวใจเขาก็เต้นรัวขึ้นมาโดยหาสาเหตุไม่ได้ หลานสาวของเขาดูเหมือนจะทำเื่พรรค์นี้ได้จริงๆ
“ยังไม่รีบไสหัวไปอีก”
...
ิเป่าอวี้ได้รับความตื่นตระหนกอย่างรุนแรง กอดิเป่าจูไว้ตลอดเวลา
ภายใต้สถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้ นางจำต้องอยู่เป็เพื่อนเขา ป้อนยาสงบจิตให้กิน เขาถึงหลับไปด้วยความง่วงงุน ิเป่าจูปิดประตูห้องเบาๆ
ห้องหลักถูกเผาวอดวายเหลือเพียงเถ้าถ่าน
เคราะห์ดีที่ห้องปีกข้างเปียกชื้น จึงไม่ได้รับความเสียหายมากนัก
“ขอบคุณมาก หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากท่านครานี้ พวกเราสองพี่น้องคงต้องตายแน่แล้ว”
หลังผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มา เดิมทีหลี่ไหวฺอวี้คิดว่าร่างกายของตนเองมิได้รับาเ็อะไรมากมาย แต่เวลานี้เขากลับเหงื่อแตกซิก ใบหน้าขาวซีดเล็กน้อยส่ายไปมา
“คุณหนูไม่จำเป็ต้องกล่าวเช่นนี้ ผู้น้อยได้รับความช่วยเหลือจากคุณหนู ย่อมต้องตอบแทนน้ำใจ เื่ของมโนธรรมสำนึกไม่ต้องมีคำขอบคุณ”
ิเป่าจูพลันรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าเหมือนจะเป็คนดียิ่ง
แม้ว่าการเล่นบทบาทเป็คนเสเพลจะน่าใอยู่บ้าง แต่หลังจากชินกับคำเรียกผู้น้อยอย่างนั้น ผู้น้อยอย่างนี้ของเขาแล้ว ก็ยังพอจะรับได้
“หากท่านไม่มีที่ไปจริงๆ ก็พักที่บ้านข้าแล้วกัน แต่ท่านก็เห็นแล้ว บ้านข้ายากจนข้นแค้น มีแต่ผนังสี่ด้าน ห้องหลักก็ถูกไฟไหม้จนกลายสภาพเป็เช่นนี้ เหลือแต่ห้องปีกข้างกับห้องครัวที่ยังพออยู่อาศัยได้ หากท่านไม่รังเกียจ ข้าจะช่วยจัดห้องครัวให้เป็ที่หลับนอนของท่าน”
ิเป่าจูยังไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของรัชสมัยนี้สักเท่าไร แต่จากความทรงจำของเ้าของเดิม กับประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ที่นางเคยเรียนมาเ่าั้มีความแตกต่างกัน ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงเมื่อเปรียบเทียบกับตอนนี้ก็ค่อนข้างจะผ่อนปรนมากกว่า อีกอย่างตนเองแค่ให้เขาพักที่ห้องครัวก็ไม่น่าจะเป็ไรกระมัง
ก่อนที่นางจะคิดมากไปกว่านั้น ิเป่าจูก็เห็นสายตาไม่อินังขังขอบของบุรุษผู้นั้น จึงรีบชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนโดยไม่ปล่อยให้เขาฉวยปีนขึ้นเสา [2] “แต่ข้าไม่เลี้ยงคนที่มากินดื่มเปล่าๆ ท่านต้องทำงานหาเงินเอง และงานทำความสะอาดตามปกติ ท่านก็ต้องมีส่วนร่วม”
“แน่นอนอยู่แล้ว แน่นอนอยู่แล้ว... ผู้น้อยหาใช่หนุ่มหน้าขาวพรรค์นั้น”
หลังจากถอนหายใจอย่างโล่งอก ท้องของิเป่าจูก็ดังโครกครากขึ้นมา
ตลอดสองวันมานี้รวมทั้งหมดแล้วนางกินสาลี่ไปเพียงสองผล
ซ้ำยังผ่านสถานการณ์เมื่อครู่มา ความหิวก็เริ่มทำงาน ตอนอารมณ์ตื่นเต้นยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอสถานการณ์คลี่คลายก็รู้สึกหิวจนหน้ามืด
ไม่รู้ว่าปลาจี้ที่ทิ้งไว้ข้างทางจะยังอยู่หรือไม่
หลี่ไหวฺอวี้ราวกับอ่านความคิดของนางออก เขาเอ่ยด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดคะเน “คุณหนูลองเข้าไปดูในครัวก่อนดีหรือไม่”
ิเป่าจูกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ แต่พอเข้าไป ก็เห็นว่าในโอ่งน้ำใบเล็กที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง มีปลาจี้สองตัวกำลังแหวกว่ายอย่างร่าเริง นางก็ยิ้มอย่างพึงใจอยู่หลายส่วน
“นึกไม่ถึงว่าท่านจะเก็บมันกลับมา”
ไม่เพียงเท่านี้ พอเงยหน้ามองไปบนเตาไฟ ก็เห็นสาลี่ป่า เชอเฉียนจื่อ [3] โลหิตหงส์ [4] วางอยู่ครบถ้วน
“เมื่อครู่ข้าว่าจะถามอยู่ ท่านไปเอาเสื้อผ้าชุดนี้มาจากที่ใด”
หลี่ไหวฺอวี้ส่ายหน้า “พุทธะกล่าวว่า บอกไม่ได้”
ที่เชิงเขา
ชายหนุ่มรูปโฉมลออตาคนหนึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นพลางเปล่งเสียงเบาอย่างอ่อนแรง “เสื้อผ้าข้าเล่า!
…
ิเป่าจูไม่สนใจเขา นางทำน้ำแกงปลาที่ดูน่ากินออกมาหม้อหนึ่ง ถึงแม้จะจืดชืดและมีกลิ่นคาว แต่สองพี่น้องไม่ได้แตะของคาวมานาน ย่อมดื่มกินอย่างเอร็ดอร่อย
แต่ไม่นานนักนางก็พบว่าชายคนนี้เป็คนหน้าเนื้อใจเสืออย่างยิ่ง ปากเอ่ยว่า “ผู้น้อย” ดูเหมือนสุภาพเรียบร้อยมีมารยาท แต่ถ้อยคำที่ออกจากปากกลับสามารถยั่วโมโหคนจนคลานออกมาจากโลงได้เลย
เขามักยั่วโทสะนางหลายครั้งหลายครา เพื่อระบายความโกรธนางจึงจงใจใช้ให้หลี่ไหวฺอวี้ทำความสะอาดเรือน หากทำไม่สะอาด ก็ไม่ให้ข้าวกิน และคอยเป่าขนหาตำหนิ [5]
แต่ไม่ช้านางก็พบว่าแม้แต่จะหากระดูกในไข่ [6] ก็ยังทำไม่ได้ คนผู้นี้ละเอียดรอบคอบจนนางเองก็ยังถึงขั้นชื่นชม
และด้วยเหตุนี้ ิเป่าจูจึงยิ่งรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ช่างประหลาดแท้ ดูจากท่าทางเหมือนคุณชายสูงศักดิ์ แต่กลับทำงานบ้านงานเรือนได้ไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด แท้จริงแล้วเขามีสถานะเป็เช่นไรกันแน่
เชิงอรรถ
[1] สามคนกลายเป็เสือ หมายถึง เมื่อข้อมูลใดๆ ผ่านปากคนหลายปาก จากข่าวลือก็อาจกลายเป็ข่าวจริงได้
[2] ปีนขึ้นเสา หมายถึงการฉวยโอกาสจากสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น คล้ายสำนวนไทยว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก
[3] เชอเฉียนจื่อ เป็สมุนไพร มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Plantago asiatica L. มีรสหวาน ฤทธิ์เย็น ช่วยขจัดความร้อน ขับปัสสาวะ รักษาอาการท้องร่วง ตาแดง ขับเสมหะ
[4] โลหิตหงส์ หรือ เกาลัดกำมะหยี่ ผลมีเปลือกหุ้มสีเขียวเมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็สีแดงคล้ายกำมะหยี่รูปร่างมนรี ผลของเกาลัดสามารถนำมาคั่วหรือต้มให้สุกเป็อาหารว่างก็ได้ มีสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุงตับไต ลดไขมันในเื รักษาโรคบิด
[5] เป่าขนหาตำหนิ หมายถึง การจู้จี้จุกจิก พยายามจับผิดหาเื่จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
[6] หากระดูกในไข่ หมายถึง การพยายามหาเื่ตำหนิทั้งที่ไม่มีข้อตำหนิ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้